Episode 02: A writer’s assistant【2】
เซย์จิไม่ฟังสักนิด สิ้นเสียงของนักเขียนหนุ่ม ปลายลิ้นนุ่มของนายเอกในนิยายที่ผันตัวมาเป็นฝ่ายรุกก็แตะลงมาที่ใบหูอีกครั้ง กัลป์เกร็งตัวฉับพลัน และยิ่งเกร็งหนักขึ้นไปอีกเมื่อปลายลิ้นนั่นลากมายังบริเวณลำคอ ก่อนตามด้วยริมฝีปากที่พรมจูบไปทั่ว
แค่จูบธรรมดา แต่กลับสร้างความเสียวซ่านให้เป็นอย่างดีจนกัลป์ต้องรีบคุมสติที่กระเจิดกระเจิง เอ่ยปากออกคำสั่งอีกครั้ง
“ปะ...ปล่อย”
เซย์จิก็คือเซย์จิ เขียนรายละเอียดไว้ว่าหัวดื้อ ไม่ฟังใคร ก็เป็นตามนั้นจริงๆ แถมพอกัลป์เอ่ยปากให้หยุดอีกครั้ง ก็จัดการเลื่อนริมฝีปากที่วนเวียนอยู่บริเวณลำคอมาครอบครองเรียวปากนุ่มและกลืนกินโดยไม่ขออนุญาต
กัลป์เบิกตาโพลง ไม่คาดคิดว่าจะถูกจูบแบบนี้ และนั่นก็ทำให้เขาดิ้นหนัก ทว่าเซย์จิก็จับเขาแน่น ซ้ำยังดุนปลายลิ้นเข้ามาตวัดกลืนรสหวานในโพรงปากอีกต่างหาก กัลป์อยากจะกัดลิ้นคนตรงหน้าให้ขาดเสียเหลือเกิน แต่ก็ใจไม่กล้าพอ เลยได้แต่ปล่อยให้ตัวเองถูกจูบอยู่อย่างนั้น
ถูกผู้ชายด้วยกันบังคับจูบนี่มันเรื่องน่าอดสูอีกเรื่องนึงในชีวิต ต่อจากที่นิยายโดนตัดจบเลยนะเนี่ย!
ในหัวของกัลป์คิดวุ่น ทว่าครู่เดียวก็ต้องหยุดคิดเมื่อเซย์จิละริมฝีปากออกมา จูบไล่ต่ำลงไปยังไหปลาร้าและเลื่อนไปยังยอดอก หยอกล้อด้วยการแตะปลายลิ้นเบาๆ บนนั้น วนไล้ไปมาอย่างชำนาญ
กัลป์กระตุกเฮือกเป็นระยะ หายใจหอบหนักขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุทันที ได้สติอีกทีก็ตอนที่เซย์จิเล่นสนุกจนพอ แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มเยาะใส่เขา
“นายเหมาะที่จะเป็นฝ่ายรับมากกว่าฉันอีก แค่หน้าหวานๆ กับผมยาวๆ ของนายก็ดูเหมือนฝ่ายรับอยู่แล้ว แต่มาดูสีหน้านายกับปฏิกิริยาตอบรับของนายตอนถูกฉันกินสิ หึ...รู้สึกดีสินะ”
ฟันบนและล่างกัดกันกรอดทันที มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติต่างหาก!
“พอได้แล้ว! หยุดเล่นสักที! ฉันเป็นคนสร้างนายนะ!” กัลป์แหกปากลั่น รู้สึกว่าตัวเองถูกดูถูกอย่างไรไม่รู้ พันดิ้นให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการอีกครั้ง
เซย์จิก็ไม่ยอมปล่อยนั่นแหละ ขยับขึ้นมาลากปลายลิ้นบนซีกแก้มแล้วไปหยุดกระซิบที่ข้างหู
“ปล่อยก็โง่สิ บอกแล้วว่าฉันจะทำให้นายรู้ว่าเวลาถูกของร้อนๆ ยัดเข้าไปทางด้านหลังมันรู้สึกขมขื่นแค่ไหน ทำไมนายชอบให้พูดหลายรอบจังเลยน้า”
กัลป์กลืนน้ำลายเอื้อก ของร้อนๆ นี่ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่ามันคืออะไร
อันที่จริงไม่ต้องจินตนาการก็รู้แล้วล่ะว่ามันคืออะไร ก็ตอนนี้ของร้อนๆ ที่เซย์จิว่ามันแตะอิงอยู่ที่โคนขาด้านในของเขาแล้วนี่ แถมมันก็ยังเป็นของเซย์จิอีกด้วย
น่าอัปยศกว่าตอนคิดว่าเขายอมมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันเพราะอยากรู้อยากลองอีก!
รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่ทำให้เซย์จิหยุดการกระทำนี้ได้ ก็เลยต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชของตัวเองอีกครั้ง ทว่าเซย์จิไวกว่า แค่เห็นกัลป์ขยับ เขาก็รีบขบเม้มปลายหู ส่งความเสียวซ่านผ่านมาให้ร่างกายคนใต้ร่างหยุดต่อต้านทันใด กัลป์เกร็งตัวอีกครั้ง ก่อนจะถูกริมฝีปากหยักหนาระรานด้วยการจุมพิตและลากไล้ต่ำลงมาตามร่างกายอีกครั้ง
ยอดอกทั้งสองข้างถูกรังแกด้วยลิ้นร้ายและปลายนิ้วมือที่บดเบียดจนตอบสนองสัมผัสอย่างน่าไม่อาย ซ้ำร้าย เรียวปากคู่สวยยังเผยออ้า ส่งเสียงหายใจหอบน้อยๆ ออกมาอีก ถึงมือข้างหนึ่งจะเป็นอิสระ ทว่าก็ไม่อาจควบคุมให้ผลักคนขี้แกล้งออกจากตัวได้
พออยู่ในสภาพราวกับหุ่นเชิดก็ยิ่งกระตุ้นเร้าให้เซย์จิได้ใจเข้าไปใหญ่ เขาผละจากยอดอก ไล่จูบลงต่ำมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณหน้าท้องที่มีลอนกล้ามสวย กัลป์สะดุ้งเฮือก ดันศีรษะของเซย์จิให้ออกห่างทันใด
“อย่าทำแบบนี้นะ!”
“แบบไหนล่ะแบบนี้” เซย์จิย้อนถามพลางกลั้วหัวเราะทั้งที่ริมฝีปากยังแตะอยู่ที่หน้าท้อง
“ก็ทำแบบที่นายคิดจะทำเนี่ย!”
“ฉันไม่เข้าใจว่านายพูดถึงเรื่องอะไร”
กัลป์สาบานได้เลยว่าเซย์จิรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะตอนนี้มือของเซย์จิที่วุ่นวายกับหน้าอกของเขาถูกดึงลงไปลูบไล้ส่วนอ่อนไหวกลางร่างกายเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อย่า!” กัลป์รีบคว้ามือเซย์จิอย่างรวดเร็ว
แต่ก็ห้ามเซย์จิไม่ได้อยู่ดี แค่จับเท่านั้น เซย์จิก็เงยหน้าขึ้นมาเผยอยิ้ม
“อย่าหยุดสินะ”
อย่าหยุดบ้าอะไร! อย่านี่หมายถึงให้หยุดเว้ย!
กัลป์คิด แต่เซย์จิไม่คิด พูดจบก็เลื่อนใบหน้าต่ำลงไปอีก สร้างความพรั่นพรึงให้กัลป์เป็นเท่าตัวเมื่อเห็นว่าส่วนอ่อนไหวอยู่ห่างจากใบหน้าหล่อนั่นเพียงไม่ถึงคืบ
“ก่อนจะยัดของร้อน ก็ต้องวอร์มอัพกันหน่อย”
ไม่ทันจะได้ถามว่าวอร์มอัพคืออะไร โพรงปากอุ่นร้อนก็เข้าครอบครองส่วนที่ถูกมือใหญ่สัมผัสเมื่อครู่แล้ว
กัลป์แอ่นสะโพกหนีสุดแรงจนแทบจมลงไปบนฟูก แต่มันเป็นการหนีที่โง่เขลา นอกจากจะหนีไม่ได้ ยังเป็นการล็อคตัวเองให้เซย์จิได้ทำตามใจได้ถนัดอีกต่างหาก
“ยะ...หยุดเดี๋ยวนี้...” กัลป์พยายามส่งเสียงห้าม
แต่ทุกคำพูดคือเสียงลม เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาของเซย์จิไปอย่างง่ายดาย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเสียงห้ามของกัลป์กลายเป็นเสียงหายใจหอบหนักเสียแล้ว และตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อบริเวณบั้นท้ายรู้สึกถึงสัมผัสเหนียวเหนอะหนะจากปลายนิ้ว
นะ...นั่นมัน...เจลหล่อลื่น!?
