ตอนที่4 ภาพตรงหน้า
“เค้าเพิ่งตกลงคบกันไม่กี่อาทิตย์นี้เองค่ะ แต่เค้ารู้จักกันมาหลายปีแล้วนะคะ” ฉันยิ้มตอบพี่จีจีพยายามไม่คิดอะไร ฉันควรดีใจกับเพื่อนสิถึงจะถูก
“ออ แบบนี้นี่เอง ป่ะเราไปช็อปปิ้งกันต่อดีกว่า” ว่าแล้วเราก็พากันไปเดินเลือกซื้อของกันต่อจนฉันเริ่มปวดฉิ้งฉ่องขึ้นมา
“พี่จีจี้โบว์ฝากถือของหน่อยนะคะ เดี๋ยวโบว์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแปปนึงค่ะเดี๋ยวมา” พี่จีจี้พยักหน้าแล้วรับของไปถือไว้ ฉันจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ด้วยความเร่งรีบจึงเดินไปชนเข้ากับใครบางคนเข้าให้
ตุบบบบบ!!!!
“ว้ายยย!!!” ฉันชนเข้ากับอกแกร่งของใครบางคนเข้าอย่างแรงจนตัวเองเสียหลักจะล้ม จีงหาที่ยึดเหนี่ยวคว้าเข้าที่คอเสื้อของคนคนนั้นได้
พรึบบบบ!!!
หลังฉันกระแทกเข้ากับกำแพงผนังตรงทางจะไปห้องน้ำโชคดีที่มีมือของเขาคนนั้นมาประคองหลังไว้จึงไม่ได้เจ็บมาก แล้วทันใดนั้ยปากหนาก็ประกบลงมากับปากของฉันอย่างแรงตามแรงกระแทกเมื่อครู่ ฉันคิดว่าปากฉันคงแตกแน่แล้วเพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ปากล่าง ฉันได้แต่หลับตาปี๋ตามสัญชาตญาณ
ครู่นึงเขาคนนั้นก็ผละตัวออกห่าง ฉันจึงลืมตาขึ้นแต่ก็ต้องตกใจหนักเก่าเก่าไปอีก
“พะ พี่เสือ…ขะ ขอโทษค่ะโบว์เดินไม่ระวังเอง” ฉันรีบยกมือไหว้ขอโทษเป็นการใหญ่ หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนมีคนมาตีกลองรัวๆข้างใน
“ปากโบว์แตกอะ เจ็บมั้ย” แต่พี่เสือเขากลับทำสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าของเขามาเช็ดเลือดที่ปากให้ฉันอย่างนุ่มนวล นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งตั้งแต่ได้รู้จักกันมาที่เขาอ่อนโยนกับฉันขนาดนี้
“อะ เอ่อ ไม่ๆค่ะโบว์ไม่เจ็บ…แต่ผ้าเช็ดหน้าพี่…” ฉันรีบจับผ้าเช็ดหน้าในมือเขามาถือไว้เอง
“ไม่เป็นไรเราเอาไว้เช็ดเลือดเถอะ” เขาตอบฉันนิ่งๆด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“งั้นเดี๋ยวโบว์ซักแล้วนำไปคืนนะคะ” ฉันไม่อยากได้ผ้าเช็ดหน้าจากเขาหรอกนะ โบราณเขาถือว่าให้ผ้าเช็ดหน้ากันมันไม่ดีจะมีแต่เรื่องให้ร้องไห้จากคนที่ให้มา ฉันเชื่อแบบนั้น
“อืม ตามใจ” เขาว่าจบก็เดินเข้าห้องน้ำไปเลย ฉันได้แต่ยืนมองตามแผ่นหลังเขาไปอมยิ้มอยู่คนเดียวแต่ก็ได้สติขึ้นมาตอนปวดฉิ้งฉิ่งขึ้นมาอีกครั้งเลยรีบเดินเข้าห้องน้ำไปบ้าง
ขณะที่อยู่ในห้องน้ำฉันก็ได้ยินเสียงอิงฟ้าเหมือนคุยกับใครซักคน พอฟังไปๆมาๆถึงได้เข้าใจว่าเป็นเสียงยัยน้องฝ้ายอะไรนั่นที่เคยเรียนห้องเดียวกับแดนดิน แต่ทำไมบทสนทนาทั้งคู่มันดูแปลกๆเหมือนคนเกลียดกันเลย
จนฉันเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ประมาณนึง วันนั้นอิงฟ้าพูดกับแดนดินว่า เดินดินเป็นคนที่ทิ้งอิงฟ้าไป ส่วนวันนี้ยัยน้องฝ้ายพูดเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแดนดิน หรือว่าที่เลิกกันเพราะยัยนี่ ฉันยกมือตาเบิกกว้างหลังจากที่พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ รู้สึกสงสารเพื่อนขึ้นมาทันที นี่สินะสาเหตุที่นางไม่ยอมพูดถึง คงจะเจ็บปวดมากแน่ๆ แต่มันก็น่าแปลกที่แดนดินออกจะรักอิงฟ้าขนาดนั้นทำไมถึงนอกใจอิงฟ้าได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจะถามเพื่อนก็ไม่ได้
“เอาไงดีเนี่ย…?” ฉันพูดขึ้นมาคนเดียวแต่แล้วก็คิดออก จึงรีบจัดการธุระในห้องน้ำให้เสร็จแล้วออกมา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหายัยแป้งหอมทันที
