ตอนที่ 3 : เส้นเวลาที่แตกออก
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
มันดังติดกันห้าวินาที ก่อนที่มือของใครบางคนจะกดปิดข้าง ๆ หูผม
“คุณคีรินทร์ ตื่นได้แล้วค่ะ วันนี้มีงานแถลงข่าวตอนเก้าโมง”
เสียงหวานแผ่วเบา—ไม่ใช่มินตรา เลขานุการของผม แต่เป็นเสียงของผู้หญิงอีกคนที่ผมไม่รู้จัก
ผมลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงอาทิตย์ลอดผ่านผ้าม่านสีครีมเข้ามาในห้อง
ที่ปลายเตียง มีหญิงสาวในชุดสูทเรียบยืนถือแท็บเล็ตไว้ในมือ เธอมีใบหน้าคุ้นราง ๆ แต่ผมนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“ผมอยู่ที่ไหน” ผมถามเสียงแหบ
“คอนโดส่วนตัวของคุณค่ะ ห้องเพนท์เฮาส์ชั้นบนสุดของ Kirin Tower”
“ไม่… ผมไม่เคยนอนที่นี่”
เธอขมวดคิ้ว “คุณพูดอะไรแปลกจังคะ คุณอยู่ที่นี่มาสามปีแล้วนะ”
สามปี?
ผมดีดตัวขึ้นทันที เดินไปที่กระจกตรงผนัง ห้องนี้ดูเหมือนของผมจริงทุกอย่าง แต่เฟอร์นิเจอร์กลับใหม่กว่าที่จำได้หลายปี ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู — วันที่บนหน้าจอคือ 20 พฤศจิกายน ปี 2030
เวลาข้ามไปสามปีเต็ม
ลมหายใจผมสะดุด วงแหวนเงินที่นิ้วนางยังคงอยู่ และครั้งนี้มีรอยร้าวบาง ๆ ที่ขอบเหมือนของที่ถูกใช้เกินขีดจำกัด
ผมแตะมันเบา ๆ — ความรู้สึกปวดหัวแล่นวาบขึ้นมาในทันที
ภาพบางอย่างแวบเข้ามาในหัว — เธอ…อายันต์ รอยยิ้มสุดท้ายของเธอก่อนที่ร่างจะละลายหายไปในแสง
เสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้งในความคิด “สิบสามวัน…อย่าให้ฉันตายอีกนะ”
ผมสูดลมหายใจลึก “เธออยู่ที่ไหน”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียงมองผมงง ๆ “ใครคะ?”
“อายันต์”
“อายันต์…หมายถึง คุณอายันต์ คีรินทร์?”
หัวใจผมแทบหยุดเต้น “คุณว่าอะไรนะ”
“ภรรยาของคุณไงคะ คุณแต่งงานกับเธอเมื่อสองปีที่แล้ว ทุกคนรู้”
คำพูดนั้นทำให้ผมขาอ่อนเกือบทรุดลงตรงนั้น
ผมแต่งงาน…กับเธอ?
ผมไม่จำเลยแม้แต่นิดเดียวว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
ผมเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง
ข้างในมีรูปถ่ายของเราสองคน—ผมกับอายันต์ในงานแต่งงานบนชายหาด
เธอสวมชุดเจ้าสาวสีงาช้าง แหวนเงินวงเดิมอยู่บนมือของเรา
และใต้ภาพนั้น มีบันทึกสั้น ๆ เขียนไว้ด้วยลายมือผมเองว่า
“วันที่เริ่มต้นใหม่…แม้จะรู้ว่ามันจะจบเหมือนเดิม”
หัวใจผมเต้นแรงจนอึดอัด
นี่ไม่ใช่แค่การย้อนเวลาอีกต่อไป—
มันคือ การแตกแขนงของเส้นเวลา ที่ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในเส้นไหนกันแน่
ผมก้มมองวงแหวนอีกครั้ง มันส่องแสงวาบสั้น ๆ
ก่อนจะปรากฏข้อความเรืองแสงที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“วันแรกของหนี้ใหม่ — 13 วันสุดท้าย”
ผมยืนนิ่งอยู่หน้ากระจก มือยังแตะวงแหวนเงินที่นิ้วนาง
คำว่า “13 วันสุดท้าย” ที่ปรากฏเมื่อครู่เริ่มค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงรอยร้าวเล็กๆ ราวกับร่องรอยของเวลา
ทุกอย่างรอบตัวดูสมบูรณ์แบบเกินจริง ห้องทำงานของผมกว้างกว่าเดิม พื้นหินอ่อนเงาวับ และผนังเต็มไปด้วยกรอบรางวัลจากบริษัทที่ผมไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริง
ตรงกลางโต๊ะมีรูปถ่ายอีกใบ — ผมกับอายันต์ยืนเคียงกันในงานเปิดตัวบริษัทลูกชื่อ Ayan Corp.