ใช่แล้วล่ะ เสียงเฉอะแฉะลามกนั่นต้องมาจากเจลหล่อลื่นบนนิ้วเรียวนั่นแน่ และกัลป์ก็ต้องร้องด้วยความตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อเซย์จิทำท่าจะบุกรุกเข้ามา
“อย่าทำแบบนั้นนะเว้ย!”
“แล้วจะให้บุกเข้าไปเลยหรือไง มันก็ต้องเปิดทางก่อน”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น! ฉันหมายถึงเลิกแตะตัวฉันแล้วก็ทำอะไรตามใจสักที!”
ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ ทว่าเซย์จิก็ไม่ยี่หระ ยักไหล่แล้วทำท่าจะดึงดันทำต่อไปให้ได้
“อย่ากังวล ฉันรู้หรอกว่านี่เป็นครั้งแรกของนาย จะอ่อนโยนแล้วกันถึงจะอยากรุนแรงแค่ไหนก็เถอะ”
ตอนนี้ในหัวกัลป์คิดภาวนาวุ่นวายใหญ่เลยทีเดียว
ขอให้โมริ เซย์จิ หายไป... ขอให้โมริ เซย์จิ หายไป... เพี้ยงๆๆ!
ภาวนากับสมุดสมปรารถนาที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนั่นแหละ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง เขามั่นใจแล้วนะว่านั่นเป็นการร้องขอจากความปรารถนาสุดก้นบึ้งหัวใจ แล้วทำไมมันไม่หายไปวะ!?
กริ๊งงง...
ถึงจะไม่หายไป แต่สวรรค์ก็ไม่ได้ใจร้ายให้เขาต้องเผชิญกับการถูกรังแกอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ดลบันดาลให้โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ สมุดส่งเสียงดังขึ้น
เซย์จิสะดุ้งด้วยตกใจ ผละออกจากร่างเนียนตรงหน้า กัลป์เลยได้โอกาส รีบผลุบออกมาจากการเกาะกุม กระโดดลงจากเตียง คว้าโทรศัพท์มากดรับโดยไม่ดูหน้าจอสักนิดว่าใครโทรมา
“สะ...สวัสดีครับ กัลป์ครับ”
[อาจารย์กันเหรอครับ นอนหรือยัง ไม่ทราบว่าผมโทรมารบกวนหรือเปล่า]
คุณคุรุกิ... ขอบคุณสวรรค์! โทรมาได้จังหวะพอดี!
“ไม่...ไม่รบกวนเลยครับ คุยมาได้เลย”
กัลป์รีบตอบรับ ก่อนปลายสายจะร่ายยาวซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องงาน ถ้าเป็นเวลาปกติ กัลป์คงจะหัวเสียอยู่สักหน่อยที่โดนโทรมากวนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ แต่ตอนนี้รู้สึกขอบคุณมากเป็นพิเศษ ส่วนเซย์จิก็ส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างขัดใจเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะ แถมยังเปิดโอกาสให้กัลป์หนีอีก
แต่ไม่เป็นไร โอกาสหน้ายังมี จะสั่งสอนให้สำนึกเลย
นานทีเดียวกว่าคุรุกิจะคุยธุระเสร็จ และต่อท้ายด้วยการนัดให้กัลป์เข้าไปหาที่สำนักพิมพ์ในบ่ายวันพรุ่งนี้ กัลป์รับปากไป ก่อนจะตัดสาย แล้วรีบพุ่งไปคว้าเสื้อผ้าตัวเองที่ถอดกองอยู่มาสวมใส่รนๆ
“ดะ...เดี๋ยวฉันต้องกลับแล้ว พรุ่งนี้มีนัด ต้องรีบกลับไปนอน”
“แล้วฉันล่ะ” เซย์จิที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง รอกัลป์คุยโทรศัพท์เสร็จถามด้วยสีหน้าหงุดหงิด
อุตส่าห์รอตั้งนาน ทำต่อก็ไม่ได้ทำ แถมยังจะถูกทิ้งอีก อะไรกันวะเนี่ย!?