ฉันตัดสินใจเล่าทุกอย่างที่รู้มาให้เพื่อนๆฟังโดยการประชุมสาย ทุกคนต่างลงความเห็นว่าอยากให้อิงฟ้าปลดล็อคตัวเอง เลิกยึดติด และเลิกคิดถึงรักครั้งเก่า พวกเราอยากให้เพื่อนมีความสุข เพราะพวกเรารู้มาตลอดว่าที่ผ่านมาอิงฟ้ายังคงรักและคิดถึงแต่แดนดินถึงไม่ยอมเปิดใจรับใครเข้ามาซักที แม้ปากจะบอกว่าลืมได้แล้ว ไม่คิดอะไรแล้ว แต่พวกเราดูออก คืนนี้เลยต้องนัดกันไปคลายเครียดซะหน่อย
หลังจากแยกย้ายกับพี่จีจี้ฉันก็เดินมาที่รถตัวเอง แต่ภาพที่เห็นมันทำให้ฉันไม่กล้าขยับเข้าไป เพราะรถฉันจอดถัดไปจากตรงนั้นแค่2-3คันเอง ฉันยืนมองพี่เสือก้มหน้าลงไปจูบอิงฟ้าที่รถ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันทั้งที่พยายามห้ามใจตัวเองแล้วแท้ๆแต่มันทำไม่เคยได้ ฉันเจ็บทุกครั้งที่เห็นว่าพี่เสือรักอิงฟ้ามากแค่ไหน และไม่มีทางที่จะเป็นฉันได้เลย ตั้งแต่วันที่เรามีอะไรกันฉันยิ่งรู้สึกกับเขามากขึ้นเรื่อยๆทั้งที่รู้ว่ามันไม่ควรรู้สึกแต่จะให้ฉันทำยังไงก็ความรู้สึกมันห้ามกันได้ซะที่ไหน
แต่แล้วฉันก็หันไปเห็นแดนดินเช่นกัน แดนดินยืนมองสองคนนั้นสองมือกำแน่นน้ำตาไหลอาบแก้ม ‘สงสาร’ คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวฉัน
ฉันก็ไม่เข้าใจในเมื่อทั้งสองคนยังรักกันอยู่ทำไมถึงให้อภัยกันไม่ได้เลยหรอ แต่ก็อย่างว่า…ไม่ได้ยืนอยู่จุดนั้นไม่มีทางที่จะเข้าใจ
พอทั้งคู่ขับรถออกไปแล้วฉันจึงขับรถออกไปบ้าง
#คอนโดโบวี่
เมื่อจอดรถเรียบร้อยฉันก็เดินถือของไปที่ลิฟต์โดยของในมือพะรุงพะรังเต็มไปหมด ทั้งของที่ช็อปปิ้งมา และกระเป๋าเสื้อผ้า รองเท้าจากการไปถ่ายแบบมาวันนี้
ติ้งงงง!!! เสียงลิฟต์เปิดออก
พอลิฟต์เปิดฉันก็เดินเข้าไปแต่ก็มีคนเดินเข้ามาด้วยเช่นกัน เป็นผู้ชายร่างสูงหน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวเหมือนลูกครึ่ง แต่งตัวใส่สูทดูดีทีเดียว ฉันเพ่งมองหน้าหล่อเหลานั้นอย่างพิจารณาเหมือนว่าเคยเจอที่ไหน
“เอ๊ะ!!! หนึ่ง…ใช่หนึ่งเพื่อนแดนดินรึเปล่า” ฉันไม่ปล่อยให้คาใจนานจึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ เขาหันมามองหน้าฉันนิ่งขมวดคิ้วเป็นปมเหมือนใช้ความคิด
“อ้อ พี่นั่นเอง…พี่อะไรนะ พี่โบว์ใช่มั้ยครับ” เขามีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นแล้วนึกชื่อฉัน จนนึกออกฉันจึงยิ้มกลับให้เขา โห!!โตแล้วดูหล่อมากทีเดียว ฉันคิดในใจ
“ค่ะ แล้วนี่หนึ่งพักที่นี่หรอคะ โบว์ไม่เคยเห็นหน้าเลย” ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ได้สามเดือน แต่ฉันเดินเข้าเดินออกที่นี่ตลอดไม่ยักกะเคยเจอเขาเลย
“ครับผมพักอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะ แต่ไม่ค่อยได้มาพักที่นี่เท่าไหร่” เขาเอ่ยแต่สีหน้าเรียบนิ่งก็ยังไม่ได้มีรอยยิ้มอะไรผิดกับฉันยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูอยู่ละ
“ออ โบว์เพิ่งมาอยู่ได้สามเดือนเองค่ะ” ฉันยิ้มตอบเขากลับไป แต่สีหน้าฉันเริ่มไม่ดีละ ของที่ถืออยู่หนักชะมัดเลย
“มา…ผมว่าผมช่วยดีกว่าดูแล้วไม่น่าจะถึงห้อง” ว่าจบเขาก็มาแย่งของในมือฉันไปถือไว้ส่วนนึง
“จะดีหรอคะโบว์เกรงใจ แฮ่” ปากบอกไปแบบนั้นแต่ใจนี่โล่งมากถือหนักๆตั้งนานในที่สุดก็มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย
“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบกลับมาแล้วหันไปดูเลขชั้น
.
.
เม้าส์มอยกันหน่อยย...
“อุ๊ยตาย ว๊ายกรี๊ดดด ทำไมพี่ต้องละมุนกับน้องโบว์แบบนี้ด้วย แล้วน้องจะตัดใจได้ยังไงคะ”
“ใจฟูได้ไม่เท่าไหร่ ก็ใจเจ็บติดๆกัน”
“ก็นั่นน่ะสิ ฮึบไว้ๆนะโบว์”
