ตอนที่ 4 Part อดีต…ก็แค่อยากทักทาย
หลังจากวันนั้น ที่พี่อิงฟ้าเอาชานมไข่มุขมาให้ ก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว และเหมือนเราจะได้บังเอิญเจอกันบ่อยมากขึ้น ทั้งเดินสวนกันที่โรงอาหาร เดินสวนกันตอนเปลี่ยนคาบเรียน แล้วก็เจอกันหลังเลิกเรียนแทบจะทุกวันเลย
แต่ทุกครั้งที่เจอกันเพื่อนๆของเธอก็จะคอยสกิดเธอและชี้มาทางผม แต่เธอก็ทำเพียงแค่หันมามองแค่แวบเดียวแล้วก็หันหนีเหมือนพยายามจะหนีหน้าผม ไม่ได้อยากจะคุยด้วยไรงี้
ไอ้กันต์เล่าให้ผมฟังว่าเธอเป็นคนที่เรียนเก่งมากๆ และไม่เคยได้ยินข่าวว่าเธอเคยมีแฟนเลยซักคน แล้วก็คงไม่คิดจะมีแฟนเร็วๆนี้ด้วยมั้ง เพราะเธอเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียน หลังเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษต่ออีก
แล้วมันก็ยังเล่าต่อว่าเธอตั้งใจจะสอบเข้าคณะแพทย์เลยทำให้เธอสนใจมุ่งมั่นแค่การเรียนเป็นหลัก
แต่พอได้บังเอิญเจอกันบ่อยๆเข้า ผมก็เพิ่งจะสังเกตว่าทุกครั้งเธอจะหลบสายตาผมตลอดเลย เหมือนไม่อยากจะคุยหรือไม่อยากจะยุ่งอะไรด้วยซักเท่าไหร่ แต่เธอจะรู้ไหมยิ่งเธอทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมชักจะสนใจเธอขึ้นมาแล้วสิ อยากจะเข้าใกล้เธอมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก จากที่ตอนแรกกะจะแกล้งเธอให้เขินผมเล่นๆ แต่เหมือนจะเป็นผมมากกว่าที่ตกหลุมพลางของตัวเองเข้าให้แล้ว
End Dandin Jirayu…
.
.
Ingfah Kawintra talk…
“นั่นมันกลุ่มน้องแดนดินนี่แก โอ๊ยกลุ่มนี้คือแบบ หล่อ มาดแมน แฮนซั่ม กันทุกคนเลยจริงๆ งานดีน่าขย้ำสุดๆ พูดแล้วน้ำลายสอ แค่คิดนี่ขาเราก้าวเข้าคุกข้างนึงละมั้งเนี่ย นั่นนน...พวกน้องเขากำลังเดินมาทางนี้กันแล้วด้วยแก อ๊ายยย”
ยัยพอลลี่กอดแขนฉันระหว่างเดินพร้อมเขย่าแขน ดี๊ด๊าไม่หยุด สมองซีกนึงของฉันสั่งการไม่ให้สนใจ ไม่ให้หันไปมองตาม แต่สมองอีกซีกกลับไม่รักดีดันหันไปมองตามที่ยัยพอลลี่พูดเฉยเลย ในระหว่างที่เรากำลังเดินข้ามถนนสายตาฉันก็หันไปสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขาผู้ชายที่ชื่อ “แดนดิน” เข้าพอดี
จะว่าไปที่ผ่านมาเราก็บังเอิญได้เจอกันอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากนัก เหมือนเขาจะมองฉันตลอดแต่เป็นฉันเองที่พยายามหลบเลี่ยงเขาทุกครั้งไป
ใบบรรดาสามคนนี้ถ้าถามว่ารู้จักใครมากสุด ก็คงจะเป็นน้องกันต์ เพราะเราเคยเรียนโรงเรียนสอนพิเศษที่เดียวกันเลยพอจะได้พูดคุยกันอยู่บ้าง น้องกันต์จะออกแนวเจ้าชู้ๆหน่อย สายตาแพรวพราวใช่เล่น คุยเก่งเข้ากับคนง่าย
ส่วนน้องหนึ่งก็เคยเจอผ่านๆไม่ได้รู้จักอะไรมากไปกว่านั้น แต่มีครั้งนึงที่เคยสบตากับน้องเขาตรงๆฉันว่าสายตาเขาน่ากลัวนะหรืออาจเป็นเพราะน้องเขาไม่ค่อยชอบยิ้มก็ได้มั้ง บุคคลิกเขาดูเป็นคนนิ่งขึมไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่จะว่าไม่ค่อยยิ้มก็ไม่ได้สิเพระฉันไม่เคยเห็นน้องเขายิ้มเลย สายตาเขาออกจะดุๆหน่อย
คนสุดท้ายน้องแดนดิน ฉันก็ไม่ค่อยได้รู้จักน้องเขาเท่าไหร่หรอก ที่เคยใกล้กันมากสุดก็ตอนที่เขาช่วยชีวิตฉัน กับตอนที่เอาชานมไข่มุขไปให้นั่นแหละ บุคคลิกภายนอกเขาก็ดูนิ่งๆนะ ดูสุขุมนุ่มลึก สายตาแพรวพราวพอตัว แต่ก็ไม่ได้ดูเจ้าชู้เท่าน้องกันต์มั้ง ยิ่งเวลาฉันสบตากับเขามันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง สายตาเขาดูร้อนแรงจนใจสั่น ฉันเลยเลี่ยงที่จะมองหน้าสบตาเขา บอกตรงๆว่ากลัวใจตัวเอง!!...
