สอง ทางหมาลอด
เสียงนกร้องแว่วกังวานท่ามกลางหมอกบางในเช้าตรู่ เจ้าของห้องเดินไปยังหน้าต่างไม้เก่าของเรือนท้ายจวน เปิดบานหน้าต่างให้ลมเย็นพัดเข้าสู่ห้อง
เรือนท้ายจวนที่ภายนอกดูทรุดโทรมตามข่าวลือของคนในจวน เป็นเพียงหน้ากากที่ซ่อนความเป็นจริงไว้ภายใน ภายในเรือนเล็กนี้เต็มไปด้วยเครื่องใช้อำนวยความสะดวกครบครันจากฝีมือของนางและเสี่ยวหลาน สาวใช้คนสนิท การตกแต่งเรียบง่ายด้วยเครื่องเรือนไม้และผ้าสีธรรมชาติ ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ให้บรรยากาศอบอุ่นและน่าอยู่
ของทั้งล้วนมาจากเงินจากน้ำพักน้ำแรงของนางหาใช่จากเศษเงินรายเดือนจากจวนตงอ๋องโอ่อ่าแห่งนี้
ทันใดนั้นเสียงกระพือปีกของนกตัวหนึ่งดังขึ้นพร้อมเงาสีขาวที่โฉบเข้ามายังห้องผ่านหน้าต่างบานเปิด
“เจ้านกมาส่งข่าวหรือ?”
จิ๊บ
นกตัวนั้นเป็นนกพิราบสีขาวสะอาด มันมีปลอกจดหมายเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ขา เมื่อหลินอี้รับตัวนกไว้ มือบางแกะจดหมายออกจากขามันด้วยความสงสัย
ข้อความในจดหมายสั้นและกระชับ
มาที่โรงหมอเซี่ยงเหอ ด่วน!!
หยางหลินอี้ขมวดคิ้วแม้ข้อความนั้นจะไม่มีชื่อผู้ส่งทว่าจากลายมือคุ้นตา นางพอจะเดาได้ว่าผู้ใดเป็นคนเขียน หญิงสาวหยุดนิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนปล่อยให้นกพิราบตัวนั้นบินจากไป
“เสี่ยวหลาน”
หยางหลินอี้หันไปเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังทำความสะอาดเรือนอยู่
“เพคะพระชายา” เสี่ยวหลานโผล่มาจากครัวเล็กพร้อมผ้าคาดเอว
“เตรียมชุดให้หน่อย ข้าจะออกไปข้างนอก”
“เพคะ”
เสี่ยวหลานรับคำทันทีโดยไม่ถามไถ่ถึงเหตุผล ทั้งสองประสานงานกันอย่างคล่องแคล่วราวกับทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
ไม่นานนักหยางหลินอี้ก็ปรากฏตัวในอาภรณ์สีครีมเรียบง่ายคล้ายชาวบ้านทั่วไป ผมยาวสลวยถูกปล่อยลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ มีรวบไว้บางส่วนเพื่อให้ดูเรียบร้อย หยางหลินอี้เลือกทำทรงผมที่บ่งบอกถึงสถานะของสตรีชาวบ้านที่ยังไม่ได้แต่งงานแม้สถานะแท้จริงจะเป็นพระชายาก็ตาม
บนบ่าของนางสะพายย่ามใบโปรดที่นางตัดเย็บขึ้นมาเอง ย่ามใบนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์สมุนไพรและยาที่นางใช้เป็นประจำ
“จะไปคนเดียวหรือเพคะ”
“ใช่ ข้าน่าจะไม่ได้ไปนาน เจ้าดูแลเรือนไว้ข้าจะกลับมาก่อนเย็น”
หยางหลินอี้เดินไปยังมุมหนึ่งของสวนที่ตั้งอยู่หลังเรือนท้ายจวนตัวเอง สวนนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสุสานบรรพบุรุษของจวน มีหลุมศพโบราณเรียงรายอยู่ในความเงียบงัน บรรยากาศวังเวงทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้ามาเดินเล่นที่นี่
หากถามว่านางไม่กลัวผีหรือ?
หยางหลินอี้พึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มขำขัน
“หมออย่างข้าจะกลัวของเทือกนั้นทำไมเล่า”
เมื่อถึงจุดหมายหยางหลินอี้ก้มตัวลงคลานเข้าสู่โพรงเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังหลุมศพหินใหญ่
โพรงหมาลอด
โพรงนี้เป็นทางลับที่นางค้นพบในช่วงปีแรกที่มาอยู่ที่นี่ นางใช้มันเป็นทางเข้าออกจวนโดยไม่มีใครจับได้
ทางลับทอดยาวสู่ป่าด้านนอกของจวน ต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายขนาบสองข้างของทางเดินเล็กที่มีเพียงแสงแดดลอดผ่านเบา ๆ
หยางหลินอี้ใช้เวลาไม่นานนักก็ออกมาถึงหมู่บ้านใกล้เคียง เท้าบางก้าวเข้าสู่โลกภายนอกที่แตกต่างจากจวนหลังใหญ่ นี่คือที่ที่นางสามารถปลดเปลื้องตัวตนเดิม และใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างแท้จริง
แสงแดดในยามสายแผ่ลงมาทาบท้องถนนสายหลักในตัวเมืองลี่เจียง ความคึกคักในตลาดที่เต็มไปด้วยเสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าแปรเปลี่ยนเป็นเสียงซุบซิบเมื่อผู้คนเห็นกลุ่มคนจากตระกูลเจ้าเมืองเดินกราดเกรี้ยวไปทาง โรงหมอเซี่ยงเหอ
หยางหลินอี้ ในคราบหมอหญิงนิรนามกำลังเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน นางสวมชุดสีครีมเรียบง่าย และผ้าคลุมบางปิดใบหน้าครึ่งล่าง ปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตนไว้
เมื่อเข้าใกล้โรงหมอเซี่ยงเหอ เสียงเอะอะจากกลุ่มคนก็ดังขึ้น นางรีบเดินไปยังหน้าประตูโรงหมอ เห็นชายฉกรรจ์ในชุดของตระกูลเจ้าเมืองลี่เจียงยืนโวยวายอยู่ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์
“ลูกชายของเจ้านายข้ากำลังจะตาย หมอของเจ้าทำอันใดอยู่ นอกจากรักษาไม่ได้พวกเจ้ายังทำให้อาการหนักขึ้นไปอีก”
ชายคนหนึ่งในกลุ่มลูกน้องเจ้าเมืองตะโกนเสียงดังส่วน ชายอีกคนเสริม
“พวกเจ้าต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนี้ ท่านเจ้าเมืองไม่ปล่อยไว้แน่!”
นอกจากกลุ่มคนจากจวนเจ้าเมืองแล้วยังมีหลายคนจากในกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดูผสมโรงด้วย
“ข้าว่าแล้ว ข้าได้ยินมาว่าที่นี่รักษาไม่ดีมานานแล้ว ข้ารู้จักคนที่มารักษาที่นี่ ลูกชายเขาก็เกือบตายเหมือนกัน”
ชาวบ้านเริ่มออกความเห็นกันหนักขึ้น บางคนพยักหน้าคล้อยตามขณะที่บางคนเพียงเงียบงันด้วยความสงสัย
หลินอี้เหลือบมองกลุ่มบุรุษที่กล่าวหาโรงหมอ นางจับพิรุธได้จากสายตาและท่าทางของเขาล้วนมีความไม่จริงใจแฝงอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างที่พยายามแสดงออก
หลินอี้เดินเข้าไปข้างในโรงหมอโดยไม่พูดอะไร นางตรงไปยังมุมเงียบในโรงหมอ หมอชราเซี่ยง ซึ่งเป็นเจ้าของโรงหมอ รีบเดินเข้ามาหา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าขอโทษที่ต้องเรียกเจ้ามาในเวลาเช่นนี้” หมอเซี่ยงเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ร้ายแรงนัก หากเราแก้ไขไม่ได้ โรงหมออาจต้องปิดตัวลงอย่างเลี่ยงไม่ได้”
“อย่ากังวลไป” หยางหลินอี้พูดอย่างมั่นใจ “ส่งตัวผู้ป่วยมาให้ข้า ส่วนเรื่องอื่นข้าจะช่วยจัดการเอง”
หยางหลินอี้ก้าวออกไปหน้าประตูโรงหมอ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่นาง ชาวบ้านบางคนหันไปกระซิบคุยทันทีเมื่อเห็นสตรีแปลกหน้าปิดบังเสี้ยวหน้าเดินออกมา
“หมอหญิงนิรนาม...”
เสียงหนึ่งกระซิบออกมาเบา ๆ ทำให้เกิดระลอกคลื่นพูดคุยดังขึ้นมาอีกด้วยความสงสัยเนื่องจากหนึ่งปีมานี้โรงหมอแห่งนี้มีข่าวลือออกมาว่าบางครั้งบางคราวพวกเขามีหมอหญิงที่มีฝีมือไม่ธรรมดาผู้หนึ่งแวะเวียนมาที่โรงหมอเพื่อช่วยรักษาโรคที่หาหนทางรักษาไม่ได้แต่หมอนิรนามผู้นี้รักษาได้!
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ชาวบ้านจะตื่นเต้นที่ได้เห็นสตรีผู้นั้นกับตาตนเอง
หลินอี้ยืนตัวตรง ใบหน้าครึ่งล่างที่ปิดไว้ด้วยผ้าคลุมโปร่งทำให้ดูสง่างามและลึกลับ นางส่งสายตาคมกริบไปยังกลุ่มชายที่กำลังกล่าวหาโรงหมอ
“ผู้ใดคือคุณชายที่เจ้าพูดถึง” หยางหลินอี้ถามเสียงนิ่ง
ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชี้นิ้วไปที่ชายร่างใหญ่ซึ่งกำลังประคองร่างคนป่วยไว้ในอ้อมแขน “นี่คือคุณชายรองของตระกูลเจ้าเมือง หากเจ้าช่วยไม่ได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้โรงหมอแห่งนี้อยู่รอดต่อไป”
หลินอี้เดินเข้าไปตรวจดูผู้ป่วย อาการของเขาหนักจริง ใบหน้าซีดขาว ลมหายใจแผ่วเบา
“ผู้ป่วยกินอะไรผิดสำแดงหรือไม่” หลินอี้ถาม
ชายที่อุ้มคนป่วยอยู่ลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ “เขากินยาที่หมอของโรงหมอนี้จ่ายให้จึงอาการหนักเช่นนี้”
หลินอี้ยิ้มบางภายใต้ผ้าคลุม ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งแต่แฝงความเฉียบแหลม “ข้าจะตรวจดูให้เอง แต่ข้าขอพูดตรงนี้ หากข้าพบว่าอาการนี้ไม่ได้เกิดจากยาของโรงหมอ ข้าจะต้องได้รับคำขอโทษจากพวกเจ้า!”
