บท
ตั้งค่า

Episode 03: The way to get rid of Seiji【2】

ถึงปากจะบอกว่าจะทำงานและออกคำสั่งให้เซย์จิห้ามกวนไปแล้วก็ตาม แต่กัลป์ก็ไม่ได้ทำงานเลยทั้งคืน ไม่ใช่ว่าเพราะถูกเซย์จิกวน แต่ถูกเสียงกรนของหมอนั่นกวนต่างหาก อย่าว่าแต่ไม่ได้นอนเลย นอนก็ไม่ได้นอนด้วยซ้ำ เซย์จินอนกรนสนั่นลั่นทุ่งขนาดนั้น ใครจะไปนอนหลับลงได้!

สุดท้ายเขาก็ไม่ได้แก้งาน ตัดสินใจปริ๊นท์ต้นฉบับดิบๆ ออกมาใส่ซอง ถือไปให้คุรุกิดูอย่างไม่มีทางเลือก

พอมาถึงสำนักพิมพ์ คุรุกิก็ไม่รอช้า พานักเขียนหนุ่มไปพูดคุยเรื่องที่ตั้งใจแจ้งไว้เลย ดีที่การพูดคุยเป็นการคุยกันแค่สองคนระหว่างคุรุกิกับกัลป์เท่านั้น กัลป์จึงไม่ต้องฝืนทำตัวสดชื่นทั้งที่ตาจะปิดให้ได้ระหว่างประชุมมากนัก

แต่กระนั้นก็จำต้องฝืนด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาทกับคุรุกิ หากแต่เพราะไม่ได้นอน การพูดคุยจึงไม่ค่อยเข้าหูเขาเท่าไหร่นัก คุรุกิพูดที เขาก็สัปปะหงกที เรียกว่าหลับในได้เลยล่ะ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คุรุกิเอื้อมตัวข้ามโต๊ะที่อยู่คั่นกลางระหว่างกันเข้ามาจ้องเขาใกล้ๆ นั่นแหละ

“เมื่อคืนไม่ได้นอนสินะครับอาจารย์”

เสียงนุ่มทุ้มทำให้กัลป์หลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะถอยเก้าอี้กรูดเมื่อเห็นว่าใบหน้าของคุรุกิที่จ้องเขาอยู่ใกล้เพียงคืบ

“คะ...คุณคุรุกิ”

น้ำเสียงตื่นๆ ของหนุ่มรุ่นน้องทำเอาคุรุกิหัวเราะร่วน ก่อนจะดึงตัวกลับมานั่งตามปกติ

“สงสัยผมคงต้องปล่อยอาจารย์กลับไปนอนแล้วล่ะ ง่วงซะขนาดนี้คงไม่มีสมาธิฟังผมต่อแล้วมั้ง อ้อ ระวังน้ำลายไหลด้วยนะครับ เมื่อกี้เหมือนจะหลับสนิทเลย”

“ขอโทษครับ” ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเล่นเพราะมีเสียงหัวเราะเจือตลอดการพูด แต่ก็จำต้องก้มขอโทษอย่างไม่มีทางเลือก

คุรุกิไหวมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ก่อนจะสรุปทุกอย่างที่พูดไปยืดยาวเมื่อครู่ให้ฟังอีกครั้งด้วยไม่อยากให้กัลป์กลับไปโดยไม่รู้ข้อมูลอะไร

“งั้นผมจะพูดสั้นๆ อีกทีแล้วกันครับ ที่ผมเชิญอาจารย์มาวันนี้ก็เพื่อจะแจ้งเรื่องการถ่ายแบบเพื่อโปรโมทสำนักพิมพ์ มีแพลนจะเริ่มโปรโมทช่วงเดือนหน้า หมายความว่าต้นฉบับของอาจารย์จะได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร BL ไปก่อนตอนนึง ฉะนั้น ผมอยากให้อาจารย์ช่วยเร่งต้นฉบับให้เสร็จก่อนกำหนดสักหน่อย เราจะได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการถ่ายแบบน่ะครับ”

กัลป์พยักหน้า เขาไม่ซีเรียสเรื่องการถ่ายแบบอะไรนี่เท่าไหร่เพราะสมัยเรียนมหา’ลัย เขาก็มีรับจ็อบเป็นนายแบบแบรนด์เสื้อผ้าเกรดบีอยู่บ้าง แต่ที่เขากังวลขึ้นมาฉับพลันก็เรื่องต้นฉบับของเขานี่แหละ เขาเขียนบทนำไปแล้ว เขียนตอนแรกสำหรับลงนิตยสารไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วด้วย หากแต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก ที่สำคัญ เขาไม่รู้ว่าจะเขียนไปต่ออย่างไรด้วย มีแววว่าจะต้องวางโครงเรื่องใหม่ตั้งแต่ตอนแรก

“เห็นอาจารย์เอาต้นฉบับมาด้วย ผมขอดูได้มั้ยครับ” แล้วคุรุกิก็โพล่งขึ้นมา สายตาเหลือบไปยังซองสีน้ำตาลบนโต๊ะ

กัลป์ไม่อยากให้เขาดูต้นฉบับในตอนนี้สักเท่าไหร่นักเพราะมันค่อนข้างชุ่ย แต่ก็จำต้องส่งให้คุรุกิดูเพื่อรับคำแนะนำ

คุรุกิรับซองเอกสารที่กัลป์เลื่อนไปตรงหน้าขึ้นมาเปิดดู ใช้เวลาเป็นสิบนาทีในการกวาดสายตาอ่านตัวหนังสือทั้งหมด ก่อนจะส่งเสียงอืมออกมา

ก็แค่ส่งเสียงอืมแหละนะ แต่ไม่มีคอมเม้นต์ใดๆ หลุดออกจากปากเสียทีจนกัลป์ชักกดดัน ร้องถามขึ้นมาแทน

“เป็นไงบ้างครับ”

“เปิดเรื่องแบบนี้ก็ไม่เลวนะครับ น่าสนใจดี ผมชอบนะ ชอบมากโดยเฉพาะคาแร็กเตอร์ของฝ่ายรับ ดูไม่พิมพ์นิยมดี แต่อาจจะต้องเกลาสำนวนอีกหน่อย ต้องคำนึงว่ามันเป็นนิยายรักนะครับ ไม่ใช่นิยายแฟนตาซี มันต้องมีโมเม้นต์หวานบ้าง ถึงฝ่ายรับจะมีคาแร็กเตอร์แมนๆ ก็เถอะ”

กัลป์ผ่อนลมหายใจยาวเล็กน้อยด้วยความโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อคุรุกิว่าขึ้นมาอีกครั้ง

“แต่ฝ่ายรุกนี่สิ ผมรู้สึกคุ้นๆ แปลก เหมือนจะเป็นผมเลย”

กัลป์ยิ้มแห้ง คุรุกิละสายตาจากต้นฉบับมามองหน้าหวานเล็กน้อย ก่อนยิ้มออกมา

“สารภาพมาตามตรงเลยครับว่าอาจารย์เอาผมไปเป็นคาแร็กเตอร์ของพระเอกใช่มั้ย”

“ไม่ใช่ครับ คุณคุรุกิคิดไปเองแล้ว คาแร็กเตอร์พระเอกแบบนี้ ใครๆ ก็เขียนกัน ไม่ใช่คุณหรอก” กัลป์ปฏิเสธไปทันใด

คุรุกิหัวเราะดังขึ้นไปอีก ก่อนจะวางต้นฉบับลงตรงหน้าแล้วเลื่อนปลายนิ้วชี้ไปยังตัวอักษรบนนั้น

“ผมก็อยากเชื่อแบบนั้นเหมือนกันครับ ถ้าเกิดว่าพระเอกไม่แนะนำตัวเองกับนายเอกว่าชื่อคุรุกิ ไค อย่างนี้น่ะ”

กัลป์เบิกตาโพลงอย่างตกใจ

นี่เขาเผลอเขียนชื่อคนดูแลต้นฉบับตัวเองลงไปเต็มยศขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!?

“ขอ...ขอโทษนะครับ” พอปฏิเสธไม่ได้แล้วก็ต้องก้มหน้ายอมรับ กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะโกรธที่เอาทั้งชื่อ ทั้งนามสกุลไปใช้โดยพละการแบบนี้

ทว่าคุรุกิไม่โกรธ หัวเราะร่วน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องปกติ นักเขียนท่านอื่นก็ชอบเอาผมไปจินตนาการว่าเป็นพระเอกเหมือนกัน หนักกว่านั้นก็นายเอก คุรุกิ ไค นี่โดนเล่นซะเยินเลย”

กัลป์หัวเราะขึ้นมาบ้าง ก็สมควรโดนเอาไปจินตนาการอยู่หรอก เป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมเสียขนาดนี้ มันหลุดออกมาจากนิยายชัดๆ

“ไว้ผมจะเปลี่ยนชื่อพระเอกแล้วกันนะครับ คุณจะได้ไม่รู้สึกแปลกๆ”

“เอาแค่นามสกุลออกก็พอครับ ใช้ชื่อไคเฉยๆ ก็ได้ ผมไม่อยากให้ครอบครัวมาอ่านเจอแล้วตกใจที่เห็นผมเป็นเกย์น่ะ หมายถึงในนิยายนะ” คุรุกิยังคงว่าติดตลก ท่าทางเขาเหมือนจะชินกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว

“ได้ครับ คุณคุรุกิ”

พอกัลป์ตอบรับ คุรุกิก็ร้องอ้อขึ้นมา ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายอีก

“แล้วก็เลิกเรียกผมว่าคุรุกิได้แล้วนะครับ ไหนๆ เราก็ทำงานร่วมกันแล้ว สนิทกันสักหน่อยจะดีกว่า เรียกว่าไคเฉยๆ เถอะ”

ผู้ชายคนนี้อัธยาศัยดีจังเลยนะ อายุมากกว่าเราตั้งเยอะ แต่ไม่ถือตัวเลยสักนิด

กัลป์อดคิดอย่างนั้นไม่ได้ ปากก็ตอบรับไปด้วย

“ครับคุณไค คุณก็เรียกผมกัลป์เถอะ ไม่ต้องเรียกอาจารย์หรอก ผมไม่ค่อยชิน”

ว่าไปตามตรง ถึงจะรู้ว่าการถูกเรียกว่าอาจารย์ในวงการนิยายหรือการ์ตูนนั้น เป็นการเรียกแบบให้เกียรติในวิชาชีพของสังคมสิ่งพิมพ์ญี่ปุ่น แต่กัลป์เป็นคนไทย เขาไม่คุ้นกับการเรียกแบบนี้ เวลาถูกเรียกว่าอาจารย์ มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นครูสอนหนังสือตามโรงเรียนมากกว่าเป็นนักเขียน

คุรุกิ... ไม่สิ ไคพยักหน้า ก่อนจะเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมา

“ครับกัลป์ ต่อไปนี้จะเรียกแบบนี้นะ”

กัลป์เผยอยิ้ม

ช่างเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ในสายตาของไคเหลือเกิน

การพูดคุยจบสิ้นลงในช่วงบ่าย ไคขอตัวกลับไปทำงานต่อ ขณะที่กัลป์ขอตัวกลับไปนอน โดยไคไม่ลืมย้ำถึงเรื่องเดดไลน์ต้นฉบับที่ขอเร็วกว่ากำหนดการเดิมอาทิตย์นึง ไม่รู้ว่าจะทำได้มั้ย แต่กัลป์ก็รับปากไปแล้ว

ถึงยังไงก็ต้องรีบทำให้เสร็จล่ะนะ

กัลป์ถอนหายใจ คิดไปเรื่อยว่าเขาคงต้องอ่านนิยายให้เยอะกว่านี้ สำนวนการเขียนถึงจะลื่นไหลกว่าเดิม แต่เขาจะเอาสมาธิจากไหนมาล่ะก็ในเมื่อที่ห้องมีตัวรบกวนสมาธิอยู่ด้วยทั้งคน

ไอ้บ้าโมริ เซย์จินั่น ป่านนี้ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่...

เขาเผลอคิดถึงชายหนุ่มหน้าตากวนโอ๊ยขึ้นมาอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่เป็นห่วงว่าหมอนั่นจะก่อเรื่องระหว่างที่เขาไม่อยู่ต่างหาก ยิ่งถ้าผู้ดูแลอพาร์ตเม้นต์รู้ว่าเขาเอาคนนอกเข้ามาอยู่ด้วยโดยไม่ได้แจ้งก่อน มีหวังคงได้โดนบ่นจนหูชาแน่ เมื่อคืนก็ทำเสียงดังช่วงดึกไปด้วย ไม่รู้ว่าจะมีห้องไหนไปฟ้องมั้ย

กัลป์ยกมือขึ้นใช้นิ้วคลึงขมับ ปวดหัวหนึบขึ้นมาด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเซย์จิดี เขียนลงสมุดสมปรารถนาที่พกมาด้วยไปแล้วว่าขอให้เซย์จิหายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ก็ไม่หายไปสักที เขาว่านั่นเป็นความต้องการจากก้นบึ้งหัวใจแล้วนะ ทำไมถึงไม่หายไปก็ไม่รู้ เมื่อเช้าตอนที่ออกมาจากห้อง ยังเห็นเซย์จินอนหลับอุตุอยู่เลย

ไม่เข้าใจเลย ทำไมกันนะ

เพราะไม่เข้าใจ ขายาวๆ ก็เลยพาร่างเขาเดินมาหยุดยังทางขึ้นศาลเจ้าที่เขามาเยือนเมื่อวาน เขาไม่ได้มารอเที่ยวงานเทศกาลที่จะเริ่มในช่วงเย็น แต่มาร้านขายเครื่องรางเพื่อมาสอบถามเรื่องสมุดบ้าๆ นี่ต่างหาก

ทว่าก็ต้องผิดหวังเมื่อสายตามองไปยังเพิงร้านค้าเมื่อวานที่ปิดเงียบอยู่

สงสัยวันนี้จะปิดร้าน...

เขาคิดในใจ แต่อีกใจก็ลังเลว่าคุณยายเจ้าของร้านปิดร้านแน่หรือไม่ เพราะไม่ว่าดูอย่างไร ก็เหมือนจะเลิกกิจการมากกว่าปิดร้านธรรมดาอยู่มากโข ที่รู้ก็เพราะเขาไปส่องดูซี่ลูกกรงประตูเพื่อมองยังด้านใน ภายในร้านค่อนข้างมืด แต่ก็ไม่ได้มืดมากจนมองไม่เห็น แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าภายในร้านที่มีของขายมากมายเมื่อวาน บัดนี้เหลือแต่โต๊ะเก่าๆ ตัวสองตัวเท่านั้น

ดูยังไงก็เลิกกิจการแน่ๆ

นักเขียนหนุ่มร้อนรนขึ้นมากะทันหัน

ถ้าเลิกกิจการแบบนี้ แล้วเขาจะไปขอความช่วยเหลือเรื่องการทำให้เซย์จิหายไปจากใครล่ะ!?

เขายืนคิดสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นไปยังศาลเจ้า ถามหาเจ้าอาวาสผู้ดูแลศาลจากคนแถวนั้นได้ครู่หนึ่ง ไม่นานชายราวอายุ 40 ต้นๆ ในชุดพระสงฆ์ศาสนาชินโตก็ปรากฏกายให้เห็น กัลป์โค้งทักทายเล็กน้อย สายตาก็จับจ้องใบหน้าคมคายไปด้วย

ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าอาวาสยังหนุ่มขนาดนี้

คือก็พอจะเดาอายุได้นั่นแหละว่าเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่หุ่นสูงกำยำและใบหน้าอ่อนเยาว์ทำให้กัลป์อดจ้องอย่างชื่นชมไม่ได้เลย ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามองมากเกินไปก็ตอนที่อีกฝ่ายทักกลับนั่นแหละ

“มีอะไรเหรอถึงได้อยากคุยกับอาตมา”

“อะ...อ๋อ คือผมอยากจะถามหน่อยน่ะครับว่าร้านขายเครื่องรางข้างหน้าศาลนี่ วันนี้ปิดเหรอครับ”

พระหนุ่มมองไปยังบันไดซึ่งเป็นทางลงไปยังร้านค้าเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าหวาน

“เปล่าหรอก เลิกกิจการน่ะ”

กัลป์ใจหายวาบ ไม่ยักคิดว่าร้านค้าที่เขาเข้าไปเหยียบเมื่อวานจะอันตรธานหายไปเพียงข้ามคืนอย่างนี้