“น้องแดนดินหันมามองทางนี้ด้วยอะแก แต่เหมือนจะมองมาที่ยัยอิงนะ ใช่มะ” ยัยพอลลี่ที่อยู่ข้างฉันพูดขึ้น ตั้งแต่วันที่น้องเขาช่วยชีวิตฉันไว้ ยัยเพื่อนพวกนี้ก็ชงไม่หยุดเลย เชียร์กันสุดๆ
“เออ...จริงด้วยว่ะ ดินมันมองมาที่แกอะยัยอิง” ยัยแป้งพูดเสริมอย่างเห็นด้วย
“ไม่ใช่หรอกมั้ง พวกแกอย่าพูดเพ้อเจ้อ รีบเดินเถอะ”
ฉันรีบพูดตัดบทไปแค่นั้นเราก็เดินมาถึงทางเข้าประตูโรงเรียนพอดีฉันจึงรีบดึงแขนยัยพอลลี่กับยัยแป้งเดินเข้าโรงเรียนทันที เพราะฉันยังไม่อยากเจอหน้าเขา ผู้ชายที่ทำให้ใจฉันสั่นแปลกๆ
ซึ่งเขาคือผู้ชายคนแรกที่ฉันรู้สึกแบบนี้ด้วย ในชีวิตฉันก็เคยมีคนเข้ามาคุยด้วยนะและฉันก็ไม่ได้ปิดกั้นขนาดนั้น แต่ไม่นานก็เลิกคุยและหายไปเพราะไม่สามารถเข้ากับฉันได้ ชีวิตฉันมันน่าเบื่อพอเลิกเรียนก็ต้องไปเรียนพิเศษต่อ
ขนาดเสาร์-อาทิตย์บางครั้งยังต้องไปเรียนพิเศษเลย บางทีฉันก็เหนื่อยนะ ฉันเบื่อฉันอยากมีชีวิตได้เที่ยวเล่นแบบเด็กทั่วไปบ้าง แต่ก็ได้แค่คิด เพราะแม่ฉันคาดหวังกับฉันไว้มากท่านอยากให้ฉันเป็นหมอ เพราะพี่ชายฉันหัวรั้นไม่ยอมเรียนหมอตามที่แม่ต้องการ ความหวังเลยมาตกอยู่ที่คนหัวอ่อนแบบฉันเต็มๆ
หลังจากเรียนจบคาบสอง กำลังจะไปต่อคาบที่สาม ฉันเก็บของช้าสุดเลยให้เพื่อนไปก่อน ในขณะที่กำลังจะเดินไปทางเชื่อมตึกวิทยาศาสตร์ ฉันก็เจอเข้ากับกลุ่มน้องทั้งสามคนกำลังจะเดินสวนกันไป น้องทั้งสามที่ฉันพูดถึงก็ น้องกันต์ น้องหนึ่ง และน้องแดนดินน่ะ
ทำไงดีเนี่ยฉันไม่อยากเจอเขาในเวลานี้ เวลาที่อยู่คนเดียวแบบนี้เลยอย่างน้อยๆให้ได้เจอกันตอนที่อยู่กับกลุ่มเพื่อน ก็ยังจะดีกว่าเจอกันแบบหัวเดียวกระเทียมลีบเหมือนตอนนี้
ในขณะนั้นเองฉันพยามจะไม่มองเขาและกำลังจะเดินผ่านแต่เขาก็เดินมาดักทางฉันไว้ พอหลบมาอีกฝั่งก็โดนเขาตามมาดักไว้อีก
“เอ๊ะ นี่” ฉังส่งเสียงไม่ได้ดังมากนัก และหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับเงยหน้าจ้องมองเขา แต่ก็ไม่กล้าสบตาเขาอยู่ดี ได้แต่หาจุดโฟกัสอื่น เช่นปากชมพูของเขา
“ไอ้ดินอย่าแกล้งพี่เขา” ดูแล้วน่าจะเป็นเสียงน้องหนึ่ง
“ก็แค่อยากทักทาย” คนตรงหน้าตอบโดยที่เขายังเอาแต่จ้องหน้าฉันอยู่ ฉันถึงกับสตั้นไปเลย อยากทักทายทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะ
“ชะ ช่วยหลีกทางได้มั้ยคะ” ฉันพูดและเงยหน้าขึ้นมองเขาจึงเห็นว่ากำลังยิ้มอยู่
“ได้สิครับ” เขาตอบกลับมาพร้อมเบี่ยงตัวออกนิดหน่อยไม่กี่อึดใจก็พูดต่อ “สวัสดีครับ…พี่อิงฟ้า”
“อ่าาา ค่ะขอตัวนะคะ”
ฉันรับคำพร้อมกับรีบเบี่ยงตัวหันข้างเดินผ่านตัวเขาที่เปิดทางให้เดินด้วยช่องอันน้อยนิด ทำให้ได้กลิ่นน้ำหอมรวมกับกลิ่นตัวเขาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วรีบเดินออกมาจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดตรงนั้นทันที เฮ้อ…รอดแล้วทำแบบนี้ทำไม ไม่รู้รึไงว่าคนมันใจสั่นอะ งื้อออ ‘ไอเด็กบ้า’
