ตอนที่ 1 : เธอที่ตายไปแล้ว
มจำเสียงสุดท้ายของเธอได้แม่น…
เสียงเรียกชื่อผมผ่านลมหายใจสุดท้าย—“คีรินทร์” แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไปพร้อมเสียงหัวใจที่หยุดเต้นตรงหน้า
ตอนนั้นผมยืนอยู่ในห้องฉุกเฉิน มือเปื้อนเลือดของเธอจับเสื้อผมแน่นเหมือนกลัวว่าถ้าปล่อยมือ โลกจะหายไปทั้งใบ
และมันก็หายไปจริง ๆ—พร้อมกับ “อายันต์”
สามเดือนหลังจากวันนั้น ผมฝังตัวอยู่กับงานมากกว่าหายใจ จนเลิกเชื่อในอะไรที่ชื่อว่า “โชคชะตา” หรือ “การให้อภัย” แต่ในเช้าวันนี้—วันที่ฝนพรำเหมือนวันนั้นเป๊ะ—เธอกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเหมือนไม่เคยจากไป
หญิงสาวในชุดทำงานสีขาวสะอาดเดินเข้ามาในห้องประชุมของผม พร้อมแฟ้มเอกสารในมือ ดวงตาคู่เดิมที่ผมจำได้ไม่ผิดแน่
เธอก้มหัวเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยเสียงนิ่ง
“สวัสดีค่ะ คุณคีรินทร์ ขอบคุณที่ให้สัมภาษณ์”
คำว่า “สัมภาษณ์” ทำให้ผมชะงักไปครู่หนึ่ง
ผมหันไปมองธาม—บอดี้การ์ดและผู้ช่วยส่วนตัวของผม เขาส่งสายตากลับมาที่เต็มไปด้วยคำถามเดียวกับที่ผมกำลังคิด
เธอไม่ควรจะมีชีวิตอยู่
ผมพยายามควบคุมสีหน้า ทั้งห้องประชุมมีผู้บริหารอีกสองสามคน พีอาร์ของบริษัท และเลขานุการกำลังเตรียมสไลด์โชว์เกี่ยวกับการเทคโอเวอร์บริษัท “สยามอาร์ค”
เสียงเครื่องโปรเจกเตอร์ดัง “ปี๊บ” ขึ้นเบา ๆ แล้วภาพโลโก้ของกลุ่ม Kirin ปรากฏบนจอ
ผมพูดออกไปช้า ๆ “คุณชื่อว่าอะไรนะครับ”
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง “อายันต์ค่ะ”
ผมหัวเราะในลำคอ “ชื่อซ้ำกันกับคนที่ผมเคยรู้จัก”
“อาจจะเป็นคนเดียวกันก็ได้ค่ะ” เธอตอบโดยไม่หลบตา
วินาทีนั้น ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปในอากาศ—เหมือนกลิ่นฝนผสมเหล็กกล้า เธอมองตรงมาที่ผม ดวงตาไม่ไหวเอนแม้แต่น้อย และที่นิ้วนางซ้ายของเธอ…มีแหวนเงินวงหนึ่งสะท้อนแสงจนแสบตา
ผมจำได้ดี แหวนวงนั้นคือหลักฐานที่ตำรวจส่งให้ผมหลังการชันสูตร เธอสวมมันในวันที่เสียชีวิต—วงแหวนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เลือดในกายผมเย็นเฉียบลงทันที “ขอถามอะไรหน่อย” ผมพูดเสียงเรียบ “แหวนวงนั้น คุณได้มายังไง”
อายันต์ยกมือขึ้น เหมือนจะตอบคำถามด้วยรอยยิ้มบาง “ของขวัญค่ะ ของคนคนหนึ่ง…ที่ฉันยังติดหนี้เขาอยู่”
ผมไม่ได้พูดต่อ แต่สายตาทุกคู่ในห้องจับจ้องเราทั้งสอง เหมือนกำลังดูฉากหนังที่คนเขียนบทลืมตัดต่อ
เสียงหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ดังขึ้นกลบความเงียบ
“เอ่อ…งั้นเรามาเริ่มสัมภาษณ์เลยไหมคะ คุณคีรินทร์?”