“นายก็กลับเข้าไปอยู่ในนิยายซะสิ” กัลป์ว่าอย่างไม่แคร์ ยิ่งทำให้เซย์จิย่นคิ้วหนักขึ้นไปอีก
“เรื่องเถอะ ใครจะกลับเข้าไปให้โดนกดกันวะ แล้วนี่พูดอย่างกับว่ามันทำได้ง่ายๆ อย่างนั้นแหละไอ้เรื่องกลับเข้าไปเนี่ย สมุดสมปรารถนาน่ะ ถ้าบันดาลอะไรให้แล้ว ไม่มีการเอาคืนเว้ย”
ได้ยินอย่างนั้น กัลป์ก็ยกมือตบหน้าผากตัวเองพลัน
งั้นนี่ก็หมายความว่าเขาจะต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้ชายที่พยายามปล้ำตัวเองตลอดไปจนกว่าจะหาทางกำจัดได้ใช่มั้ย?!
ใช่... ไม่ต้องมีใครตอบ กัลป์ก็รู้คำตอบนั่นแหละว่าใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดวุ่นวายเรื่องนายเอกที่หลุดออกมาจากนิยายละ สิ่งที่เขาควรคิดมากกว่าก็คือ เขาจะต้องเอาสิ่งที่เขียนไปให้คุรุกิดูด้วย ถึงจะเขียนได้ไม่เท่าไหร่ แต่ในเมื่อถูกขอดูก็ต้องเอาไปให้ เขาเลยอยากกลับไปขัดเกลาสิ่งที่เขียนไปแล้วให้ดีขึ้นกว่าเดิมมากกว่าต่อล้อต่อเถียงกับเซย์จิ
“งั้นนายรออยู่ที่นี่แป๊บนึง เดี๋ยวฉันลงไปถามเคาน์เตอร์ให้ว่ามีเสื้อผ้าขายมั้ย นายจะได้ใส่กลับ” กัลป์สรุปเอาเอง
เซย์จิพยักหน้า ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประสานกันไว้ที่ท้ายทอย รอให้กัลป์ไปเอาเสื้อผ้ามาให้
ครู่เดียว กัลป์ก็กลับเข้ามาพร้อมกับเสื้อยืด กางเกงขาสั้นสำหรับให้เช่าใส่เข้าไปในซาวนา แต่กัลป์ขอซื้อมาเพราะไม่ต้องการกลับเอามาคืนอีก ก่อนจะพาเซย์จิกลับมาที่อพาร์ตเม้นต์อย่างไม่มีทางเลือก
อพาร์ตเม้นต์ขนาดสามเสื่อดูเล็กไปทันตาเมื่อชายหนุ่มร่างใหญ่ก้าวเข้ามาในห้อง ปกติขนาดอยู่คนเดียวก็ดูเล็กอยู่แล้ว มีคนมาเพิ่มอีกยิ่งดูอึดอัด แต่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่พามา รับรองเลยว่าเซย์จิจะต้องก่อเรื่องเดือดร้อนให้เขาแน่ อันดับแรกคือแก้ผ้าเดินไปตามถนน อันดับสองคือ ถ้าถูกตำรวจจับ เซย์จิก็คงจะอ้างชื่อเขาว่ากำลังตามหาอยู่แหงๆ ถึงจะไม่รู้ว่าจะทำจริงมั้ยถ้าไม่พากลับมา แต่เพื่อความชัวร์ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น การตัดสินใจพามาด้วยคือทางเลือกที่ดีแล้ว
แค่นี้เขาก็เจอเรื่องวุ่นๆ มามากแล้ว ขออย่าได้เจอเรื่องวุ่นวายไปมากกว่าเดิมเลย
“ห้องนายเล็กชะมัด” เข้าห้องมาได้ ก็บ่นโดยหาได้มีความเกรงใจแต่อย่างใด
กัลป์พ่นลมหายใจ ก่อนจะว่าลอยๆ
“มีห้องให้ซุกหัวนอนก็ดีแล้วน่า อยู่คนเดียว จะเอาอะไรมากมาย”
“ตอนนี้นายไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนี่ มีฉันมาอยู่ด้วยอีกคน” ว่าพลางเดินสำรวจห้องไปด้วย เริ่มจากห้องครัวเล็กๆ ไปยังห้องน้ำ และทะลุไปยังห้องนอนที่มีเตียงขนาดคนเดียวนอนวางอยู่ในมุม อีกด้านหนึ่งมีโต๊ะทำงานเล็กๆ ที่วางโน้ตบุ๊กวางอยู่
“ฉันไม่ได้ยินดีให้นายมาอยู่ด้วยสักหน่อย” กัลป์เองก็บ่นพึมพำเช่นกัน ก่อนวางสัมภาระทั้งหมดในกระเป๋าลงบนโต๊ะพับญี่ปุ่นที่อยู่ในครัว แล้วเดินเข้ามานั่งประจำเก้าอี้ทำงาน “นายนอนไปก่อนเลย ฉันจะทำงาน อย่ารบกวน”
“ทำงานนี่หมายถึงเขียนฉากอย่างว่าของฉันกับไอ้โรคจิตนั่นน่ะนะ” เซย์จิถามพลางทำหน้าแหย
“เออ นั่นแหละ” กัลป์หันไปมองหลังจากเปิดโน้ตบุ๊กเป็นที่เรียบร้อย
“ก็ลองเขียนอีกครั้งสิ ฉันจะทำกับนายอย่างที่นายเขียนจนสาแก่ใจเลย” เซย์จิขู่ฟ่อ
กัลป์เลยถอนลมหายใจออกมาเต็มแรง “นายออกมาอยู่ในโลกของความจริงแล้ว คงไม่โดนอะไรแล้วมั้ง ไม่ได้อยู่ในนิยายแล้วนี่”
“แต่ไอ้ที่อยู่ในนิยายนายก็ยังเป็นชื่อฉันอยู่ดี ซึ่งมันก็คือฉัน ไม่รู้ล่ะ ถ้านายยังดึงดันจะเขียน ก็เตรียมตัวรอรับโทษทัณฑ์ได้เลย”
เห็นเซย์จิว่าพลางส่งสายตาประกายวาว กัลป์ก็ไม่กล้าจะท้าทายต่อเพราะรู้ว่าเซย์จิทำจริงแน่ เลยตัดสินใจเอาในนาทีนั้นว่าจะเปลี่ยนชื่อนายเอก ก่อนจะเปิดสมุดสมปรารถนาไปยังหน้าที่เขียนรายละเอียดของเซย์จิเอาไว้
“ฉันจะเปลี่ยนตัวละครก็แล้วกัน ไม่ใช่นายแล้ว โอเคมั้ย?” ว่าพลางฉีกกระดาษหน้านั้นออก ขยำแล้วโยนใส่กล่องที่อยู่ใต้โต๊ะ
หากแต่โยนพลาดไม่ลงกล่อง เซย์จิที่ยืนค้ำขอบประตูมองอยู่เลยเข้ามาเก็บขึ้นจากพื้น ทำท่าจะเอาไปทิ้งยังถังขยะใกล้ๆ แทน กัลป์เหลือบมาเห็นพอดีเลยส่งเสียงดังใส่
“เฮ้ๆ หยุดเลย นายจะทำอะไรน่ะ”
“ทิ้งไง” เซย์จิค้างอยู่ในท่าเหยียบฝาถังขยะให้เปิด
กัลป์รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้มาแย่งกระดาษยับยู่ในมือใหญ่มาทิ้งลงกล่องกระดาษใต้โต๊ะอีกครั้ง
“กฎข้อหนึ่งของการอยู่ที่นี่คือ ห้ามแตะต้องหรือทิ้งกระดาษอะไรก็ตามที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น มันคือไอเดียของฉัน”
“ไอเดียที่ไม่ใช้แล้วจะเก็บไว้ทำไม”
“ในอนาคตสามารถเอาไปต่อยอดได้ เอาเป็นว่าอย่ามายุ่งก็แล้วกัน” กัลป์ว่าส่งๆ มือก็โบกไล่คนตัวใหญ่ไปด้วย “นายจะทำอะไรก็ทำเลยตามสบาย อย่ามากวนฉัน ฉันจะทำงานแล้ว”
แล้วก็ไม่สนใจแขกของห้องอีกต่อไป แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นแหละ เสียงดังครืดคราดจากท้องของอีกฝ่ายก็ทำให้กัลป์ต้องละสายตาจากจอโน้ตบุ๊ก หันมามองต้นเสียงอีกครั้ง
“หิว ตั้งแต่ถูกไอ้บ้านั่นปล้ำในนิยายนาย จนออกมาเห็นนายปล้ำแล้วก็ปล้ำนาย ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย หาอะไรให้กินหน่อย”
กัลป์ถึงกับกำมือแน่นอย่างหงุดหงิด
โดนมันปล้ำแล้ว ยังจะต้องมาดูแลมันอีก ให้ตายเถอะ!
