หนึ่ง ฝันร้าย
กลางดึกในเรือนเล็กท้ายจวน
สายลมหนาวโหมพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้อย่างเงียบงัน แสงจันทร์บางเบาสาดส่องเข้ามาในห้องเล็กอันคับแคบ เผยให้เห็นเงาร่างบอบบางของหยางหลินอี้ ร่างนั้นยามนี้กลับนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงไม้เก่าที่แทบจะรองรับน้ำหนักของนางไม่ไหว แผ่นหลังของนางแนบกับฟูกบางที่ปะติดปะต่อด้วยเศษผ้า ดวงหน้าซีดเซียวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เสียงครางเบา ๆ ดังลอดจากริมฝีปากที่ซีดเผือดของนาง
นางฝัน...ฝันถึงเรื่องราวที่นางพยายามลืมแต่ก็ไม่อาจลบเลือนไปจากความทรงจำร่างนี้ได้สักที
ในความฝัน...ทุกอย่างแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ภาพในอดีตฉายซ้ำราวกับละครฉากเศร้าที่ไม่สามารถหลีกหนีได้
วันนั้นคือวันที่ชีวิตของหยางหลินอี้พังทลาย...
วันนั้นท้องฟ้าขมุกขมัว เมฆหนาทึบปกคลุมไปทั่วท้องนภา บรรยากาศของจวนที่เคยอบอุ่นกลับเย็นยะเยือกจนแทบหายใจไม่ออก หยางหลินอี้ถูกบ่าวไพร่ลากเข้ามาในห้องโถงกลางที่เต็มไปด้วยผู้คน ทุกสายตาจับจ้องมาที่นางด้วยความเหยียดหยามปนความโกรธเกรี้ยว
กลางห้องโถงนั้นมีติงอ๋องหรือท่านอ๋องหลิวเว่ยหลง นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม้โอ๊คสีดำใบหน้าเคร่งขรึมของเขาทำให้นางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเหวลึก ดวงตาของเขาที่เคยมองนางด้วยความใจเย็นบัดนี้กลับเย็นชาเหมือนน้ำแข็งที่ไม่อาจละลายได้
บนโต๊ะไม้ข้างบัลลังก์ มีถ้วยชาเคลือบทองวางอยู่ถ้วยหนึ่ง ภายในบรรจุของเหลวที่เหลือเพียงครึ่ง กลิ่นหอมจาง ๆ ของชาชั้นเลิศคลุ้งกระจายไปทั่วห้อง
“เจ้ามีสิ่งใดจะพูดอีกหรือไม่” ติงอ๋องถามเสียงเย็น ดวงตาเขาจ้องนางราวกับรอคำสารภาพ
“หม่อมฉันไม่ได้ทำเพคะ” หลินอี้คุกเข่าลงกับพื้น พยายามควบคุมเสียงสะอื้น “หม่อมฉันถูกใส่ร้าย พระองค์ต้องเชื่อหม่อมฉัน!”
“เชื่อเจ้าอย่างนั้นหรือ” ติงอ๋องกระแทกเสียง ดึงแผ่นเอกสารแผ่นหนึ่งจากมือของขันทีคนสนิท “หลักฐานทั้งหมดนี้ชี้ว่าเจ้าคือผู้กระทำ ถ้วยชานี้พบพิษชนิดเดียวกับในถุงสมุนไพรที่พบในเรือนของเจ้า หรือเจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีก”
หลินอี้ตัวสั่นอย่างรุนแรง นางมองเอกสารแผ่นนั้นที่ถูกโยนลงมาตรงหน้า ตัวอักษรทุกบรรทัดชี้มาที่นางว่าเป็นผู้กระทำผิด
“หม่อมฉันไม่รู้เรื่อง!” นางโต้กลับอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลพรากจนแก้มเปียกชุ่ม “มีคนวางแผนใส่ร้ายหม่อมฉัน”
เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นรอบด้าน สาวใช้และขันทีต่างซุบซิบกันอย่างเปิดเผย
“เพียงเพราะคนผู้นั้นวานให้เจ้าสังหารสามีตนเอง เจ้าถึงกับยอมทำร้ายข้ากระนั้นหรือ” ติงอ๋องพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “ข้าอุตส่าห์แต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายาเอก คิดว่าเจ้าจะซื่อสัตย์ต่อข้า ไม่นึกเลยว่าเป็นเพียงสตรีหิวอำนาจ!”
คำพูดนั้นเหมือนคมดาบแทงเข้าสู่หัวใจของหลินอี้ นางอยากตะโกนว่าไม่จริง นางทำเพื่อคนที่รักต่างหาก นางทำได้ทุกอย่างเพื่อบุรุษผู้นั้น...
ซึ่งบุรุษที่นางเสียสละชีวิตตนเองเพื่อเขามากขนาดนี้หาใช่พระสวามีตรงหน้าผู้นี้ไม่
หลิวเฟิงหมิง...
นามของบุรุษที่เวลานี้ไม่รู้ว่าหายหัวไปที่ใดไยจึงไม่มาช่วยนางตามคำสัญญา
ยิ่งคิดนางยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน
เมื่อเขาเอ่ยคำพิพากษา น้ำเสียงของเขาเย็นชาเหมือนใบมีด
“ลงโทษโดยการโบยร้อยไม้ และส่งนางไปกักบริเวณที่เรือนท้ายจวน นับจากวันนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก”
“ไม่นะ ไม่นะ”
ลานประหารที่ปกติใช้สำหรับลงโทษบ่าวไพร่ต่ำต้อย บัดนี้กลายเป็นที่ประจานพระชายาเอกแห่งติงอ๋อง ผู้คนทั้งจวนยืนรายล้อม นางถูกมัดไว้กับเสาไม้ มือทั้งสองข้างยึดตรึงเหนือศีรษะ
เสียงแส้ที่ฟาดลงบนแผ่นหลังของนางดัง เพียะ! ก้องกังวานไปทั่ว เสียงหวีดร้องของหลินอี้สะท้อนออกมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่แทบจะทำให้นางหมดสติ
เลือดไหลซึมออกมาจากแผล ร่างกายของนางบอบช้ำจนแทบจะไร้เรี่ยวแรง แต่ดวงตาของนางกลับไม่เคยหันไปมองติงอ๋องที่ยืนมองอยู่จากระยะไกล
ยามค่ำคืนวันเดียวกันหลินอี้ถูกพามายังเรือนท้ายจวนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่รกร้างและอับโชค บ่าวไพร่ที่คุมตัวนางไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้เรือนนั้น พวกเขาผลักนางเข้าไปในความมืดโดยไม่สนใจว่าร่างของนางที่อ่อนล้าจากการถูกลงโทษจะเดินไหวหรือไม่
หยางหลินอี้หันมองรอบตัว ความเงียบงันของเรือนท้ายจวนปกคลุมไปด้วยบรรยากาศชวนอึดอัด ผนังไม้ที่ขึ้นรา และกลิ่นอับของห้องที่ไม่เคยมีใครอาศัยมาก่อน ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกโยนเข้ามาในสุสาน
นางนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเริ่มพร่าเลือน น้ำตาของนางไหลรินอีกครั้ง
“เหตุใดชีวิตข้าจึงกลายเป็นเช่นนี้...พี่เฟิงหมิง ไหนพี่บอกว่ารักข้าและจะมาช่วยเหลือข้าหากข้าวางยาพิษเขา ฮึก...”
“ฮึก ฮือ...เหตุใดยามนี้ข้าจึงไม่เห็นเงาร่างท่านมาช่วยข้าเล่า ฮึก ข้าช่างโง่งมยิ่งนัก...”
เฮือก!
เสียงลมกระโชกวูบผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ และหมอกบางในยามเช้าลอยเอื่อยรอบเรือนร้าง หญิงสาวที่นอนกระสับกระส่ายบนเตียงไม้เก่าเล็กๆ สะดุ้งตื่นพร้อมเสียงหอบหายใจหนักหยางหลินอี้ หรือในความเป็นจริงคือ จางจื่อเหยา หมอหญิงจากยุคอนาคตสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายที่เหมือนจริงจนเกินไป
“เฮ้อ...”
นางครางออกมาเบา ๆ พลางยกมือปาดเหงื่อที่ชื้นทั่วทั้งใบหน้า ความฝันที่นางเห็นในคืนนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ภาพในอดีตของร่างนี้ที่เคยเป็นพระชายาเอกของติงอ๋องยังคงหลอกหลอนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"นี่ข้าฝันถึงความทรงจำนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย" นางพึมพำกับตัวเองในความเงียบ ทอดสายตาไปยังเพดานไม้เก่าซึ่งเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว “ทำไมเวลาฝันถึงต้องรู้สึกบีบหัวใจ และหน่วงราวกับรู้สึกผิดด้วย ทั้ง ๆ ที่ข้าหาใช่คนทำไม่...”
ที่นางบอกว่าตนเองไม่ใช่คนทำเป็นเพราะความจริงแล้วนางคือจางจื่อเหยาหญิงสาวจากยุคอนาคต ผู้ที่ชีวิตพลิกผันอย่างไม่คาดฝันมาเกิดใหม่ในร่างของนางร้ายในนิยายเรื่อง แด่นางในดวงใจ ที่ยังคงจำได้ดีว่าร่างสตรีผู้นี้คือร่างของพระชายาเอก หยางหลินอี้
นางร้ายจอมร้ายกาจที่ยอมทำเลขทุกอย่างเพื่อให้ตัวร้ายฝ่ายชายที่นางหลงรักหันมามองนาง ดังนั้นในความฝันนั้นจึงไม่แปลกผู้ที่วางแผนวางยาพิษพระสวามีตนเองคือร่างนี้แต่กลับพลาดท่าถูกจับได้ และท้ายที่สุดก็ถูกส่งมาตรอมใจตายที่เรือนร้างแห่งนี้
สาเหตุที่อ๋องหลิวเว่ยหลงไม่ส่งภรรยาร้ายกาจตนเองไปลงโทษที่คุกหลวงเป็นเพราะตระกูลเดิมของนางร้ายนั้นเป็นหนึ่งในขุนนางสำคัญ ชายหนุ่มคงไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่จึงทำเพียงลงโทษขั้นเด็ดขาดภายในจวนตงอ๋องเท่านั้นแทน
“แล้วทำไมเจ้าถึงต้องฝากความรู้สึกทรมาน เจ็บปวด และฝันร้ายเหล่านี้ไว้ให้ข้าด้วยเล่าเนี่ย หยางหลินอี้...”
จื่อเหยาเอ่ยพลางตบหน้าตนเองเบา ๆ เพื่อดึงตัวเองออกจากอารมณ์หม่นหมองนั้นเสียที
ร่างบางยืดตัวลุกขึ้นจากเตียง คว้าเสื้อคลุมสีซีดมาห่มร่างกาย ก่อนเดินไปยังมุมห้องที่มีกระจกทองเหลืองเก่าบานหนึ่งเต็มไปด้วยรอยร้าว ดวงหน้าที่สะท้อนในกระจกยังคงงดงามไร้ที่ติ แม้จะแฝงความอิดโรยอยู่บ้าง ทว่าดวงตาของนางยังคงเป็นดวงตาเดียวกับในโลกเก่า
ย้อนกลับไปก่อนที่จะมาอยู่ในร่างนี้...
จางจื่อเหยา ในชีวิตเก่าเป็นหมอหญิงผู้มากความสามารถ ในช่วงโรคระบาดโควิด-19 นางทำงานอยู่ในโรงพยาบาลภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ด้วยจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ นางจึงต้องทำงานต่อเนื่องโดยไม่ได้นอนถึงเจ็ดคืนติดกัน แน่นอนว่าร่างกายมิอาจทนรับภาระที่หนักเกินไปไหว
นางจำได้ชัดเจน...คืนสุดท้ายที่ร่างของนางล้มลงหมดสติในห้องพักแพทย์ หลังจากวินาทีที่นางเขียนประวัติคนไข้เสร็จลวก ๆ และฟุบหน้าลงบนโต๊ะ สติของนางก็ดับวูบหายไปตลอดกาล
เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งนางกลับพบว่าตนเองมาอยู่ในโลกนิยายที่จบแล้ว เรื่อง แด่นางในดวงใจ ที่นางติดตามจนถึงตอนจบอย่างคลั่งไคล้
ทว่า...เหมือนสวรรค์จะส่งนางมาผิดจังหวะหรือไม่ก็ผิดร่าง เพราะแทนที่จะตื่นขึ้นมาในร่างของนางเอก กลับฟื้นมาอยู่ในร่างของนางร้ายหยางหลินอี้ที่เพิ่งตรอมใจตายจากการถูกทอดทิ้ง
"ใช่น่ะสิ ชีวิตนางร้ายในนิยายร้อยทั้งร้อยจบไม่ดีทั้งนั้น รวมถึงหยางหลินอี้ผู้นี้ด้วย"
แม้จะไม่ใช่ชีวิตที่ตนเลือก แต่สองปีที่ผ่านมานางตั้งมั่นที่จะไม่จมปลักอยู่กับอดีตของร่างนี้ นางปรับปรุงเรือนท้ายจวนให้กลายเป็นสถานที่ที่น่าอยู่มากขึ้น แม้จะถูกลืมเลือนและทอดทิ้งจากติงอ๋องและคนทั้งจวน แต่นางก็ใช้โอกาสนี้สร้างชีวิตใหม่
เสื้อผ้าสีหม่นของนางอาจดูเรียบง่าย แต่ทุกชิ้นล้วนถูกนางตัดเย็บเอง สวนดอกไม้รอบเรือนร้างที่เคยรกชัฏ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีที่นางปลูกเองทุกต้น
นางเรียนรู้การเกษตร เลี้ยงสัตว์ และค้นคว้าสมุนไพรในยุคนี้อย่างจริงจัง เพื่อพึ่งพาตนเองจะได้อย่างสมบูรณ์
“พระชายาเพคะ ท่านตื่นหรือยัง”
เสียงเล็ก ๆ ของ เสี่ยวหลาน สาวใช้เพียงคนเดียวของนางดังมาจากนอกห้อง “หม่อมฉันทำน้ำอุ่นไว้ให้แล้วเพคะ”
จื่อเหยาหลุดออกจากความคิด นางสูดหายใจลึก ๆ แล้วเดินออกไปเปิดประตู เสี่ยวหลานยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมรอยยิ้มสดใสและชามน้ำอุ่นในมือ
“เช้านี้อากาศดีมากเพคะ หม่อมฉันคิดว่าเราควรออกไปดูสระบัวกันหน่อย เมื่อคืนมีลมแรงเกรงว่าจะมีใบที่เสียหาย”
หยางหลินอี้พยักหน้า “ได้สิเสี่ยวหลาน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วเราค่อยไปด้วยกัน”
เมื่อเดินมาถึงสวนขนาเล็กที่พวกนางดูแลมาอย่างดีโดยตลอด ที่นั่นสระบัวกว้างใหญ่ยังคงงดงามราวภาพวาด ใบบัวเขียวขจีลอยนิ่งบนผืนน้ำที่สะท้อนแสงแดดอ่อน ดอกบัวสีชมพูและขาวบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมจาง
หยางหลินอี้มองสระบัวด้วยความภูมิใจ
“วันหนึ่ง ข้าจะต้องออกไปจากจวนแห่งนี้อย่างเป็นทางการ ไปใช้ชีวิตของข้าเอง”
เสี่ยวหลานหันมามองเจ้านายสาวด้วยแววตาอบอุ่น “พระชายาไม่ต้องห่วงเพคะ สักวันต้องมีคนเห็นคุณค่าของท่าน!”
หยางหลินอีหัวเราะเบา ๆ นางไม่ได้หวังให้ใครมองเห็นคุณค่า แต่หวังจะสร้างชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาใครต่างหาก
"ในเมื่อข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ ข้าก็จะลิขิตชีวิตนางร้ายใหม่ด้วยมือของข้าเอง..."