“แต่ถ้าโยมอยากจะได้เครื่องราง มีร้านใหม่เปิดอยู่ตรงนั้นนะ ไปดูได้” พระหนุ่มชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่ง พอมองตามก็เห็นร้านขายเครื่องรางซึ่งเป็นร้านใหม่

กัลป์ส่ายหน้า เขาไม่ได้อยากจะได้เครื่องรางสักหน่อย เขาอยากเจอคุณยายเจ้าของร้านคนนั้นต่างหาก

“แล้วหลวงพ่อพอจะติดต่อกับคุณยายเจ้าของร้านนั้นได้มั้ยครับ คือผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณยายสักหน่อย” แล้วก็พูดออกไปว่าจุดประสงค์ที่เขามาคืออะไร

หลวงพ่อย่นคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย “คุณยายอาโอกิน่ะรึ”

กัลป์พยักหน้า... คงจะชื่อนี้ล่ะมั้ง ไม่รู้เหมือนกันแฮะ

“รายนั้นเพิ่งเข้าโรง’บาลไปเมื่อคืนก่อนน่ะ โรคหัวใจกำเริบ ลูกหลานก็เลยมารับไปดูแล แล้วก็ให้เลิกขายของ อาตมาเลยให้คนอื่นมาเปิดร้านใหม่แทน แต่อาตมาก็ไม่รู้หรอกนะว่าไปรักษาที่โรง’บาลไหน ทางนั้นไม่ได้บอกอะไรไว้เลย บอกแค่ว่าจะเลิกกิจการเท่านั้น” พระหนุ่มอธิบายโดยไม่รอให้กัลป์ถามต่อ

กัลป์พยักหน้าเข้าใจ เผลอยกมือขึ้นมากัดนิ้วอย่างลืมตัว

ทำยังไงดีล่ะทีนี้ คนที่รู้เรื่องสมุดบันทึกก็อยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ อย่างนี้แย่แน่

สีหน้าไม่สู้ดีของชายหนุ่มทำให้หลวงพ่อสงสัย จนต้องถามขึ้นอีกครั้ง

“มีอะไรหรือเปล่าพ่อหนุ่ม”

“ปะ...เปล่าครับ งั้นผมไม่รบกวนหลวงพ่อแล้ว ขอบคุณนะครับ ผมขอตัวก่อน” กัลป์ตัดสินใจว่าจะไม่บอกเรื่องสมุดสมปรารถนา ไม่ใช่ว่ากลัวคนตรงหน้าจะแย่งสมุดไป แต่เขากลัวจะถูกหาว่าบ้าต่างหาก เลยโค้งลาแล้วก็เดินออกมาจากตรงนั้น

เจ้าอาวาสอวยพรให้เดินทางกลับดีๆ สายตาก็มองแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างจับผิด แต่ครู่เดียวก็เดินกลับเข้าไปในวัดดังเดิมราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กัลป์ยังไม่อยากกลับห้อง ไม่อยากเจอหน้าเซย์จิเพราะเหตุการณ์ตอนที่ถูกเซย์จิปล้ำยังคงวนเวียนเข้ามาในหัวเขา เขาหวั่นใจเหลือเกินว่าถ้าต้องอยู่กับเซย์จิต่อไป สักวันเขาคงต้องถูกปล้ำขึ้นมาจริงๆ แน่ ถึงจะขู่ไปแล้วก็เถอะว่าห้ามปล้ำเขาอีก แต่สายตากับท่าทางกระด้างกระเดื่องนั่นไม่ได้บอกให้เขาเบาใจลงได้เลยว่าเซย์จิจะไม่ทำ อีกอย่าง เขารู้นิสัยเซย์จิดีว่าเป็นพวกดื้อดึง ต่อให้ใครพูดหรือบังคับขู่เข็ญอะไร ถ้าเจ้าตัวไม่อยากทำ ก็ไม่มีวันทำหรอก

เขาเป็นคนสร้างเซย์จินี่ ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าคำขู่ของเขามันเสียเปล่า

ความไม่อยากกลับห้องทำให้เขาพาตัวเองมานั่งจ๋องอยู่ในร้านกาแฟตั้งแต่บ่าย พักสายตาด้วยการฟุบหน้าหลับกับแขนตัวเองที่เท้าบนโต๊ะได้งีบหนึ่ง ตื่นมาอีกทีก็หกโมงเย็นแล้ว เขาเลยรู้ตัวว่าจะต้องกลับห้องสักที

ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องเผชิญหน้าแหละนะ เรื่องทำให้หมอนั่นหายไปค่อยว่ากันทีหลัง ช่วยไม่ได้ ระวังตัวสักหน่อยแล้วกัน อย่าไปทำให้หมอนั่นคิดว่าเราเป็นฝ่ายรับก็พอแล้ว

หมายความว่าเขาต้องแสดงออกมาตัวเองเป็นแมนเต็มร้อยนั่นแหละ ถึงจะเกือบพลาดไปยอมให้ผู้ชายด้วยกันเปิดบริสุทธิ์ที่ช่องทางแปลกๆ ก็เถอะ ทว่าถึงจะคิดว่าจะทำตัวให้แมน แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกของร้านกาแฟแล้ว กัลป์ก็ต้องย่นคิ้ว

ปอยผมหน้าตกลงมาปรกอยู่ข้างแก้ม ผมด้านหลังที่มัดรวบเป็นหางม้าสั้นๆ ก็หลุดออกมาจากยางรัดที่ขาดมาคลอดเคลียไหล่ สีหน้ายามเพิ่งตื่นก็ดูช่างงัวเงียเหมือนสาวน้อยกำลังยั่วยวนอย่างไรไม่รู้ และนั่นทำให้เขาไม่ค่อยพอใจใบหน้าตัวเองเท่าไหร่นัก

ตั้งใจว่าจะทำตัวแมนๆ แต่หน้าตาแบบนี้ ใครมันจะไปมองว่าแมนวะ ดูยังไงก็เกย์ชัดๆ

กัลป์พ่นลมหายใจ ดึงยางรัดที่ขาดออกมาผูกเป็นปมแล้วรวบผม กะจะรัดขึ้นไปอีก แต่ก็ได้แค่ยกมือค้าง มองหน้าตัวเองที่สะท้อนในกระจกอีกครั้ง

หรือที่เราดูเกย์จะเป็นเพราะไว้ผมยาว?

ไม่ต้องรอคำตอบจากใคร ไม่กี่วินาทีให้หลัง เขาก็ได้คำตอบ หน้าหวานขนาดนี้ แถมไม่ได้ดูแลตัวเองจนผมยาวเรี่ยบ่า ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนผู้หญิงในร่างชายยิ่งกว่าเดิม เท่านั้นเขาก็ตัดสินใจเลยว่าจะยังไม่กลับห้องทั้งที่ถึงเวลาอันสมควร เพราะสถานที่ที่เขาควรไปในตอนนี้คือร้านตัดผมต่างหาก ไม่ใช่ห้องพัก

เท่านั้น เขาก็ลุกขึ้น ตรงดิ่งไปยังร้านตัดผมละแวกนั้นทันที

ยอมรับเลยว่าเขาประหม่าหลังจากไม่ได้เข้าร้านตัดผมมานาน บอกทรงก็ไม่ถูกว่าจะเอาทรงไหน จนช่างตัดผมต้องเอาแบบมาให้เลือก เขาก็จิ้มเลือกไปมั่วๆ เลือกทรงที่สั้นที่สุดเพื่อจะได้ดูแมนสมชาย สุดท้ายก็ได้ทรงอันเดอร์คัตแบบไม่สั้นมากมา ถึงจะไม่ได้ช่วยให้เขาดูหน้าหวานน้อยลง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาดูเหมือนผู้ชายแท้ๆ มากขึ้น

มั้งนะ... เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่สังเกตจากสายตาของบรรดาผู้หญิงที่จับจ้องเขาไม่วางตาแล้ว ก็เดาเอาเองว่าคงจะดูแมนขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

กัลป์ตรงกลับห้องทันทีที่ตัดผมเสร็จ ไม่แวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อมือเย็นกลับไปกินอย่างเคยด้วยง่วงและอ่อนเพลียเต็มกำลัง ใจเขาอยากจะนอนมากกว่าสิ่งอื่นใด หากแต่พอมาถึงห้องและเปิดประตูเข้าไป เขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าในห้องยังคงปิดไฟสนิทอยู่

เขาคลำทางไปหาสวิตซ์ไฟ สังหรณ์ใจว่าเซย์จิอาจจะไม่อยู่แล้ว ปากก็ร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายไปด้วย

“เซย์จิ”

เงียบ... ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งนั้น

ปลายนิ้วเรียวกดสวิตซ์ไฟเปิด พอแสงไฟมา เขาก็ต้องเบิกตาโพลงทันทีที่เห็นร่างใหญ่นอนคว่ำหน้าอยู่ตรงพื้น

ตะ...ตายแล้ว? เซย์จิตายแล้วเหรอ?!

ตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ กัลป์ทำใจกล้า ย่องเข้าไปยกเท้าสะกิดที่สีข้างของร่างนั้นเบาๆ ปากก็เรียกไปด้วย

“ฮะ...เฮ้ ยังหายใจอยู่มั้ย”

อีกฝ่ายขยับกายเล็กน้อย ทำเอากัลป์หายใจโล่งคอ ก่อนจะเตะเข้าไปทีหนึ่ง ข้อหาทำเขาตกใจ

“ไอ้บ้านี่ นอนซะอย่างกับตาย แล้วมานอนอะไรอยู่ตรงนี้ ไฟก็ไม่เปิด คิดทำบ้าอะไรของนายอีกเนี่ย” ตามมาด้วยก่นด่าอีกเป็นชุด

เซย์จิผงกหัวขึ้นมา ใบหน้าอิดโรยทำให้กัลป์ใจไม่ดี รู้สึกผิดที่เตะไปเมื่อกี้ขึ้นมาหน่อยๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง ยกมืออังหน้าผากของอีกฝ่ายทันใด

“ไม่สบายหรือเปล่าน่ะ”

ไม่มีความร้อนผิดปกติใดๆ ออกมาจากร่างกาย เซย์จิเองก็ส่ายหน้าพรืดปฏิเสธด้วย กัลป์เลยย่นหัวคิ้วหนัก

“แล้วนายเป็นอะไร”

“หะ...หิว” ริมฝีปากหนาขยับส่งเสียงแห้งผาก

กัลป์สำนึกได้ในตอนนี้เองว่าตอนที่เขาออกจากบ้านมาตอนเช้า เขาไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้เซย์จิไว้ซื้ออะไรกินเลย ในตู้เก็บของในครัวก็ไม่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลงเหลือ เซย์จิกินไปเมื่อคืนก็เป็นถ้วยสุดท้าย ตู้เย็นก็ไม่มีของกินอะไรนอกจากน้ำดื่ม แถมดูท่าจะโดนจัดการไปหมดแล้วด้วยเพราะสายตาเหลือบเห็นขวดน้ำว่างเปล่านอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นทั้งสองใบ และที่เซย์จิมานอนแผ่อยู่ตรงนี้ คงจะเป็นลมเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องแหง

แต่มันใช่เรื่องที่จะมาทำให้เขาตกใจอย่างนี้มั้ยเล่า!

“นายนี่มันจริงๆ เลยน้า” กัลป์ครางอย่างหัวเสีย ผุดลุกขึ้นยืน โดยไม่ลืมลากแขนเซย์จิให้ลุกยืนตามไปด้วย “เอ้าลุก เดี๋ยวจะพาไปหาอะไรกิน”

ได้ยินคำว่าของกิน เซย์จิดันตัวขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ ก่อนจะถลาไปชนกับเคาน์เตอร์ในครัวที่อยู่ใกล้ๆ สีหน้าซีดเผือดผิดกับเซย์จิหื่นๆ คนเมื่อวานทำเอากัลป์ถอนหายใจออกมาเต็มแรงอีกที พลันตรงเข้าไปคว้าแขนล่ำนั้นมาพาดคอ

“กินราเมงแล้วกัน มีร้านอยู่ใกล้ๆ อพาร์ตเม้นต์ เดินไม่ไกล อดทนหน่อย”

เซย์จิพยักหน้ารับช้าๆ ท่าทางหมดฤทธิ์เดชทำให้กัลป์ลืมความตั้งใจที่จะกำจัดเซย์จิไปก่อนหน้าเสียสิ้น ก่อนจะพยุงพาร่างใหญ่ออกไปนอกห้อง ตรงไปยังที่หมายอย่างรวดเร็ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel