ตอนที่ 2 : วงแหวนแห่งหนี้เวลา
ผมมองวงแหวนเงินบนนิ้วตัวเองอยู่นานเกินไป…
จนกระทั่งเสียงข้อความในโทรศัพท์ดับลง และทุกอย่างรอบตัวเริ่มเงียบสนิทจนน่าขนลุก
มันไม่ใช่ฝัน—ผมแน่ใจ เพราะยังจำกลิ่นโลหะจากแก้วเหล้าที่แตกเมื่อคืนได้ดี มันยังคงจางอยู่ในอากาศ ห้องเดียวกัน เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เหมือนผมกลายเป็นคนแปลกหน้าในสถานที่ของตัวเอง
“ย้อนเวลา…” ผมพึมพำกับตัวเองเสียงเบา
คำที่เธอพูดไว้เมื่อคืนดังวนซ้ำในหัว สิบสามวัน…อย่าออกจากตึกหลังสี่ทุ่ม
ผมดึงมือออกจากวงแหวน แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน มันกลับติดแน่นราวกับหลอมรวมกับผิวหนัง นิ้วเริ่มชา ความเย็นแผ่ซ่านจากโลหะขึ้นมาถึงข้อมือ
เสียงเปิดประตูดังขึ้น “คุณคีรินทร์?”
ผมเงยหน้า—เลขานุการส่วนตัว “มินตรา” ก้าวเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ
“ประชุมบอร์ดจะเริ่มในสิบห้านาทีค่ะ แต่…คุณโอเคไหมคะ? หน้าซีดมากเลย”
“ผมไม่เป็นไร” ผมตอบโดยไม่มองหน้า “ขอสรุปกำหนดการวันนี้”
เธอวางแฟ้มลงบนโต๊ะ “สิบเอ็ดโมง มีสัมภาษณ์กับนักข่าวชื่อ…อายันต์ค่ะ”
มือผมหยุดกลางอากาศ ความเย็นจากวงแหวนแล่นวาบอีกครั้ง
“ว่าอะไรนะ”
“อายันต์ค่ะ บรรณาธิการจากสำนักข่าว Nova Press เธอเพิ่งติดต่อยืนยันเมื่อเช้า”
ผมค่อย ๆ พิงเก้าอี้ “แล้วคุณเคยเจอเธอมาก่อนไหม”
มินตราขมวดคิ้ว “ไม่เคยค่ะ แต่ดิฉันเห็นรูปในโปรไฟล์อีเมล…เธอสวยมากเลยนะคะ”
“ไม่ต้องพูดถึง” ผมพูดตัดบท น้ำเสียงอาจจะเย็นเกินไปจนเลขานุการชะงัก เธอรีบขอตัวออกจากห้อง
ทันทีที่ประตูปิด ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้น เปิดกล้องหน้า มองภาพสะท้อนของตัวเอง
รอยแหวนเงินสะท้อนแสงวาบเหมือนหัวเราะเยาะ—และใต้ขอบแหวนมีตัวอักษรจาง ๆ ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“Debt of Breath”
หนี้แห่งลมหายใจ
ผมรู้สึกถึงแรงบีบรัดในอก เหมือนหัวใจถูกดึงเข้ากับโลหะวงนั้น ทุกครั้งที่ผมหายใจ มันเต้นสอดคล้องกับชีพจรของใครอีกคน—เธอ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้น โทรหา “ธาม” มือขวาของผมทันที
เสียงเขาตอบกลับหลังจากสองสัญญาณ “ครับ คุณคีรินทร์”
“เมื่อคืนนี้…นายกลับไปกี่โมง”
“หลังสี่ทุ่มนิดหน่อยครับ ผมเห็นไฟในห้องคุณยังเปิดอยู่ ก็เลย—”
“นายเห็นใครขึ้นมาที่ชั้น 45 ไหม”
“ไม่มีครับ ผมเช็กกล้องวงจรปิดก่อนลง ไม่มีใครนอกจากเรา”
ผมหลับตาแน่น ภาพเธอที่ยืนอยู่ใต้ไฟฉุกเฉินเมื่อคืนชัดเกินกว่าจะเป็นภาพลวง
ถ้าไม่มีใครเห็น แปลว่าผมกำลังเห็นสิ่งที่ ‘ไม่ควรมีอยู่’ หรือเธอย้อนเวลากลับมาก่อนผมอีกขั้นหนึ่ง
เสียงสั่นเบา ๆ ดังขึ้นจากโต๊ะ
แฟ้มเอกสารที่เธอเคยวางไว้เมื่อคืน—เปิดออกเองโดยไม่มีลมพัด
กระดาษหน้าแรกพลิกขึ้น เผยให้เห็นรูปถ่ายเก่า…ภาพผมกับเธอในงานเลี้ยงเมื่อสองปีก่อน ยืนยิ้มเคียงกันในมุมที่ผมจำไม่ได้ว่าถ่ายไว้
ผมหยิบภาพนั้นขึ้นมา
ที่มุมขวาล่าง มีลายเซ็นเล็ก ๆ ของเธอเขียนไว้
“ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง…อย่าปล่อยให้ฉันตายอีกนะ”
มือผมสั่น ความเย็นจากแหวนแผ่ซ่านขึ้นถึงหัวไหล่ จนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระชากให้เต้นเร็วขึ้นเองโดยไม่สมัครใจ
เสียงนาฬิกาบนผนังดัง “ติ๊ก…ติ๊ก…”
และทุกครั้งที่เข็มวินาทีขยับ วงแหวนก็ดังตอบกลับเบา ๆ เหมือนหัวใจอีกดวงเต้นในเวลาเดียวกัน
ผมเริ่มเข้าใจแล้ว—นี่ไม่ใช่เรื่องของปาฏิหาริย์ แต่คือ “ข้อตกลง” ระหว่างชีวิตสองคน
และดูเหมือน…ผมกำลังเริ่มชำระ “หนี้” ที่ไม่รู้ตัวว่าเคยติดไว้กับเธอ
ผมไม่เคยรู้สึกว่าทุกวินาทีมีค่าขนาดนี้มาก่อน — เพราะทุกครั้งที่แหวนเย็นลง ผมได้ยินเสียงบางอย่างในหัวเหมือนหัวใจของใครอีกคนกำลังอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
สิบเอ็ดโมงตรง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่เธอจะก้าวเข้ามาในห้องประชุม — อายันต์
เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเรียบ ๆ ผมรวบไว้เรียบร้อย ดวงตาคมสงบนิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ผมเกือบหยุดหายใจคือ “เธอเหมือนเดิมทุกอย่าง”
เหมือนเดิมจนแทบไม่มีทางเป็นไปได้
ยกเว้นเพียง…แววตาที่ไม่มีร่องรอยของการจดจำผมเลยแม้แต่นิดเดียว
“คุณคีรินทร์?”
“ใช่” ผมตอบช้า ๆ “เชิญนั่ง”
เธอเปิดสมุดบันทึกอย่างเป็นงานเป็นการ “วันนี้ฉันมาขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการลงทุนของ Kirin Group หลังเทคโอเวอร์สยามอาร์คค่ะ”
ไม่มีคำว่า เมื่อคืนนี้เราเจอกันแล้ว
ไม่มีคำว่า อย่าออกจากตึกหลังสี่ทุ่ม
ไม่มีอะไรเลย นอกจากความว่างเปล่าระหว่างเรา
ผมนั่งเงียบ ฟังเธอพูดอย่างมืออาชีพ เสียงของเธอไม่สั่น ไม่สะดุด
แต่ทุกครั้งที่เธอขยับมือ แหวนเงินวงนั้นก็สะท้อนแสงอ่อน ๆ เหมือนกำลังทักผม
ผมเอื้อมมือไปจับแก้วน้ำตรงหน้า ทันใดนั้นวงแหวนที่นิ้วนางของผมก็กระตุกแรง — เหมือนมีใครอีกคนแตะมันจากอีกฝั่งของเวลา
น้ำในแก้วสั่นระริก
อายันต์เงยหน้าขึ้น “คุณคีรินทร์?”
“ขอโทษครับ…ไฟฟ้าสถิตนิดหน่อย” ผมโกหก แล้วพยายามซ่อนมือไว้ใต้โต๊ะ
ในวินาทีนั้น แหวนของเราทั้งคู่เปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน — แสงนั้นบางแต่ชัดเจนพอให้ผมเห็นว่า เธอก็รู้สึกได้เหมือนกัน
ดวงตาเธอเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนรีบหลบสายตา
“มีอะไรหรือเปล่า?” ผมถาม
“ไม่มีค่ะ แค่…รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ” เธอยิ้มบาง “คงเพราะกาแฟเช้านี้แรงไปหน่อย”
โกหกแน่ เธอไม่ใช่คนชอบกาแฟเข้ม ผมจำได้ — เธอชอบลาเต้รสอ่อน หวานครึ่งช้อน
แต่ผมไม่พูดอะไร ปล่อยให้เธอดำเนินการสัมภาษณ์ต่อ
ระหว่างที่เธอถามคำถาม ผมลอบสังเกตนิ้วมือเธอ แหวนวงนั้นยังคงอยู่
ผมอยากรู้ว่ามันตอบสนองต่อ “อารมณ์” หรือ “ความทรงจำ” กันแน่
ผมจึงลองพูดคำที่เคยบอกเธอก่อนเธอตาย—คำที่ผมไม่เคยพูดซ้ำกับใครอีก
“คุณรู้ไหม ว่าผมไม่เคยเชื่อในโชคชะตา” ผมพูดเรียบ ๆ ขณะมองเข้าในตาเธอ
มือของเธอหยุดเขียนทันที แหวนของเราทั้งคู่เปล่งแสงขึ้นอีกรอบ คราวนี้แรงกว่าเดิมจนได้ยินเสียงจังหวะหัวใจแผ่วเบาในอากาศ
อายันต์หลุบตาลง สีหน้าเริ่มซีด “แปลกจังค่ะ…”
“อะไรแปลก”
“เหมือนฉันเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน ทั้งที่แน่ใจว่าเราเพิ่งเจอกันวันนี้”
ผมเอนตัวพิงเก้าอี้ ชีพจรเต้นแรง
แหวนที่มือผมเย็นลงอีกครั้ง — เย็นจนชาเหมือนจะเตือนว่าอย่าเข้าใกล้ความจริงเร็วเกินไป
ผมยิ้มมุมปาก “บางทีเราอาจเคยเจอกันในฝันก็ได้”
เธอหัวเราะเบา ๆ “หรือไม่ก็ในความตาย”
เสียงหัวใจผมสะดุดวูบ
ผมรู้แน่ — เธอจำได้ เพียงแต่ยังไม่ทั้งหมด
และตอนนั้นเอง เสียงข้อความสั้นจากโทรศัพท์ดังขึ้น
[ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ระบบเซิร์ฟเวอร์ Kirin Group แสดงวันที่ผิดพลาด — เวลากลับไปเป็น 7 พฤศจิกายน 09:13 น.]
เวลาเดียวกับวันนั้น… วันที่ทุกอย่างเริ่มต้น
ผมเงยหน้ามองหญิงตรงหน้า
เธอก็เงยหน้ามองผมในเวลาเดียวกัน
ในดวงตาเราทั้งคู่สะท้อน “วงแหวน” ที่กำลังเรืองแสงชัดเจนเหมือนหัวใจสองดวงเต้นในจังหวะเดียวกันอีกครั้ง
แสงจากวงแหวนแตกกระจายเป็นเศษประกายสีเงิน ลอยวนรอบตัวเธอเหมือนฝุ่นดาว
อายันต์ยกมือขึ้นปิดหน้า แต่ในดวงตาเธอมีน้ำตา — ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเจ็บปวด
“คุณเห็นใช่ไหม…” เธอกระซิบ “เงานั่น…คือคุณในอนาคต”
ผมก้าวเข้าไปหาเธอ สัมผัสที่ปลายนิ้วเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลย้อนเข้าหัวใจ “ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก”
วงแหวนทั้งสองวงส่องสว่างขึ้นพร้อมกัน ราวกับรับรู้คำสัญญา
ทันใดนั้น เสียงดัง ครืด! ดังมาจากด้านนอก — กระจกบานใหญ่ทั้งผนังเริ่มแตกร้าวเป็นเส้น
เวลาที่หยุดนิ่งเมื่อครู่เริ่มไหลกลับอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ปกติ… เข็มนาฬิกากำลังหมุนย้อน
อายันต์ร้องเบา ๆ “มันเริ่มแล้ว…”
ผมหันมองเธอ “เริ่มอะไร?”
“การแลกเปลี่ยน…”
พื้นใต้เท้าสั่นสะเทือน วินาทีนั้นร่างของเธอเริ่มจางลงต่อหน้าผม
ผมคว้าแขนเธอไว้แน่น “อย่าหายไปอีก!”
แสงจากวงแหวนแผ่ขยายจนทุกอย่างขาวโพลน
แล้วทุกอย่างก็ดับลง—เหลือเพียงเสียงของเธอในความมืด
“สิบสามวัน…อย่าให้ฉันตายอีกนะ คีรินทร์”
