บทที่ 5
เช้าวันต่อมากรกวินท์ไปใส่บาตรอย่างที่ตั้งใจ โดยไม่ลืมที่จะกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ไอ้ผีตัวแสบ
“ว่าแต่มันชื่ออะไร อุทิศให้ไอ้ผีตัวแสบที่ตามมาหลอกหลอนเมื่อคืนก็แล้วกัน”
กรกวินท์เอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซด์คันโปรดกลับเข้าบ้าน
“ออกไปไหนมาแต่เช้าเลยลูก”
“ไปใส่บาตรครับแม่”
“นึกยังไงถึงได้ออกไปใส่บาตรได้ ร้อยวันพันปีพ่อไม่เคยเห็นกรลุกขึ้นมาใส่บาตรกับใครเขาสักที”
“เมื่อคืนผมฝันร้ายน่ะครับ เช้านี้ก็เลยไปใส่บาตร”
“ฝันว่าอะไรเหรอลูก”
“ผมฝันเห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวผมครับแม่ แต่ครั้งนี้ผมยืนมองร่างของตัวเองนอนหายใจรวยรินจมกองเลือดอยู่ ภาพมันยังติดตาก็เลยตื่นขึ้นมาใส่บาตร”
“กรไปใส่บาตรก็ดีเหมือนกันจะได้สบายใจขึ้น”
“ครับแม่ เมื่อคืนพ่อกับแม่เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านเราบ้างไหมครับ”
“ไม่มีนะ กรถามทำไม”
“ไม่มีอะไรครับพ่อ”
“เราไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า กินเสร็จพ่อจะได้รีบไปทำงาน”
อัศวินและกวินตาเดินไปที่โต๊ะอาหาร
“ผมบอกแล้วว่าไม่มีใครเห็นผม หรือได้ยินสิ่งที่ผมพูดนอกจากคุณ”
กรกวินท์ขนลุกเกรียว เรียกได้ว่าขนแขนสแตนอัพทันที เมื่อได้ยินไอ้ผีตัวแสบมายืนพูดอยู่ข้างตัว แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร และเดินตรงไปนั่งกินมื้อเช้าพร้อมกับพ่อและแม่ แม้ว่ามันจะตามมานั่งข้าง ๆ ด้วยแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ
“ผมรู้นะว่าคุณได้ยินผม”
“ขอบคุณนะที่ทำบุญอุทิศให้ผม”
“วันนี้คุณจะทำอะไร”
และคำถามอื่น ๆ ตามมาอีกมากมายที่มันพูดคนเดียว
กรกวินท์พยายามทำเป็นไม่สนใจ และหวังว่าถ้ามันเบื่อก็จะล่าถอยไปเองแบบเมื่อคืนนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ นะ เกือบจะหลุดตวาดใส่มันไปก็หลายครั้ง ดีที่ยั้งไว้ได้ทัน
“วันนี้กรจะออกไปไหนหรือเปล่าลูก”
“ยังไม่มีแพลนครับ”
“แม่ว่าจะไปดูแลร้านดอกไม้เสียหน่อย ทิ้งให้เด็ก ๆ ทำกันเองมานานแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง กรอยู่บ้านคนเดียวได้ไหมลูก”
“ได้ครับ แม่ไม่ต้องห่วงนะครับผมโตแล้ว”
แต่แล้วก็คิดได้ว่าคงจะไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างสงบ ๆ เป็นแน่แท้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เปลี่ยนใจ
“ผมเปลี่ยนใจไปที่ร้านดอกไม้กับแม่ด้วยดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ”
“ได้ใช่ไหมครับ”
“ได้สิทำไมจะไม่ได้ แต่แม่เกรงว่ากรจะเบื่อน่ะสิ”
“ไม่หรอกครับ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้านคนเดียวบางทีมันก็เหงา สู้ไปช่วยแม่ทำงานจะมีประโยชน์มากกว่า”
“เหงาก็โทรศัพท์ไปชวนหนูรุ้งไปเที่ยวสิ”
สายตาของกรกวินท์วูบไหวเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นของพ่อ
“ผมกับรุ้งเลิกกันแล้วครับ”
“ตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อวานนี้ครับ รุ้งเขามีคนใหม่ครับพ่อ”
กวินตาเอื้อมไปกุมมือบุตรชายพร้อมถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“กรโอเคใช่ไหม”
“เราจากกันด้วยดีครับแม่” เขาฝืนยิ้มให้มารดา
“ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่แม่ก็รู้ว่ากรเสียใจ”
“แม่กับพ่อไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะครับ ผมโอเค อาจจะเสียใจอยู่บ้างแต่เข้มแข็งมากพอ อกหักแค่นี้ไม่ทำให้ผมตายหรอกครับ”
“ไม่น่าเชื่อว่าหนูรุ้งจะเปลี่ยนใจง่ายแบบนี้”
“มันไม่ใช่ความผิดของรุ้งหรอกครับพ่อ เรื่องของหัวใจใครล่ะจะไปบังคับได้ บางทีผมกับรุ้งอาจไม่ใช่เนื้อคู่กัน”
“ไม่คิดมากก็ดี อายุอย่างกรยังต้องพบเจอกับอะไร ๆ อีกเยอะ”
“เก่าไม่ไปใหม่ก็ไม่มาสิครับพ่อ”
“ใช่เลย”
“คุณอกหักเหรอ”
ไม่เพียงแค่พูดแต่ยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกด้วย แถมยังเสียงเหมือนสงสารเขาเสียเต็มประดา
“โดนผู้หญิงทิ้ง น่าสงสารจริง ๆ ถึงว่าอารมณ์บ่จอย”
“หุบปาก”
กรกวินท์ลืมตัวตวาดก้องจนอัศวินและกวินตาตกใจ
“เป็นอะไรไปกร นั่งอยู่ใกล้กันแค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วย พูดกันดี ๆ ก็ได้”
“ขอโทษครับแม่ ผมนึกอะไรเพลินไปหน่อยก็เลยเผลอพูดออกไป”
“แน่ใจนะว่ากรไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจสิครับ ทำไมพ่อกับแม่ถามแบบนั้นล่ะครับ”
“ก็เราสังเกตว่าลูกดูเปลี่ยนไป เมื่อคืนก็ยืนพูดคนเดียวจนพ่อกับแม่ตกใจ บอกซิว่าพ่อกับแม่คิดมากไม่เอง”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมปกติดีทุกอย่าง” เขายิ้มให้บิดามารดา
ก่อนจะเหลือบสายตาที่แสดงถึงความไม่พอใจไปมองไอ้ผีตัวแสบที่นั่งอยู่ข้างตัว แต่มันดันส่งยิ้มให้ผม
ยัง...ยังไม่สำนึก...แถมยังทำหน้าทะเล้นใส่อีก
ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าต้องทำยังไง ถึงจะกำจัดไอ้ผีตนนี้ออกไปจากชีวิตของผมได้
กวินตาหันไปสบตาสามีก่อนจะจ้องมองลูกชายสุดที่รักด้วยความเป็นห่วง ปากบอกปกติแต่กลับมองที่ว่างข้างตัวอย่างไม่พอใจราวกับมีใครบางคนอยู่ตรงนั้น
“อาการแบบนี้น่ะเหรอที่บอกว่าปกติดีทุกอย่าง” เธอหันไปกระซิบกับสามี
“ลูกบอกไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นไรสิ อย่าคิดมากเลย” อัศวินยิ้มให้ภรรยาที่รัก
เขารู้ดีว่าเธอรักและเป็นห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้มากแค่ไหน
“ไปเตรียมตัวกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะได้ออกไปทำงานกัน ออกช้ารถจะติด”
กรกวินท์มองตามบิดามารดาก่อนจะถอนใจเมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเอง
แม้ผมจะบอกพ่อกับแม่ว่าผมปกติดีทุกอย่าง แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
จริงอยู่ที่ผมได้กลับมาใช้ชีวิตในแบบเดิม ๆ อีกครั้ง แต่จะว่าเหมือนเดิมเลยก็คงจะไม่ใช่ เพราะมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ผมมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน แม้จะทำเป็นไม่สนใจแต่ก็รับรู้ได้ว่ามันมีอยู่จริง และมีเพียงผมเท่านั้นที่สัมผัสได้ เปรียบได้กับลมที่เรามองไม่เห็นแต่ก็รับรู้ได้ว่ามีลมพัด เรื่องนี้ก็เช่นกัน ต่างกันตรงที่มีผมคนเดียวเท่านั้นที่เห็นและได้ยินในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ถือเป็นความซวยโดยแท้
ใช่แล้วครับผมเห็นผีหรือวิญญาณก็แล้วแต่จะเรียกกันไป แต่ใช่ว่าผมจะมองเห็นผีที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ หรอกนะครับ ผมเห็นแค่วิญญาณของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น และตอนนี้ก็ยังคิดวิธีที่จะกำจัดไอ้ผีตัวแสบนี้ไม่ได้ ทำได้แต่เพียงไม่สนใจมันเท่านั้น
กรกวินท์ถอนใจแรงอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์และของใช้จำเป็นบางอย่างใส่กระเป๋าพร้อมกับเดินไปขึ้นรถมารดา
“คิดจะกำจัดผมออกไปจากชีวิตคุณน่ะเหรอ ไม่ง่ายนะบอกเลย”
