4 เมาจังครับ
ส่วนคนปลายสาย หลังจากกดวางสายไปแล้ว ก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เพราะแผนที่วางไว้สำเร็จลงด้วยดี ทั้งนั่งจ้องคนอกหักอยู่ในรถต่อไปอย่างใจเย็น กระทั่งเวลาผ่านไปยี่สิบกว่านาทีจึงลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้าน
เมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะที่คนอกหักนั่งอยู่ ก็เห็นว่าตอนนี้คนรอดื่มเบียร์หมดไปสามขวดแล้ว
“เสี่ยวเชียนเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงดื่มเบียร์นี้ได้ล่ะ? ” ผู้มาใหม่แกล้งถามคนที่นั่งคอตกอยู่คนเดียวด้วยความตกใจ ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ดื่มของมึนเมา แต่ตอนนี้เบียร์หกขวดที่วางอยู่บนโต๊ะ ถูกดื่มไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“หยูเจี้ยน ฉันถูกบอกเลิกอีกแล้ว” คนอกหักบอกอย่างซึมเซา และปรือตาที่คอยแต่จะปิดลง ขึ้นมองชายรูปร่างสูงใหญ่ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“เรื่องแค่นี้เอง” หยูเจี้ยนปลอบใจ พลางนั่งลงยังเก้าอี้ยาวข้างกันด้วยความห่วงใย
“แต่ห้าคนแล้วนะ” คนอกหักบอกอย่างท้อแท้ หมดหวัง
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้าเทียบกับฉันที่ยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน นายยังดีกว่าอีกนะ ที่มีคนยอมเป็นแฟนด้วย” หยูเจี้ยนให้กำลังใจ
“จริงเหรอ? ” เสี่ยวเชียนฝืนลืมตาขึ้นมองสบตาคนพูดอย่างต้องการคำยืนยัน ว่าการถูกบอกเลิก มันดีกว่าไม่มีแฟนจริงเหรอ และแม้ว่าจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของคนข้างตัว ก็ไม่ได้ติดใจเลยแม้แต่น้อย ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่เคยมีแฟน
“จริงสิ” หยูเจี้ยนตอบ พลางจ้องสบตาคนถามด้วยแววตาจริงจัง เพื่อเติมความมั่นใจให้คนอกหัก เห็นอย่างนั้น เสี่ยวเชียนจึงมีกำลังใจขึ้นมา ไม่ห่อเหี่ยวเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว
“ขอบใจนะ ฉันอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว” คนถูกปลอบบอกอย่างอารมณ์ดี ทั้งฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนด้วย ก่อนจะเอาหัวพิงซบไหล่อีกฝ่ายแล้วเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจ “มีนายเป็นเพื่อน ดีจริงๆ เลย ขอบใจนายมากนะ”
“อืม ไม่เป็นไร” หยูเจี้ยนตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ พลางยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เพื่อให้กำลังใจด้วย แล้วเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เมื่อหัวที่พิงอยู่นั้นคอยแต่จะสัปหงกตกลงจากไหล่เขาอยู่ตลอดเวลา “นายไหวไหมเนี่ย”
“หวายยยสิ มาๆ เรามาดื่มกันเถอะ” เสี่ยวเชียนตอบอย่าง ร่าเริง พลางยกหัวออกจากไหล่ของคนข้างตัว แล้วคว้าขวดเบียร์ตรงหน้าขึ้นมายัดใส่มืออีกคน ก่อนที่ตัวเองจะหยิบอีกขวดมาชูขึ้นตรงหน้า แล้วประกาศก้องด้วยท่าทีนึกสนุก “วันนี้ฉันจะมาว ม่ายมาวม่ายกลั… เอิ๊ก!”
ทว่า ยังพูดไม่ทันจบ คนก็เรอเสียงดังออกมาเสียก่อน
เห็นอย่างนี้หยูเจี้ยนจึงยกยิ้มขำขันให้คนที่ไม่เคยดื่ม ก่อนจะยื่นขวดเบียร์ในมือออกไปชนขวดกับคนเมาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างนึกสนุกด้วยเช่นกัน “ได้ ไม่เมาไม่กลับ”
พูดจบ ก็ยกเบียร์ขวดเล็กขนาดสามร้อยสามสิบมิลลิลิตรขึ้นดื่มรวดเดียวจนเกือบหมดขวด เห็นอย่างนี้เสี่ยวเชียนจึงคิดทำตามบ้าง แต่ดื่มไปได้แค่นิดเดียวก็หยุดพัก แล้วเรอออกมาอีกครั้ง ดวงตาฉ่ำปรือยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน ค่อยๆ จิบ” หยูเจี้ยนบอกคนข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายคิดจะเลียนแบบตัวเองด้วยการยกดื่มรวดเดียวอย่างนั้น
“หวายน่า” คนเมาแย้ง ก่อนจะยกขวดขึ้นดื่มอีกครั้งอย่างดื้อดึง เห็นอย่างนี้หยูเจี้ยนจึงได้แต่ส่ายหัวให้คนดื้อรั้น แล้วแย่งขวดเบียร์ในมือคนเมามา เพื่อดื่มเอง พร้อมให้เหตุผล
“นายดื่มไปก่อนฉันตั้งเยอะแล้ว ตอนนี้ต้องให้ฉันเป็นคนดื่มสิ ถ้านายเมาก่อนแล้วฉันจะดื่มกับใคร นายเป็นคนชวนฉันมานะ จริงไหม”
พูดจบ ก็ยกขวดเบียร์ที่แย่งมาขึ้นดื่มอย่างไม่รังเกียจ โดยมีเจ้าของขวดเบียร์พยักหน้าอืออออยู่ข้างๆ อย่างเห็นด้วยกับคำพูดอีกฝ่าย ก่อนที่คนเมาจะหยิบเบียร์ตรงหน้า มายื่นให้อีกครั้ง อย่างเชื่อฟังคำพูดของคนข้างตัวด้วยรอยยิ้มซุกซน
เห็นรอยยิ้มซุกซนของคนเมา หยูเจี้ยนก็อดที่จะยกยิ้มออกมาด้วยความขบขันไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยมีมุมอย่างนี้ให้เห็นเลยสักครั้ง ทุกอย่างในชีวิตมีแต่ความเคร่งเครียดจริงจัง เพราะมีแม่คอยควบคุมอยู่ ดังนั้นจึงหยิบขวดเบียร์ที่ยื่นมาตรงหน้าขึ้นดื่มอย่างไม่อิดออด เพื่อเอาใจคนข้างตัว
“ว้าววว เจ๋งมากๆ เลย” เสี่ยวเชี่ยนตบมือแปะๆ ด้วยท่าทางดีใจ ดวงตาเรียวเบิกกว้างเป็นประกายชื่นชมดั่งเช่นเด็กน้อยมองซุปเปอร์ฮีโร่ของตัวเอง ก่อนจะหยิบเบียร์ไปให้คนข้างตัวอีกครั้ง ทว่า หยิบขวดไหนก็มีแต่ขวดเปล่า จึงหน้าเศร้าลงไปอีกครั้ง
เห็นอย่างนี้หยูเจี้ยนจึงร้องสั่งพนักงานร้านให้นำเบียร์มาเพิ่ม และหลังจากสั่งเบียร์ไปแล้ว ก็เห็นว่าคนเมาทำหน้าสดชื่นอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง จึงอดที่จะยื่นมือไปหยิบแก้มนุ่มนิ่มของคนข้างตัวด้วยความมันเขี้ยวไม่ได้ พลางว่าให้อย่างอดใจไม่ไหว “คิดจะแกล้งฉันใช่ไหมนายน่ะ หืม”
“ม่ายช่าย สักหน่อย” คนเมาตอบยืดยานท่าทางจริงจัง ทว่าแววตากลับเผยความซุกซนออกมาอย่างสวนทางกับคำพูด ทั้งปัดมือที่จับแก้มตัวเองออก เพื่อกลบเกลื่อนด้วย
เห็นอย่างนี้หยูเจี้ยนจึงหัวเราะเสียงดังออกมาด้วยความชอบใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีผ่อนคลายให้เห็น และเมื่อพนักงานร้านนำเบียร์มาเสิร์ฟให้จึงหยิบยื่นไปให้คนข้างตัวทันทีด้วยแววตาเป็นประกายซุกซนไม่ต่างกัน