ผมหยิบภาพขึ้นมา
โลโก้บริษัทนั้นคือ “A” ซ้อนอยู่บนวงแหวนเงิน…
ชื่อบริษัทลูกของ Kirin Group ตั้งตามชื่อเธอ และโลโก้มันก็คล้ายกับแหวนที่อยู่บนมือผมอย่างจงใจ
“คุณคีรินทร์คะ”
เสียงของผู้ช่วยคนเดิมดังขึ้นจากประตู เธอก้าวเข้ามาพร้อมแท็บเล็ต
“คุณอายันต์รออยู่ที่ห้องประชุมใหญ่ค่ะ เธอบอกว่าอยากคุยเรื่องสำคัญก่อนงานแถลงข่าว”
ผมเงียบไปครู่ ก่อนจะพยักหน้า “ให้เธอรอ ผมจะไปตอนนี้”
⸻
ห้องประชุมชั้น 50 ถูกตกแต่งใหม่ทั้งหมด โต๊ะไม้โอ๊คยาวสะอาดตา และดอกลิลลี่สีขาวตั้งเรียงรายเป็นแนวตรงกลางโต๊ะ
เธอนั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะ—ในชุดสูทขาวเรียบหรู ผมรวบตึงขึ้นอย่างเป็นทางการ ดวงตาเฉียบคมกว่าเดิม
แต่เมื่อเธอหันมามองผม โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนอีกครั้ง
“อายันต์…”
“ค่ะ?” เธอยิ้มบาง “ฉันรอคุณอยู่”
เสียงของเธอเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยระยะห่างที่ผมไม่เข้าใจ
“เรา…แต่งงานกันจริงๆ เหรอ” ผมถามในที่สุด
เธอหัวเราะน้อยๆ “คุณลืมอีกแล้วสินะ”
“หมายความว่าไง”
“คุณจะลืมทุกครั้งที่วงแหวนแตก และเวลาจะวนกลับมาเริ่มใหม่ 13 วัน…เหมือนหนี้ที่ไม่มีวันหมด”
ผมหยุดหายใจ
“นี่มันอะไรกันแน่” ผมถามเสียงแผ่ว
เธอมองตรงเข้ามาในตาผม “คุณสัญญาว่าจะช่วยฉันเปลี่ยนตอนจบของเรื่องนี้ แต่ทุกครั้งที่คุณพยายามเปลี่ยน มันกลับยิ่งดึงเราลงลึกกว่าเดิม”
ผมพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ได้ยิน แต่หัวใจเต้นแรงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่น
“ตอนนี้เราอยู่ในเส้นเวลาไหนกันแน่”
“เส้นที่คุณเลือกจะอยู่กับฉันต่ออีกสิบสามวันสุดท้าย” เธอตอบเรียบ “และหลังจากนั้น—ใครคนหนึ่งจะต้องหายไป”
เธอลุกขึ้น เดินมาหยุดตรงหน้าผม ระยะเพียงคืบเดียว
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำหอมที่เธอใช้ยังคงเหมือนเดิม — กลิ่นลาเวนเดอร์ผสมมัสก์ที่ผมเคยจำได้ในคืนนั้น
“ถ้าฉันหายไปอีกครั้ง…” เธอพูดเบา “อย่าตามหา เพราะทุกครั้งที่คุณย้อนมา มันคือชีวิตอีกหนึ่งที่คุณต้องจ่ายแทน”
“ไม่” ผมส่ายหน้า “ผมจะหาวิธีหยุดมัน”
เธอมองผมนิ่ง ก่อนจะยื่นมือแตะแก้มผมเบาๆ
“คุณพูดแบบนี้ทุกครั้งเลย…”
วงแหวนในมือเราทั้งคู่เปล่งแสงอ่อน ๆ ขึ้นอีกครั้ง
รอบตัวเริ่มสั่นไหวเหมือนอากาศจะฉีกออกเป็นเส้นแสงบางๆ
