Episode 01: Mori Seiji【2】
คิดแล้วก็ชักจะสนุกกับนิยายเรื่องใหม่ของตัวเองขึ้นมา พอแยกกับคุรุกิ ก็ตั้งใจจะกลับห้องให้เร็วที่สุดเพื่อไปเขียนไอเดียเก็บไว้ ทว่าระหว่างทางเดินกลับห้อง สายตาก็สังเกตเห็นว่าศาลเจ้าที่อยู่ระหว่างทางที่เขาเดินผ่านทุกวันมีงานเทศกาล ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีงานอะไร แต่ดูท่าทางจะครึกครื้นน่าดู ผู้คนหนุ่มสาวใส่ชุดยูกาตะ[ ยูกาตะ เป็นชุดกิโมโนแบบไม่เป็นทางการ ทำจากผ้าฝ้าย นิยมใส่สบายๆ กับเกี๊ยะไม้ (Geta) และผ้าคาดเอว (Obi) ในฤดูร้อน เดิมทีชุดยูกาตะเป็นชุดอาบน้ำสำหรับใส่หลังจากอาบน้ำเสร็จ ซึ่งปัจจุบันนิยมใส่ในหลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นใส่ไปงานเทศกาล ใส่นอนเล่นอยู่บ้าน รวมถึงใส่เมื่อเข้าพักที่โรงแรมด้วย]เดินให้ขวักไขว่ ไอเดียบรรเจิดกว่านั้นเมื่อเห็นหนุ่มมัธยมสองคนในชุดยูกาตะเดินคู่กันมาพร้อมสายไหมในมือ
ฉากนี้น่าเอาไปใส่ในนิยายแฮะ
ไอเดียพุ่งจนฉุดไม่อยู่แล้ว รอให้กลับถึงห้องก่อนแล้วค่อยไปจดทุกอย่างลงสมุดโน้ตคงจะไม่ไหว เขาเลยล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมา กะว่าจะโน้ตลงไปก่อน ทว่าโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันแบตหมดอีก
“เวรเอ๊ย” กัลป์หลุดสบถออกมาจนได้ ทำไมนะ เวลาหัวแล่นๆ อย่างนี้ถึงได้มีอุปสรรคนัก ช่วงนี้เขาช่างดวงไม่ดีเอาเสียเลย
สงสัยคงต้องทำบุญทำทานบ้างแล้วมั้งเนี่ย โชคร้ายเยอะจริง!
กลายเป็นหงุดหงิด โทษเวรโทษกรรมขึ้นมาอีก แต่จะให้ไปทำบุญไล่กรรมตัดกรรมอะไรเหมือนตอนอยู่เมืองไทยก็ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าที่ญี่ปุ่นไม่มีพิธีแบบนั้น แต่เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่างหาก และเขาก็ไม่ชอบทำอะไรที่มีพิธีรีตรองเยอะเสียด้วย พกเครื่องรางไล่โชคร้ายน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
เท่านั้น ขายาวก็ก้าวพาร่างไปยังร้านจำหน่ายเครื่องร่างบริเวณหน้าศาลทันที ร้านเครื่องรางดูเก่าซอมซ่อและอยู่ในหลืบ ดูเผินๆ จากหน้าร้านก็จะไม่รู้ว่าเป็นร้านขายเครื่องรางหากไม่สังเกตดีๆ อย่าว่าแต่หน้าร้านเลย แค่ตัวร้าน ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็ไม่เห็นว่ามีร้านเครื่องรางมาเปิดอยู่ด้วยซ้ำ
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ในร้านไม่มีลูกค้าคนไหนเลยนอกจากเขาเท่านั้น มีอีกหนึ่งชีวิตก็คือหญิงชราที่กำลังก้มๆ เงยๆ ยักแย่ยักยันอยู่เท่านั้น
“ยินดีต้อนรับจ้าพ่อหนุ่ม มองหาอะไรอยู่เหรอ”
“ผมอยากได้เครื่องรางที่เรียกโชคดีน่ะครับ” กัลป์ว่าออกไปตามตรง สายตาก็ปราดมองสารพัดเครื่องรางที่ห้อยอยู่อย่างละลานตาไปด้วย
หญิงชราคนนั้นหันมาสบตาลูกค้าเล็กน้อย ก่อนจะถาม
“อยากให้เรียกโชคดีแบบไหนล่ะ ความรัก ความสำเร็จ สุขภาพ?”
“ความสำเร็จครับ แบบว่าถ้าปรารถนาสิ่งใดก็สำเร็จผลอะไรแบบนี้” กัลป์แทบไม่ต้องคิดเลยว่าเขาต้องการอะไร เขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร
ส่วนหญิงชราก็เดินไปยังมุมเครื่องรางมุมหนึ่ง หยิบเครื่องรางหน้าตาหลากหลายออกมาให้ดู
“ก็มีหลายอย่างนะ พ่อหนุ่มมาเลือกดูเอาแล้วกัน”
กัลป์พยักหน้า เดินเข้าไปเลือกดูก็ได้เครื่องรางลักษณะคล้ายกับที่ห้อยโทรศัพท์มาหนึ่งอัน ทว่าพอจ่ายเงินค่าเครื่องรางเสร็จและกำลังจะก้าวเดินออกจากร้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าที่บริเวณผนังที่เคาน์เตอร์ชำระเงินมีอะไรบางอย่างเหน็บอยู่ ตอนแรกนึกว่าเป็นขยะที่ถูกหนีบเอาไว้ แต่พอดูดีๆ แล้วไม่ใช่ มันมีรูปร่างคล้ายกับสมุดขนาดเอ 6 พอเอื้อมมือไปหยิบออกมาดูแล้ว ก็เห็นว่าเป็นสมุดอย่างที่คิดไว้จริงๆ มันเป็นสมุดที่ปกทำขึ้นจากหนังวัวตากแห้ง กระดาษด้านในเป็นกระดาษสาเนื้อหยาบ สีขาวอมเหลืองขมุกขมัว ดูจากสายตาก็รู้ว่าเป็นของเก่า มีหลายหน้าถูกฉีกออกไปแล้วด้วยทว่าก็ยังดูหนาอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกอยากได้มันขึ้นมาอย่างประหลาด ก่อนจะเอ่ยปากถามหญิงชราเจ้าของร้านที่ทำท่าจะนั่งเก้าอี้
“คุณยายครับ ไม่ทราบว่านี่ขายมั้ย” ว่าพลางชูสมุดในมือให้ดู
หญิงชราชะงักกึก ดวงตาหรี่เล็กเบิกโพลงทันใด
“พ่อหนุ่มไปเอามาจากที่ไหนน่ะ”
“ผมเห็นมันเหน็บอยู่ตรงนี้” กัลป์ชี้นิ้วบอกตำแหน่งที่หยิบออกมา หญิงชรายิ่งมีสีหน้าตื่นตกใจหนักขึ้นไปอีก
“ไม่น่าเชื่อ หาเจอได้ยังไงกัน”
กัลป์ย่นคิ้ว ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายรำพึงเท่าไหร่นัก ทว่าก็ไม่ได้สนใจนอกจากถามคำถามเดิม
“ตกลงไม่ทราบว่าขายสมุดเล่มนี้มั้ยครับ ผมอยากได้เอาไว้ไปจดไอเดีย”
เอาไปจดไอเดียอย่างที่ปากพูดจริงๆ นั่นแหละ ก็เขารู้สึกถูกชะตากับสมุดนี่อย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเก่าและมีรูปร่างหน้าตาไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าถูกชะตาก็น่าจะเป็นสมุดจดที่ดี
หากแต่หญิงชราไม่ตอบ เดินเข้ามาหาแล้วคว้าข้อมือเขาข้างที่ถือสมุดอยู่ทันใด
“พ่อหนุ่มรู้มั้ยว่าสมุดนี่เป็นสมุดอะไร”
กัลป์ส่ายหน้าพรืด มองสีหน้าใจดีที่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดของคนอาวุโสกว่าแล้วก็สังหรณ์ใจขึ้นมาแปลกๆ ใจอยากจะวางสมุดทิ้งแล้วหนีออกนอกร้านชะมัด แต่ก็ทำได้แค่ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายได้มองซ้ายขวาเลิ่กลั่กราวกับกลัวมีคนมาเห็น ก่อนจะกระซิบบอกเสียงพร่า
“มันเป็นสมุดสมปรารถนา”
“สมุดอะไรนะครับ” หัวคิ้วย่นยู่ลงกว่าเดิม
“สมุดสมปรารถนา” หญิงชราว่าซ้ำ “เป็นสมุดที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดในยุคสมัยไหน ว่ากันว่ามันมีชีวิต และมันก็จะเลือกคนเป็นเจ้าของด้วยตัวของมันเอง ตระกูลฉันน่ะหามันมาหลายชั่วอายุคนแล้วแต่ไม่เคยมีใครหาเจอทั้งที่อยู่ร้านนี้มานาน ฉันเองก็หาไม่เจอ น่าแปลกที่มันปรากฏตัวให้เธอเห็น ดูท่าทางมันจะเลือกเธอนะ”
กัลป์เริ่มรู้สึกแล้วว่าหญิงชราคนนี้สติไม่เต็มเต็ง สมุดบ้าอะไรมันจะมีชีวิต หากแต่เขาก็ทำได้แค่ยิ้มแหยเท่านั้น
“แล้วถ้ามันเลือกผม ผมจะขอซื้อต่อได้มั้ยครับ” ตามด้วยตัดบทเพื่อให้เรื่องจบๆ ไป
หญิงชรานิ่งไปครู่ก่อนจะขยับริมฝีปากเหี่ยวๆ “ใจจริงก็ไม่อยากขายหรอก แต่ถ้าฉันเก็บไว้เอง เดี๋ยวมันก็จะหายไปอีกเพราะมันไม่ได้เลือกฉัน”
“สรุปว่าตกลงขาย?”
หญิงชราพยักหน้า
“งั้นผมซื้อเลยครับ เท่าไหร่” กัลป์ล้วงกระเป๋าเงินขึ้นมา ไล่ปลายนิ้วนับธนบัตรในกระเป๋าไปด้วยขณะที่อีกฝ่ายชูนิ้วชี้ขึ้นมา
“หมื่นเยนขาดตัว”
ชายหนุ่มชะงักกึก มองหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อหู
“หมื่นเยนเนี่ยนะ! จะบ้าหรือไงยาย สมุดเก่าๆ นี่ขายหมื่นเยน!?”
เสียงเริ่มดังขึ้นอย่างลืมตัว หัวก็คำนวณไปด้วยว่าเงินหมื่นเยนนี่ตีเป็นเงินไทยได้เท่าไหร่... ถ้าเขาจำเรตอัตราแลกเปลี่ยนไม่ผิด ณ ปัจจุบันก็น่าจะราวๆ สามพันกว่าบาทเลยทีเดียว[ อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 19 มกราคม 2559 : 10,000 เยน = 3,073.65 บาท]
พอหญิงชราพยักหน้ารับอีกที กัลป์ก็วางสมุดในมือลงบนเคาน์เตอร์ทันใด
“งั้นผมไม่เอาแล้วครับ” พูดจบก็หมุนตัว ทำท่าจะเดินออกจากร้าน หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือเล็กเหี่ยวย่นคว้าข้อมือเขาเอาไว้
“เดี๋ยวสิพ่อหนุ่ม มันคุ้มค่าต่อการแลกเปลี่ยนนะ”
กัลป์มองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิดน้อยๆ มันจะคุ้มค่ายังไง สมุดเก่าๆ ปลวกจะแทะแหล่ ไม่แทะแหล่ แต่ราคาสูงถึงสามพันบาทเนี่ย มองยังไงก็ไม่เห็นจะคุ้มค่าสักนิด!
อยากจะตะโกนถามใส่หญิงชราเหลือเกิน แต่ก็ยังรักษามารยาท คว้ามือของหญิงชราที่จับตัวเองออก ว่าด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด
“คุณยายครับ คือ...”
“คุ้มค่าแน่นอน เงินแค่หมื่นเยนแต่แลกเปลี่ยนกับความปรารถนาของเธอ แค่เขียนความปรารถนาลงไปเท่านั้น สิ่งที่เธอต้องการก็จะปรากฏให้เห็น ดูยังไงก็คุ้มค่า ไม่อย่างนั้น ตระกูลฉันคงไม่ตามหามันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษหรอก”
กัลป์ไม่ได้สนใจว่าทำไมสมุดถึงไม่ปรากฏให้ตระกูลของคนตรงหน้าเห็น สิ่งที่เขาสนใจก็คือคำพูดของหล่อนที่บอกว่า ‘ความปรารถนาจะปรากฏให้เห็นเพียงแค่เขียนลงไป’ ต่างหาก
“คุณยายกำลังล้อผมเล่นหรือเปล่าเนี่ย” แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ถามขึ้นมาอีก
“ไม่ได้ล้อเล่น มีคนเคยใช้มันมาแล้ว และก็ได้เป็นใหญ่เป็นโตทั้งนั้น พวกไดเมียวหรือโชกุนในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบางคนก็เคยครอบครองมันมาทั้งสิ้น แต่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ที่ได้ครอบครองมันนะ สมุดมันเลือกเจ้าของ และการที่มันปรากฏให้เธอเห็นอย่างนี้ก็แสดงว่ามันเลือกเธอ โอกาสของเธอมาแล้ว หมื่นเยนกับความปรารถนาจากก้นบึ้งหัวใจ แค่เขียนลงไปเท่านั้น เธอจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปงั้นเหรอ”
หมื่นเยนกับการซื้อความปรารถนาจากก้นบึ้งหัวใจ... ฟังดูก็น่าสนใจดีเพราะเขาก็มีความปรารถนาจากก้นบึ้งหัวใจเหมือนกัน ก็การเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงและโด่งดังนั่นแหละ แต่เงินหมื่นเยนนี่ก็ถือว่ามากสำหรับเขาที่ทำงานแบบไม่มีเงินเดือนประจำเหมือนกันนะ ขืนจ่ายไป มีหวังได้กินแกลบทั้งเดือนแน่
“อย่าคิดเยอะเลยน่าพ่อหนุ่ม เงินที่เสียไป เธอก็สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยสมุดเล่มนี้ก็ได้ แค่เขียนลงไปเท่านั้น ง่ายจะตาย ไม่ต้องเสียดายเงินหรอกน่า”
“แต่ว่า...” กัลป์เริ่มสับสนเมื่อถูกยุมากๆ เข้า จิตใต้สำนึกส่วนหนึ่งบอกว่าหญิงชราคนนี้ไม่ต่างอะไรจากนักต้มตุ๋นแม้แต่น้อย แต่จิตใต้สำนึกอีกส่วนกลับบอกให้เขารีบจ่ายเงินแล้วเอาสมุดกลับไปที่ห้องให้ไวที่สุดเสียอย่างนั้น
และดูท่าจิตใต้สำนึกส่วนหลังจะชนะเสียด้วยเมื่อหญิงชราพูดขึ้นมาอีก
“มีสมุดอยู่ในมือก็เหมือนเป็นพระเจ้า จะบันดาลเสกสรรอะไรก็ได้ ฉันแค่ขอแลกเปลี่ยนค่าข้าวเย็นนิดๆ หน่อยๆ เพราะยังไง ฉันก็ไม่มีวาสนาได้เป็นเจ้าของมันอยู่แล้วในเมื่อมันไม่เลือกฉัน เอาน่าพ่อหนุ่ม อย่าคิดมาก ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ความปรารถนาสัมฤทธิ์ผลโดยไม่ต้องลงแรงอะไรมากมายนอกจากเขียนมันลงไปแค่นั้น สบายจะตาย”
กัลป์เอนเอียงไปโดยปริยาย มองสมุดในมือแล้วก็ถอนหายใจ
“ก็ได้ครับ หมื่นเยนก็หมื่นเยน” สุดท้ายแล้วก็ยอมควักเงินจ่าย
หญิงชรายกยิ้มเห็นเหงือกสีชมพู รับเงินปึกนั้นมานับก่อนเก็บเข้ากระเป๋า ส่วนกัลป์ก็ตระหนักได้ในตอนนี้ว่าทำเรื่องบ้าๆ ลงไปแล้ว จะเรียกเงินคืนก็กลัวเสียหน้า เลยตัดสินใจเดินออกจากร้าน
ทว่าในจังหวะที่เขาเดินออกจากร้าน เสียงของหญิงชราก็ลอยมาให้ได้ยินอีก
“อย่าลืมนะ เขียนสิ่งที่ปรารถนาลงไป แต่ต้องเป็นสิ่งที่ปรารถนาจากก้นบึ้งหัวใจเท่านั้นมันถึงจะสัมฤทธิ์ผล”
กัลป์หยุดยืนฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณแล้วหายออกไปจากร้าน
เอาเถอะ อย่างไรเสียเขาก็ถูกชะตากับสมุดเล่มนี้ ถึงมันจะไม่ใช่สมุดสมปรารถนาอะไร ก็ใช้เป็นสมุดจดไอเดียอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรกนั่นแหละ เงินที่เสียไปก็ถือว่าเสียค่าโง่
‘อยากเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง’
มือวางปากกาลง สายตาจับจ้องยังตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นที่ถูกเขียนลงบนหน้ากระดาษสมุดเก่ากึ้กเล่มนั้น ก่อนจะระอากับความโง่เขลาของตัวเองที่ดันไปหลงเชื่อคำของหญิงชรานั่น
มันก็แค่สมุดธรรมดา จะไปมีปาฎิหาริย์อะไรเกิดขึ้นได้เล่า! ความสำเร็จอะไรนี่ ถ้าอยากได้ต้องทำเองเว้ยไอ้กัลป์! เอาล่ะ ทำงานต่อๆ
พอไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองอย่างนั้น ก่อนจะพลิกหน้าก่อนที่เขียนข้อมูลตัวละครเอาไว้ อ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนไปในใจขณะที่สายตาก็จ้องจอโน้ตบุ๊กสลับไปด้วย ข้อมูลตัวละครก็มีอยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือนายเอกของเรื่องนั่นแหละ
นายเอก: โมริ เซย์จิ
อายุ: 22 ปี
ลักษณะทั่วไป: ผมสีบลอนด์สว่าง รูปร่างสูงใหญ่ (พอๆ กับพระเอก) หน้าตาหล่อเหลา หัวดื้อ ไม่ฟังใคร ขี้หงิดหงิด อ่อนไหวง่าย ขี้อ้อนเหมือนหมา
ลักษณะเด่น: ปานรูปดาวขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยที่โคนขาขวาด้านใน
อุปนิสัยเด่น: มั่วไปเรื่อย
ที่ต้องอ่านข้อมูลตัวละครซ้ำไปมาก็เพราะเขาใช้นายเอกเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่อง และอ่านซ้ำเพื่อจำให้ขึ้นใจว่านายเอกเป็นคนนิสัยอย่างไร
นิสัยแย่... นี่คงจะเป็นข้อสรุปทั้งหมดของนายเอกเขา แย่ตรงที่มั่วไปเรื่อยนี่แหละ แค่ฉากแรกของต้นฉบับก็ขึ้นต้นด้วยการมีเซ็กส์กับชายแปลกหน้าแล้ว แต่ฉากนั้นเขียนไม่ยากมากนักเพราะเขาใช้เทคนิคการเขียนแบบตัดไปที่โคมไฟหัวเตียง อธิบายง่ายๆ ก็คือไม่ได้บรรยายลักษณะท่วงท่าลีลาอะไร เป็นบทเลิฟซีนธรรมดา แต่มันมามีปัญหาก็ตอนที่เขาจะต้องเขียนฉากที่นายเอกอย่างเซย์จิได้เจอกับพระเอกคนแรกที่ใช้คุรุกิเป็นต้นแบบและมีความสัมพันธ์กันแบบสุดเหวี่ยงมากกว่า