ผมพยักหน้า แต่สายตายังไม่ละจากหญิงตรงหน้า
“ได้สิ เริ่มเลย”
“การเทคโอเวอร์สยามอาร์คในครั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่เสี่ยง คุณมีอะไรอยากชี้แจงไหมคะ”
เสียงของอายันต์นิ่งกว่าที่ผมจำได้จากครั้งสุดท้าย เธอไม่มีแววสั่น ไม่มีรอยอ่อนล้าจากอดีต เหมือนคนที่ไม่เคยผ่านคืนฝนวันนั้นมาด้วยซ้ำ
ผมโน้มตัวเล็กน้อย “เสี่ยงสิ แต่ในโลกของผม ไม่มีอะไรที่คุ้มค่าโดยไม่ต้องเสี่ยง”
เธอจดลงในสมุดบันทึก มือข้างหนึ่งขยับแตะแหวนที่นิ้วนางอย่างไม่รู้ตัว ผมมองแค่นั้น แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยภาพตอนที่ผมเห็นแหวนวงเดียวกันวางอยู่บนโต๊ะชันสูตร พร้อมร่างที่เย็นเฉียบของเธอ
“ถ้าความเสี่ยงนั้นหมายถึงการสูญเสียล่ะคะ” เสียงเธอถามต่อ ดวงตาไม่วางจากผม “คุณยังจะเลือกไหม”
ผมหยุดคิดไปชั่ววินาที
“ผมสูญเสียมามากพอจะรู้ว่า การยอมแพ้ไม่ช่วยให้ได้อะไรกลับมา”
เธอยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่ทั้งคุ้นและเจ็บแปลบในอก “งั้นคุณก็คงเข้าใจคนที่อยากเริ่มต้นใหม่ เหมือนกันสินะคะ”
เสียงคลิกปากกาดังขึ้น ขณะบอดี้การ์ดของผม—ธาม—ยื่นกระดาษรายงานให้เซ็น ผมรับมาโดยไม่ละสายตาจากเธอ
ในรายงานนั้นคือสัญญาเทคโอเวอร์ชุดใหม่ แต่ผมแทบไม่อ่านแม้แต่ตัวอักษรเดียว
เพราะในขณะเดียวกัน วงแหวนเงินบนมือเธอ…เริ่มเปล่งแสงอ่อนๆ ราวกับมีแสงไฟลอดออกมาจากข้างใน
ผมหยุดนิ่ง แสงนั้นสะท้อนเข้าตา จนหัวใจผมเต้นแรงขึ้นอย่างไร้เหตุผล
“แสงนั่น…” ผมพึมพำเบาๆ
เธอชะงัก เหมือนเพิ่งรู้ตัวเช่นกัน รีบดึงมือกลับลงใต้โต๊ะ “แสงจากโคมไฟมั้งคะ”
โกหก ผมรู้แน่—เพราะโคมไฟห้องนี้เป็นแสงขาวนิ่ง ไม่มีทางสั่นวูบได้แบบนั้น
ผมเอนตัวพิงเก้าอี้ “คุณรู้ไหม ว่าผมไม่ชอบคนโกหก”
“แล้วคุณคิดว่าฉันกำลังโกหกเรื่องอะไร”
“เรื่องที่คุณคือใครกันแน่”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเรียบ “บางทีฉันอาจจะเป็นคนเดิม…แค่ยังมีเวลาเหลืออีกสิบสามวันให้ใช้ต่างออกไป”
ลมหายใจของผมสะดุด ทุกคำพูดของเธอกรีดลงในสิ่งที่ผมฝังไว้ลึกที่สุด—“สิบสามวัน” คือตัวเลขเดียวกับจำนวนวันที่เธอหายไปก่อนถูกพบเป็นศพ
“ใครบอกคุณเรื่องนั้น” ผมถาม เสียงเริ่มต่ำลง
“ไม่มีใครบอก” เธอตอบพลางยกสายตาขึ้นสบ “ฉันจำมันได้เอง—ทุกวินาทีที่ตายไป”
ในวินาทีนั้น ทั้งห้องเงียบสนิท เหมือนอากาศถูกดูดออกไปหมด
ธามขยับตัวทันที มือแตะข้างเอวที่ซ่อนอาวุธไว้โดยสัญชาตญาณ แต่ผมยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้อง” ผมพูด “ผมอยากฟังต่อ”
อายันต์มองหน้าผมตรงๆ “คืนนี้ ถ้าคุณยังอยู่ที่นี่ถึงเที่ยงคืน คุณจะเห็นในสิ่งเดียวกับที่ฉันเห็นตอนก่อนตาย”
“นี่คุณกำลังขู่ผมหรือเตือนผม”
“แล้วแต่คุณจะเรียก แต่ถ้าคุณไม่อยากเสียใครไปอีก…อย่าออกจากตึกนี้หลังสี่ทุ่ม”
เธอพูดจบ เก็บแฟ้มและลุกขึ้นโดยไม่รอคำตอบ พนักงานพีอาร์ที่นั่งมุมห้องมองหน้ากันงุนงง ผมเองก็นั่งนิ่ง รู้เพียงอย่างเดียว—
กลิ่นฝนในวันนี้เหมือนกับวันที่เธอตายไม่ผิดเลย
ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงยังอยู่ในตึกนี้หลังสี่ทุ่ม
บางทีอาจเพราะอยากพิสูจน์ว่าเธอพูดโกหก หรือบางที…ผมอยากเชื่อว่าปาฏิหาริย์ยังมีจริง
เสียงฝนกระแทกกระจกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งชั้น 45 มีเพียงแสงไฟสีขาวจากโถงกลางที่สะท้อนบนพื้นกระจกมันวาว ผมวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ ปลดกระดุมสูทออกหนึ่งเม็ด แล้วเทเหล้าวิสกี้ลงแก้ว
รสขมและแสบเหมือนความทรงจำ
“คุณแน่ใจนะครับว่าจะอยู่ต่อ”
เสียงธามดังขึ้นจากมุมห้อง เขายังไม่ยอมกลับ แม้ผมบอกไปหลายครั้งแล้ว
“กลับไปเถอะ ธาม พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า”
“แต่คุณ—”
“นี่คำสั่ง”
ชายหนุ่มลังเลนิดหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ครับ”
เขาออกจากห้องไป เสียงประตูปิดดัง “ติ๊ก” เบา ๆ
ผมเหลือบมองนาฬิกา — 22:04 น.
หัวเราะในลำคอเบา ๆ “ก็ผ่านมาแล้วนี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย…”
แต่ยังไม่ทันจบประโยค แสงไฟเหนือศีรษะก็กระพริบวูบหนึ่ง—สอง—สามครั้ง ก่อนดับวูบไปทั้งชั้น
เงียบ
เหลือเพียงเสียงฝนกับเสียงหัวใจของตัวเองที่ดังในความมืด
ผมวางแก้วลง เดินไปที่แผงควบคุมด้านข้าง แต่ทุกปุ่มดับสนิท โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ อินเทอร์เน็ตขาดเหมือนมีใครตัดสายหลักของตึก
เสียง “ติ๊ก…ติ๊ก…” ดังขึ้นจากอีกฝั่งของห้อง เป็นเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นกระจก—ช้า ๆ
หนึ่งก้าว…
สองก้าว…
จนเงาร่างบางปรากฏตรงปลายทางเดิน
ผมรู้ทันทีว่าเป็นเธอ
“อายันต์…” ผมเรียกชื่อออกไป ทั้งที่รู้ว่ามันอาจไม่ใช่คนจริง ๆ
เธอยืนนิ่งใต้เงาไฟฉุกเฉินที่ส่องแสงสีส้มอ่อน ใบหน้าเธอซีดกว่าปกติแต่ยังงดงามเหมือนเดิม ดวงตาคู่นั้นสะท้อนภาพผมกลับมาราวกับอยู่ในกระจก
“คุณอยู่ที่นี่…”
เธอยิ้มบาง “ฉันเตือนแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกจากตึกหลังสี่ทุ่ม”
“คุณต้องการอะไรจากผม” ผมถามเสียงต่ำ
“ไม่ใช่ฉันที่ต้องการ…แต่ ‘มัน’ ต่างหาก”
เธอเอื้อมมือขึ้น วงแหวนเงินบนมือเปล่งแสงแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนห้องทั้งห้องถูกกลืนด้วยประกายขาว
ผมยกมือบังหน้า แต่ทันใดนั้น แสงทั้งหมดก็หายวับไปพร้อมกับเสียงบางอย่างที่แตกดังลั่น—เสียงแก้วเหล้าที่ผมวางไว้แตกละเอียดบนพื้น ทั้งที่ไม่มีใครแตะต้อง
ภาพตรงหน้าผมกลับกลายเป็น—ห้องเดียวกัน แต่ไม่ใช่เวลานี้อีกต่อไป
ท้องฟ้านอกหน้าต่างสว่างขึ้น มีแสงแดดลอดผ่านม่านลงมา ผมมองนาฬิกาอีกครั้ง…
เข็มสั้นชี้ที่ เก้าโมงเช้า วันที่ 7 พฤศจิกายน
ผมยืนนิ่งไปหลายวินาที ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไป
ตรงโต๊ะทำงานของผม มีถ้วยกาแฟวางอยู่ และมีแฟ้มเอกสารสีขาวที่ผมจำได้ดี—แฟ้มเดียวกับที่เธอนำมาสัมภาษณ์เมื่อเช้า
แต่สิ่งที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบคือกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่ติดอยู่บนแฟ้ม
เขียนด้วยลายมือของเธอชัดเจน—
“ถ้าคุณจำได้ทั้งหมด…อย่าให้ใครรู้ว่าฉันกลับมา”
ผมยืนมองตัวหนังสือบนนั้นอยู่นาน ความเงียบภายในห้องหนาแน่นจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
นี่มันอะไรกันแน่—ผมฝัน หรือผม…ย้อนเวลาเหมือนเธอ?
ผมหมุนตัวกลับไปทางหน้าต่างอีกครั้ง เมืองทั้งเมืองสว่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ในเงากระจกสะท้อนกลับมา ผมเห็นบางอย่างที่ไม่ควรเห็น—
รอยแหวนเงินปรากฏอยู่บน นิ้วนางซ้ายของผมเอง
ผมยกมือขึ้นช้า ๆ มองมันอย่างไม่เชื่อสายตา
วงแหวนเดียวกับของเธอ… วงแหวนที่หายไปในคืนที่เธอตาย
และในขณะเดียวกัน เสียงผู้ช่วยส่วนตัวส่งข้อความเข้ามาในโทรศัพท์
“คุณคีรินทร์ครับ นักข่าวชื่อ ‘อายันต์’ ขอเลื่อนเวลาสัมภาษณ์เป็นพรุ่งนี้เช้า เพราะวันนี้เธอติดธุระ”
ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงนั้นฟังดูเหมือนคนที่เพิ่งสูญเสียสติ
เมื่อคืนผมเจอเธอ แต่ตอนนี้…เธอยังไม่เคยปรากฏตัวเลย
หัวใจผมเต้นแรงกว่าที่ควรเป็น
และความรู้สึกเดียวที่แล่นขึ้นมาในสมองมีเพียงคำเดียว—
“นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…”