เธอค่อยๆ ถอยหลัง แล้วภาพทั้งหมดดับลง—เหลือเพียงกลิ่นดอกลิลลี่ในอากาศและวงแหวนที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องกำมือแน่น
เสียงหัวใจเต้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจะกลืนกินเสียงอื่นไปหมด
ผมยืนนิ่งอยู่กลางห้องประชุมที่เธอหายไป เหลือเพียงแสงจางๆ จากวงแหวนบนมือที่ยังไม่ยอมดับ
ผมรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวกำลังสั่น…เหมือนตึกทั้งตึกกำลังหายไปทีละชั้น
เมื่อมองผ่านหน้าต่าง เมืองทั้งเมืองเหมือนภาพสะท้อนในน้ำ—บิดเบี้ยว กระเพื่อม และไหลย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น
ผมวิ่งไปที่ลิฟต์ แต่ประตูไม่ขยับ
ตัวเลขบนแผงควบคุมวิ่งกลับจาก 50 ลงไป 1…แล้วกลับขึ้นใหม่
เส้นเวลาเริ่มค้างอยู่ตรงกลาง
“อายันต์!” ผมตะโกนสุดเสียง แต่ไม่มีเสียงตอบ
มีเพียงเสียงแหวนที่สั่นเบา ๆ เหมือนหัวใจอีกดวงเต้นอยู่ในอุ้งมือ
แล้วทันใดนั้น ภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยน
ผมเห็นตัวเองในอีกห้องหนึ่ง — ห้องทำงานที่มืดสนิท
บนพื้นมีร่างของผมอีกคน นั่งพิงผนัง มือกุมหน้าอกที่มีเลือดซึม
เขายกหัวขึ้น มองตรงมาที่ผม และพูดประโยคเดียว
“อย่าเลือกผิดอีก”
เสียงนั้นดังก้องในหัว ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะหายวับไป เหลือเพียงกลิ่นเลือดบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ
ผมทรุดลงกับพื้น หายใจถี่
วงแหวนร้อนจนแทบแผดผิว ผมพยายามถอดมันออก แต่ยิ่งดึงมันก็ยิ่งแน่น
และทุกครั้งที่พยายามหายใจ ผมเห็นภาพแวบสั้นๆ — อายันต์ยืนอยู่บนสะพานกลางสายฝน มองผมด้วยสายตาเศร้า
น้ำตาเธอปะปนกับฝน ก่อนพูดประโยคสุดท้าย
“อย่าให้ฉันต้องตายเพราะคุณอีก…”
เสียงหัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก
ทันใดนั้น วงแหวนปล่อยแสงออกมาอีกครั้ง คราวนี้แรงกว่าครั้งไหนๆ
ผมปิดตาแทบไม่ทัน เมื่อเปิดขึ้นอีกที ห้องทั้งห้องกลับเงียบสนิท
ไม่มีแสง ไม่มีเสียง มีเพียงตัวอักษรเรืองแสงลอยอยู่ตรงหน้า
“เส้นเวลาที่สาม — เริ่มต้นแล้ว”
และด้านล่างมีข้อความเล็กๆ ต่อท้าย
“ในทุกเส้นเวลา มีเพียงคนหนึ่งที่รอด”
ผมกำมือแน่น
หัวใจเต็มไปด้วยความกลัวและความตั้งใจในเวลาเดียวกัน
ถ้ามันคือเกมของเวลา…
ผมจะเป็นคนทำลายกติกานี้เอง