ก็ด่าแค่ในใจเท่านั้นแหละ ไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้เพราะนี่ก็เกือบจะตีสองแล้ว เขาก็เลยลุกขึ้นไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปง่ายๆ ให้เซย์จิกิน ทว่าเซย์จิก็ไม่กินเงียบๆ ส่งเสียงสูดบะหมี่ซู้ดซ้าด ซ้ำยังเอาเข้ามากินบนเตียงที่อยู่ด้านหลังเขาหน้าตาเฉยจนกัลป์ไม่มีสมาธิจะทำงาน ต้องหันไปแหวใส่อย่างเหลืออด
“รีบๆ กิน แล้วรีบๆ นอนไปได้มั้ย ฉันจะทำงาน!”
เซย์จิแค่เลิกคิ้วมอง ซดบะหมี่ต่ออย่างไม่ใส่ใจ ปล่อยให้กัลป์มองอย่างหัวเสีย นับหนึ่งถึงสิบในใจ พยายามใจเย็นสุดๆ กระทั่งเซย์จิจัดการกับเส้นบะหมี่และน้ำซุปจนเกลี้ยง เขาจึงหายใจได้โล่งคอ
“กินเสร็จแล้วก็เอาถ้วยไปทิ้ง แล้วก็นอนไปเลย อย่ากวน”
เคยบอกแล้วว่าคำพูดของกัลป์คือเสียงลม ไม่เข้าหูเซย์จิหรอก เพราะแค่พูดจบและเซย์จิวางถ้วยบะหมี่เปล่าลงบนพื้นได้ เขาก็ตรงเข้ามาลากเก้าอี้ล้อเลื่อนที่กัลป์นั่งอยู่ไปกระแทกกับขอบเตียง กัลป์ส่งเสียงร้องเหวออย่างตกใจด้วยไม่ทันตั้งตัว ก่อนร่างจะลอยหวือไปกระแทกฟูกนุ่มบนเตียง ตามมาด้วยร่างของเซย์จิที่ขึ้นคร่อมมาอีกครั้ง
“อะ...อะไรเนี่ย!” กัลป์รีบผลักไสอีกฝ่าย ดันตัวเองหนีจนถอยร่นไปติดหัวเตียง
ทว่าก็โดนเซย์จิลากลงมานอนราบใต้ร่างอยู่ดี ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะปรากฏบนใบหน้าหล่ออีกครั้ง
“ต่อจากที่โมเทล ฉันยังไม่ได้เอาคืนนายเลย อย่าคิดว่าจะหนีรอดไปง่ายๆ”
เอาอีกแล้ว! อุตส่าห์ให้มาอยู่ด้วย แถมหาของกินให้กิน ก็ยังจะทำแบบนี้อีก โปรดสัตว์ได้บาปชัดๆ!
“ไม่เอา! หยุดเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่หยุดก็ไสหัวออกไปจากห้องฉัน!” กัลป์ไม่ยอมอีกแล้ว ทั้งเตะทั้งถีบเป็นพัลวัน
แต่เซย์จิก็ไม่สะทกสะท้าน หลบหมัดและฝ่าเท้า ก่อนตรึงคนใต้ร่างไว้มั่นเมื่อได้โอกาส
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า คิดซะว่านี่คือการช่วยเขียนนิยายแล้วกัน นายกำลังอยากได้ผู้ช่วยอยู่พอดีไม่ใช่หรือไง ไม่งั้นก็คงจะไม่ออกไปหาคนมาเป็นคู่นอนอย่างนั้นหรอก”
ตอนแรกน่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว!
กัลป์อยากจะพูดอย่างนี้ หากแต่ไม่ทันจะได้เผยอปาก ก็ถูกเซย์จิขโมยจูบไปอีกครั้งแล้ว ถึงอยากจะขัดขืน แต่เพราะความชำนาญและช่ำชองในการจูบของเซย์จิ ทำให้กัลป์ไม่อาจปฏิเสธรสสัมผัสนั้นได้เลย
เนิ่นนานทีเดียวกว่าเซย์จิจะถอนริมฝีปากออกมา ตามมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ กัลป์ถึงได้สติในตอนนี้นี่เองว่าเผลอทำอะไรลงไป
“รับรองเลยว่าฉันจะเป็นผู้ช่วยเขียนนิยายที่ดีให้กับนายทั้งคืนจนคาดไม่ถึงเลยเชียวล่ะ อาจารย์กัน...”
