บทที่ 4
กรกวินท์กลับเข้าบ้านหลังจากจอดรถคันโปรดเข้าที่ ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนแอบมองอยู่ที่หน้าประตู
“เฮ้ย! นายตามฉันมาทำไม ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ผมมองซ้ายมองขวาเพื่อหาว่าเขากำลังพูดอยู่กับใคร ก่อนจะชี้หน้าตัวเอง
“พูดกับผมเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ รีบกลับไปก่อนที่จะโดนข้อหาบุกรุกบ้านของคนอื่น”
อัศวินและกวินตาหันมาสบตากันด้วยความงุนงง
“กรพูดอยู่กับใคร”
“ก็พูดกับไอ้เด็กตัวแสบที่ยืนอยู่ตรงนี้ไงครับพ่อ”
“ไม่เห็นมีใครเลยนอกจากเรา”
“นั่นสิกร แม่ไม่เห็นใครเลย”
“ไม่เห็นได้ยังไงกันครับก็มันยืนอยู่ตรงนี้” เขาหันไปพูดกับบิดามารดา ก่อนจะชี้ไปตรงจุดที่ไอ้ตัวแสบยืนอยู่เมื่อกี้ แต่กลับไม่พบ
“อ้าว! หายไปไหนแล้ว ไวจริง ๆ พับผ่าสิ เมื่อกี้ยังเห็นยืนอยู่เลย สงสัยจะกลัวเลยรีบเผ่น ผมขอตัวกลับขึ้นไปบนห้องก่อนนะครับ”
อัศวินมองตามลูกชายก่อนจะหันมาสบตาภรรยา
“คุณเห็นเหมือนที่ลูกเห็นไหมคะ”
“เห็นสิ”
“เห็นอะไรคะ!”
“อย่าบอกนะว่าคุณไม่เห็น”
“จะให้เห็นอะไรล่ะคะ”
“ก็เห็นว่าลูกของเรายืนพูดคนเดียวน่ะสิ”
“ตอนเช้าก่อนออกไปก็ยังดี ๆ อยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึงมีอาการแบบนี้ได้”
“คงไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมากเลย”
“ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เถอะค่ะ”
กรกวินท์ถอดเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำ ขณะที่อาบน้ำเขาก็ผิวปากไปด้วย แม้จะเพิ่งอกหักมาหมาด ๆ โอเคมันก็เจ็บ แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องจมอยู่กับความเศร้าเสมอไป
ถึงยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อ
เอาวะ! เก่าไม่ไปใหม่ก็ไม่มา...คิดแบบนี้สบายใจกว่า
เขาเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวเนื้อนุ่ม เพียงผืนเดียวเท่านั้นที่พันรอบกายท่อนล่างของเขาเอาไว้ ส่วนช่วงบนตั้งแต่เอวขึ้นไปไม่มีผ้าสักชิ้นห่อหุ้ม เผยให้เห็นแผงอกล่ำสันที่มีละอองน้ำเกาะพราวไปทั้งตัว ท่อนแขนเต็มไปด้วยมัดกล้ามข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นสูงพร้อมกับขยุ้มผ้าขนหนูสีขาวอีกผืน ที่คลุมศีรษะที่เปียกอยู่แล้วเช็ดไปมา
โอมายก๊อด!
ผมต้องรีบเอามืออุดปากของตนเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา ก็นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นสรีระของผู้ชายตัวโต ๆ อย่างชัดเจนขนาดนี้
‘เขามีรอยสักรูปไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่ด้านหลังของเขาด้วย ท่าทางจะเฮี้ยวไม่เบา แต่ก็ดูเท่ดูแมนดีเหมือนกัน’
ขณะที่ผมกำลังชื่นชมรอยสักของเขาอยู่นั้น ผมก็ต้องตกอยู่ในอาการตกตะลึงพร้อมกับดวงตาเบิกโพลงอีกครั้ง
เมื่อจู่ ๆ เขาก็ถอดผ้าเช็ดตัวที่พันเอวอยู่เพียงผืนเดียวนั้นออก แถมยังแก้ผ้าเดินไปเดินมาโดยไม่อายฟ้าดินอีกด้วย
นับเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสรีระของผู้ชายอื่นแบบเต็มตาในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
กรกวินท์หยิบกางเกงขายาวสีเทาจากตู้เสื้อผ้ามาสวมใส่ ก่อนจะบิดตัวไปมาเพื่อสลัดความปวดเมื่อย ฉับพลันสายตาก็ไปปะทะเข้ากับสายตาของใครบางคนที่กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความสนใจ
“เฮ้ย! นายเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”
“ก็เดินเข้ามา”
“แล้วเข้ามานานหรือยัง”
“นานพอที่จะเห็นใครบางคนแก้ผ้าเดินไปเดินมาโดยไม่อายฟ้าดิน”
“อย่าบอกนะว่านายเห็น...” กรกวินท์ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“หนอนน้อยของคุณน่ะเหรอ”
“ไอ้บ้า ใครบอกว่าหนอนน้อย เขาเรียกอนาคอนด้าต่างหาก นายเข้ามาทำไมออกไปเลยนะ รีบออกไปเดี๋ยวนี้”
กรกวินท์เดินไปเปิดประตูห้องที่ติดกับระเบียงพร้อมกับออกคำสั่ง “ออกไป”
“จะให้ผมออกไปทางด้านนี้จริง ๆ เหรอ”
“ก็เออดิ ไม่ต้องลีลา รีบไปก่อนที่จะโดนเตะ”
ผมทำตามที่เขาต้องการ กรกวินท์จัดการปิดล็อคประตู แต่เมื่อเขาหันหลังกลับมาก็เห็นผมยืนอยู่ไม่ห่างจากตัวเขามากนัก ผมเห็นเขาขยี้ตาตัวเองก่อนจะหลุดปากพูดออกมา
“เฮ้ย! มาได้ไงวะ”
“ไม่เห็นยากเลยก็เดินเข้ามาน่ะสิ ถามอะไรโง่ ๆ”
“นายเป็นใครกันแน่ แล้วมาตามฉันทำไม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นใคร”
“อ้าว! ไอ้นี่ถามดี ๆ ดันตอบแบบกวนโอ๊ย ถีบสักทีดีไหม”
“ตอบตามความจริงก็หาว่ากวนโอ๊ย”
“ถามจริงพ่อแม่ฉันยอมให้นายเดินขึ้นมาง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ”
“ก็ไม่เห็นพวกท่านว่าอะไรเลยนี่”
“เป็นไปไม่ได้”
“ที่จริงไม่มีใครเห็นผมหรอกนอกจากคุณ”
“หมายความว่าไง”
“ผมว่าความหมายมันก็ตรง ๆ ตัวนะ เข้าใจยากตรงไหน หรือว่าสมองคุณมีปัญหา”
“หลอกด่ากันเฉยเลย คำพูดของนายมันบ่งบอกว่านายเป็นผีไม่ใช่คน”
“ก็รู้ความหมายดีอยู่แล้วยังจะถามอีก”
“วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ฉะนั้นจะไปไหนก็ไปก่อนที่จะเจ็บตัว”
กรกวินท์เดินไปเปิดประตูห้อง แต่เมื่อเห็นไอ้ตัวแสบยังคงยืนนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ทำให้เขาเดินไปคว้าข้อมือมันเพื่อที่จะลากตัวมันออกไป แต่ว่าไม่สามารถทำได้ ทั้งที่มันยืนอยู่ตรงหน้า
“เป็นไปไม่ได้” เขาเอ่ยและลองพยายามทำอย่างเดิมอยู่หลายครั้ง
แต่ก็คว้าน้ำเหลวทุกครั้ง แถมมันยังยืนจ้องมองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกด้วย
“เป็นไปได้ไงวะ”
“ผมก็บอกคุณแล้วว่าผมไม่ใช่คนแต่คุณก็ไม่เชื่อ ไม่มีใครเห็นผมหรือได้ยินสิ่งที่ผมพูดนอกจากคุณ”
“ไปกันใหญ่แล้ว ถ้าใครรู้ว่าฉันพูดกับผีเขาต้องหาว่าฉันบ้าแน่ ๆ” กรกวินท์พึมพำกับตัวเองก่อนจะหันมาตวาด
“ผีก็อยู่ส่วนผีสิวะ จะมาหลอกหลอนคนอื่นทำไม หรือว่าต้องการส่วนบุญส่วนกุศล พรุ่งนี้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้ก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ไปได้แล้ว รีบไปให้พ้น ๆ หน้าฉัน”
“ผมต้องการความช่วยเหลือ”
“ไม่ช่วยโว้ย! ไปขอจากคนอื่นโน่น”
“บอกแล้วไงว่าไม่มีใครเห็นผมนอกจากคุณ”
ซวยจริง ๆ อยู่ดีไม่ว่าดีดันเห็นผี มันเกิดขึ้นได้ไงวะ
“ถือเสียว่าฉันไม่เห็นนาย”
“แต่คุณเห็น”
“ไม่...ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” พูดจบก็กระโดดขึ้นเตียงนอนอย่างสบายอารมณ์
และทำอย่างที่ปากพูดคือทำเป็นไม่เห็น และไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ทั้งที่จริงแล้วเห็นภาพคมชัดแบบฟูลเอชดี แถมเสียงก็ไม่มีสะดุดอีกต่างหากด้วย แต่ทำเป็นไม่สนใจสุดท้ายไอ้ผีตัวแสบก็ยอมล่าถอยไป
“ผมไปก่อนก็ได้แล้วผมจะกลับมาใหม่ ไม่ว่ายังไงคุณก็หนีผมไปไม่พ้นหรอก”
พอสิ้นคำพูดร่างของไอ้ตัวแสบก็หายไปในพริบตา
“ไปได้เสียที อย่ามาตามหลอกหลอนกันอีกเลย แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้”
หลังจากนั้นไม่นานกรกวินท์ก็เข้าสู่นิทรา เขาฝันเห็นเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นกับเขา และก็ต้องตกใจตื่นเมื่อมองเห็นตัวเองเลือดโชกกายนอนหายใจรวยริน
เขาสูดหายใจเข้าปอดอย่างแรงหลายต่อหลายครั้ง พร้อมกับยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมถึงได้ฝันถึงเหตุการณ์นั้นได้”
