ตอนที่ 4 อธิษฐานดั่งคนเขลา1
เป็นเพราะตลอดการเดินทางไม่ได้มีการเร่งรีบ จึงกินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยามเลยทีเดียว กว่าที่รถม้าจะมาหยุดอยู่หน้าอารามจี๋ฟาซุ่น
อารามแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ต้นไม้ใหญ่มีมากมายล้อมรอบทำให้ดูร่มรื่นยิ่งนัก นาง ท่านแม่ ท่านป้าอี้ร่วมไปถึงบุรุษที่นางแอบหลงรักมานานต่างพากันหันมองสำรวจบรรยากาศรอบข้างอย่างชื่นชม
อาจจะเป็นเพราะที่นี้เป็นอารามจึงทำให้นางรู้สึกสงบร่มเย็น เสียงกระดิ่งขอพรที่ถูกผูกเอาไว้จำนวนมากที่ต้นไม้ใหญ่ยามเมื่อถูกลมพัดก็ยิ่งทำให้จิตใจคนผ่อนคลายได้อย่างประหลาด หรือนี้คือพลังของธรรมชาติที่แสนสงบกัน
ซูเมิ่งได้ติงหยู่ประคองขึ้นบันไดกว่ายี่สิบขั้นจึงจะถึงหน้าประตูอาราม แน่นอนว่าท่านแม่ของนางก็ได้สาวใช้คนสนิทประคองขึ้นบันใดมาเช่นกัน ส่วนด้านท่านป้าอี้ แน่นอนว่ายอมเป็นบุรุษชายของนางอย่างเว่ยมู่เหยียนเป็นผู้ประคองท่านแม่ของตนขึ้นมาอยู่แล้ว
พวกนางทั้งสามใช้เวลาอยู่ภายในอารามพักใหญ่ ก่อนที่ท่านแม่ของนางจะเอ่ยให้นางออกมารอท่านที่ด้านหน้าอารามก่อน ส่วนนางและท่านป้าอี้จะอยู่สนทนากับต่อกับไต้ซือหลีหมิ่งผู้เป็นผู้ดูแลอารามแห่งนี้สักครู่
ยามนี้นางจึงยืนอยู่ที่ด้านหน้าอารามกับติงหยู่เพียงสองคน
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราไปหาที่นั่งรอฮูหยินก่อนเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทเอยขึ้นกับนาง แน่นอนว่าซูเมิ่งนั้นพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งสองนายบ่าวจะพากันเดินออกมาจากหน้าอารามเพื่อหาที่นั่งรอ เลาะข้างอารามมาก็พบว่าข้างๆนั่งมีจวี๋ฮวาปลูกอยู่มากมาย สองนายบ่าวจึงถูกความงามของดอกไม้เหล่านี้เข้าล่อจนลืมที่จะหาที่นั่งรอไปเสียหมด
.”จวี๋ฮวา(ดอกเบญจมาศ) พวกนี้สวยงามนัก”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ สวยงามกว่าที่จวนของพวกเราอีก” ติงหยู่เอ่ยออกมาตามที่นางคิด
“ดินที่นี่คงเหมาะกับการปลูกจวี๋ฮวากระมัง” นางเอ่ยขึ้นขณะเดียวกันก็ลูบกลีบดอกไม้แสนงามอย่างเบามือและทะนุถนอมยิ่ง
จวี๋ฮวาเหล่านี้มีสีแดงสวย ความหมายของมันคือความโชคดีและงดงามยาวนานไม่เสื่อมคลาย นางคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือไม่ว่าตนนั้นกำลังมีโชคดีอยู่ติดตัวจึงได้เดินมาเจอจวี๋ฮวาเหล่านี้ สวรรค์กำลังมองและอวยพรนางใช่หรือไม่
เหลียงซูเมิ่งคิดก่อนจะกุมมือของตนเองขึ้นมาประกบกันเอาไว้อยู่ในระดับหน้าอกของตน แล้วจึงได้หลับตาลงนางทำอย่างนี้ก่อนจะมอบความกล้าให้ตัวเองโดยการตั้งมั่นในใจ ก่อนจะขอให้ตัวเองมีโชคดีเพิ่มขึ้นอีกนิดอย่างขาดเขลานัก นางไม่กล้าขออะไรมากไปกว่านี้ จึงได้เพียงแค่ขอให้ตัวนางนั้นมีโชคเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย
เพียงนิดหน่อยเท่านั้น ข้าขอเถิด โปรดมอบโชคดีนี้ให้ข้าเถิด
จวี๋ฮวาเอ้ยขอเจ้าจงนำโชคดีมาสู่ข้า
เว่ยมู่เหยียนทอดสายตามองไปที่สตรีที่ตนกำลังจะแต่งงานด้วยอีกไม่ถึงเดือนอย่างไม่เข้าใจนัก
นั่นนางกำลังทำสิ่งใดอยู่หน้าพุ่มจวี๋ฮวากัน หลับตาลงเช่นนั้นไม่ใช่ว่ากำลังขอพรหรืออธิฐานสิ่งใดอยู่หรอกหรือ เขานั้นอุตส่าห์พานางและพวกท่านแม่มาถึงอารามแห่งนี้แทนที่นางจะเข้าไปขอพรในอารามเช่นเดียวกันกับผู้อื่นแต่กลับมายืนขอพรกับพุ่มจวี๋ฮวาเสียนี่
เขานั้นไม่เขาใจนางเลยจริงๆ อาจจะเป็นเพราะระหว่างเขากับนางจะถือว่ารู้จักกันก็คงได้ แต่ก็คงเป็นการรู้จักกับเพียงผิวเผยเท่านั้น มารดาเขากับมารดานางสนิทสนมกัน พวกเขาล้วนเคยเจอกันมาบ้างแต่ไม่เคยได้สนทนากันเพราะเขากับนางรู้สึกว่าจะอายุห่างกันเกือบหกปีเห็นจะได้ปีนี้เขาอายุล่วงยี่สิบสามปีแล้วส่วนนางก็คงสิบเจ็ดปีได้กระมัง
ให้พูดตามความจริงเขากับพี่สาวนางจึงจะเรียกได้ว่าสนิทสนมประหนึ่งพี่น้องร่วมสายเลือดเลยก็ว่าได้ จำได้ว่าเคยมีครั้งหนึ่งเหลียงซีซี(พี่สาวเหลียงซูเมิ่ง)เคยมาร้องไห้กับเขาหลังจากที่นางเคยทำให้น้องสาวของนางหรือก็คือเหลียงซูเมิ่งผู้นี้ต้องลมเย็นจนป่วยเพราะนางเป็นผู้ที่ชวนน้องสาวแอบออกมาเดินเล่นในสวนตอนกลางคืนของวันหนึ่ง
จำได้ว่าตอนนั้นเขายังแอบคิดอยู่เลยว่าช่างเป็นเรื่องที่ไม่ควรเก็บเอามาใส่ใจนัก คนป่วยได้ก็หายได้เช่นกัน เพียงถูกลมเย็นจนป่วยคงใช้เวลาไม่ถึงสามวันก็หาย ใครจะคิดว่าเหลียงซูเมิ่งผู้นี้จะล้มป่วยกินเวลาไปเกือบครึ่งเดือนกัน
เมื่อนึกมาถึงเหตุการณ์นี้เขาจึงคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนจะแต่งนางเข้าจวนก็ควรจะต้องจัดการเรื่องบ้างอย่างเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง ด้วยเหตุนี้ตลอดการเดินทางกลับจากอารามเว่ยมู่เหยียนจึงมีท่าทางราวกับกำลังขบคิดสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา
