บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 เด็กหนุ่มและชายแก่!!

ไม่นานหลังที่ออกมาจากห้องโถง เราทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานหนึ่ง มันคล้ายกับประตูห้องเก็บของที่เห็นได้ทั่วไป ทำจากไม้เก่าๆ ที่ไม่น่าเปิดสักเท่าไร เพราะจะคิดยังไงมันก็น่าจะมีตัวประหลาดอยู่ในนั้นแน่ๆ จังหวะนั้นชายแก่ก็ใช้มือจับห่วงประตูพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างและประตูก็เปิดออก ภายในห้องมีเตียงเดี่ยวอยู่มุมห้อง มีช่องลมที่เป็นลูกกรงแทนหน้าต่าง อีกด้านของผนังมีหุ่นไม้รูปคน พร้อมกับชั้นไม้ที่ใช้วางอาวุธ ตรงกลางห้องมีโต๊ะที่สามารถนั่งทานอาหารกับเก้าอี้อีกสองตัวและเชิงเทียนที่วางสิ่งที่คล้ายกับก้อนหินอยู่ด้านบน

“เข้ามาก่อนสิ! เข้าไปนั่งก่อนแล้วข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง”

ผมไม่ได้ตอบรับอะไร แต่ก็เดินเข้าไปและนั่งลงโดยที่ชายแก่ก็นั่งอีกฝั่งหนึ่ง มีแสงสว่างสีเหลืองอร่ามเหมือนดังเปลวเทียนออกมาจากสิ่งที่ดูเหมือนก้อนหินที่วางอยู่บนเชิงเทียนนั้น

ปัง!!

“เอ๋!” ผมตกใจเสียงประตูที่ดังตามมาหลังจากที่เราทั้งคู้ก้าวเข้ามาใจห้องได้ไม่นาน จนทำให้ผมได้สติหลังจากที่ออกมาจากห้องโถง ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองตรงไปชายแก่ตรงๆ เป็นครั้งแรก

แสงที่ได้จากหินกระทบลงบนใบหน้าที่ซีดเซียว ไม่มีเนื้อแก้มขวาอยู่บนใบหน้าดูคล้ายกับคนตาย ทำให้ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“อ่ะๆๆ หน้าของท่าน!?”

“ข้าขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ตัวข้ามีชื่อว่า ‘โซบ๊อป’ แต่เดิมเคยเป็นทาสของมนุษย์ผู้ใช้เวทอัญเชิญปีศาจ ต่อมานายของข้าถูกปีศาจอีกตนทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ข้าก็เลยแย่งชิงนามและวิชาเวทมนต์โดยการกลืนกินวิญญาณของเขาเสีย หนึ่งในนั้นคือทักษะ [อ่านใจ] ความสามารถที่ข้าได้มาจากการแย่งชิง ซึ่งสามารถอ่านใจผู้ที่มีเลเวลต่ำกว่าได้ แต่เดิมเอาไว้ใช้กำกับทาสไม่ให้ทรยศได้ และแน่นอนว่าข้าจะไม่กินท่านหรอกนะ เพราะข้าก็ไม่ได้ชอบวิญญาณสักเท่าไร ที่ข้ากินไปเพราะต้องการเป็นอิสระเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องอายุก็ 139 ปี”

ผมตกใจอยู่ครู่หนึ่งเพราะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับชายแก่ที่มีใบหน้าคล้ายซากศพ แต่เมื่อได้ยินคำแนะนำตัวที่ยาวจนเหมือนคำอธิบายโดยย่อของชีวิตที่ผ่านมา ผมจึงได้ใจเย็นลงจนสามารถที่จะตอบกลับไปได้ด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะปกติ

“เอิ่ม...ผมชื่อซาชิครับ แค่ซาชิเท่านั้น อายุ 17 ปี ผมขอเรียกท่านว่า ‘ปู่บ๊อป’ ได้ไหมครับ? พอดีผมยังไม่ค่อยชินกับวิธีพูดของโลกนี้ แล้วก็ให้เรียกผมว่าซาชิก็พอ”

“ได้สิ เรียกได้ตามใจของท่านเลย แล้วข้าจะเรียกท่านว่า ‘ท่านซาชิ’ ก็แล้วกัน”

“แฮะๆ เอาแบบนั้นก็ได้ครับ ยังไงช่วยเล่าเรื่องต่างให้ผมฟังได้ไหมครับ บอกตามตรงว่าผมเองก็ไม่ได้ชอบใจนักที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่จะให้ตายไปเปล่าๆ ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน”

“นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลยขอรับ”

“ที่นี่...คือที่ไหนเหรอครับ? ผมมาที่นี่ได้ยังไง?”

“ที่นี่คือปราสาทของท่านจอมมารสกาเล็ต ซาตาน จอมมารคนที่ 44 เป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของพวกเราเหล่าปีศาจ ท่านปกครองอาณาจักรแห่งความมืดซึ่งเป็นหนึ่งในสี่อาณาจักรใหญ่”

“แล้วเรื่องที่ผมเป็นปีศาจล่ะครับ? ช่วยอธิบายผมที”

“เรื่องนั้น...เพราะว่าเวทอัญเชิญที่ข้าใช้นั้นเป็นเวทอัญเชิญปีศาจระดับสูง โดยกำหนดสิ่งที่อัญเชิญออกมาเป็นปีศาจที่แข็งแกร่ง ซึ่งพวกเรามุ่งหวังไว้ว่าจะให้ผู้ที่ถูกอัญเชิญมาเป็นผู้กล้าแห่งอาณาจักรมืดแห่งนี้ ตัวข้าเองก็ยังสงสัยว่าข้าผิดพลาดหรือไม่ แต่กลิ่นไอที่อยู่ในตัวท่านเป็นของปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย ท่านอาจจะเป็นลูกครึ่งปีศาจหรือไม่ก็เป็นปีศาจระดับสูงกลับชาติมาเกิดก็เป็นได้”

“เอ๋! เอาจริงๆ ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทั้งที่ผมก็เกิดบนโลกที่มีแต่มนุษย์แท้ๆ แล้ว...ที่นี่มีปีศาจแบบไหนบ้างละครับ?”

“ถ้าถามว่าแบบไหนบ้าง? ข้าเองก็ตอบท่านไม่ได้หรอกขอรับ เพราะมีอยู่หลากหลายเหลือเกิน ปีศาจนั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นเอง การจะมากำหนดว่ามีแบบไหนช่างยากเสียจริงขอรับ”

“เกิดขึ้นเอง...โอปปาติกะเหรอ?”

“ท่านว่าอะไรหรือขอรับ?”

“ไม่!...ไม่มีอะไรครับ” โอปปาติกะ เป็นรูปแบบการกำเนิด 1 ใน 3 แบบตามคำสอนของศาสนาพุทธ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นเองโดยที่ไม่ได้ออกจากไข่ หรือการตั้งท้อง ไม่มีพ่อแม่ แถมยังโตได้ในทันที ซึ่งสำหรับผมแล้ว การที่ได้มาเจอเหล่าโอปปาติกะนั้น...เป็นเรื่องแทบจะเหลือเชื่อ

“ทางอาณาจักรของพวกเรานั้นมีขุมกำลังของอาณาจักรอยู่ขอรับ เรียกว่า ‘สี่เผ่าปีศาจ’ โดยมีเผ่าแวมไพร์ เผ่าอันเดด เผ่าออร์ค และเผ่าอสูร ซึ่งทั้งสี่เผ่าจะมีการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมเข้าเผ่าของตนเอง…ซึ่งหากท่านอยากให้จำแนกว่ามีแบบไหนบ้าง การแบ่ง็นเผ่า อาจจะง่ายที่สุดที่จะอธิบายท่านแล้วขอรับ และท่านเองก็อาจจะต้องเข้าเผ่าใดเผ่าหนึ่งเช่นกันขอรับ”

“แล้ว...ถ้าผมไม่เข้า จะมีผลเสียอะไรไหมครับ? แบบว่า การที่ผมจะไปอยู่กลางดงของปีศาจตอนนี้ ผมบอกตรงๆ ว่าผมสงบใจไม่ได้จริงๆ”

“ถ้าหากไม่เข้า ท่านอาจจะได้รับความลำบากในยามใช้ชีวิตขอรับ การอยู่เป็นกลุ่มอย่างน้อยก็ยังสามารถยังชีพได้ด้วยการเป็นกองกำลังให้กับเผ่านั้นๆ แต่หากท่านไม่เข้าเผ่าใดเลย ท่านจะต้องใช้ชีวิตให้ได้ด้วยกำลังของท่านเอง การล่ามอนสเตอร์ การเก็บผลไม้ การหาเหรียญเงิน ไม่ว่าจะทำสิ่งใดย่อมต้องออกนอกกำแพงเมือง เลเวลต่ำแบบท่านอาจจะไม่พ้นช่วงดวงตะวันขึ้นสูงสุดด้วยซ้ำ”

“เหมือนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารและก็มีอาหาร 3 มื้อให้สินะ แล้วอาณาจักรที่เหลืออีก 3 อาณาจักรละครับ?”

“นอกจากอาณาจักรนี้...ก็มีอาณาจักรแห่งแสงเป็นอาณาจักรของเหล่ามนุษย์ อาณาจักรแห่งพืชพรรณเป็นอาณาจักรของเหล่าภูต และสุดท้ายอาณาจักรแห่งหินผาซึ่งเป็นอาณาจักรของเหล่าอมนุษย์ขอรับ”

“แล้วโลกนี้ละครับ มีชื่อเรียกไหม?”

“ไม่มีขอรับ! โลกใบนี้ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถสร้างตราประทับวิญญาณได้ขอรับ”

“ตราประทับ...วิญญาณ!”

“สำหรับทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ล้วนต้องทำพิธีสร้างตราประทับวิญญาณขอรับ มีเพียงมหาจักรพรรดิของโลกเท่านั้นที่มีสิทธิทำพิธีสร้างตราประทับวิญญาณให้กับโลกใบนี้ อาณาจักรต่างๆ จึงทำสงครามเพื่อชิงตำแหน่งมหาจักรพรรดิ จึงเป็นเหตุของสงครามมาหลายพันปีแล้วขอรับ”

“แล้วพิธีสร้างตราประทับวิญญาณมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ? แล้ว...พิธีที่ว่านี่มันเกี่ยวอะไรกับการตั้งชื่อเหรอครับ? เราตั้งชื่อเลยไม่ได้เหรอ?”

“พิธีสร้างตราประทับวิญญาณสำคัญยิ่งขอรับ หากไม่ได้ทำพิธีสร้างตราประทับวิญญาณ แม้ตัวเรานั้นมีทักษะที่ล้ำค่าก็ไม่อาจจะใช้งานได้ และไม่อาจพัฒนาให้มีเลเวลที่สูงขึ้นได้อีกด้วย เป็นเหมือนดั่งวิธีปลดล๊อกวิญญาณของคนผู้นั้น แต่การที่จะทำพิธีสร้างตราประทับวิญญาณนั้นจำเป็นต้องใช้พลังเวทจำนวนมาก ทำให้พิธีสร้างตราประทับวิญญาณไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองขอรับ และระหว่างที่ทำพิธีนั้นเราจะจารึกชื่อลงในตราประทับด้วย ทำให้สิ่งมีชีวิตได้รับชื่อมาด้วยในเวลาเดียวกัน และ...ถ้าหากมีการตั้งชื่อโดยไม่ได้ทำพิธี จะทำให้ผู้ที่เอ่ยคำต้องเสียพลังเวทไปด้วยขอรับ”

“เออ...ผมว่ามันแปลกนะ แค่เรียกชื่อก็เสียพลังเวทแล้ว แต่มันก็ไม่น่าจะมีคนที่ไม่มีชื่อหรอกเนาะ..ใช่ไหมปู่บ๊อป”

“สำหรับสิ่งมีชีวิตทั่วไปที่กำเนิดจากสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ผู้เป็นพ่อแม่จะทำพิธีสร้างตราประทับวิญญาณให้ตั้งแต่แรกเกิด หากเป็นมนุษย์นั้นจะให้ทางโบสถ์ทำพิธีให้ แต่สำหรับปีศาจที่ไม่มีผู้ให้กำเนิดแล้ว...และยิ่งกับผู้ที่มีทักษะที่ไม่น่าจะใช้งานได้ การจะเสียพลังเวทมากมายไปกับการทำพิธีแบบนี้ มันก็เป็นแค่เรื่องน่ารำคาญในสายตาของปีศาจเท่านั้นขอรับ”

“แล้วปีศาจที่ไม่มีชื่อจะเป็นยังไงเหรอครับ?!”

“ไม่อาจคาดเดาได้ขอรับ ชีวิตที่ไม่อาจใช้ทักษะและไม่สามารถที่จะพัฒนาเลเวลได้ สำหรับดินแดนแห่งความมืดนั้นช่างยากเย็นขอรับ”

ผมอึ้งไปกับคำพูดของปู่บ๊อป พร้อมกับที่นึกถึงปีศาจที่อดตายตามท้องถนนเพราะไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูแม้กระทั่งตัวเองได้ เพราะแบบนี้ปู่บ๊อปถึงได้แนะนำให้ผมเข้าเผ่าใดเผ่านึงสินะ

“แล้วเรื่องที่จะต่อสู้กับมนุษย์ละครับ เป็น...อาณาจักรแห่งแสงหรือเปล่า? ทำไมถึง...”

“เพราะสันตะปาปา ผู้นำของโบสถ์ และที่ปรึกษาของกษัตริย์ของอาณาจักรแห่งแสง ตัวเขานั้นอ้างว่าเป็นบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ว่าตนได้รับคำสั่งให้ขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิของโลก และกำจัดสิ่งที่เรียกว่าปีศาจซึ่งเป็นสิ่งชั่วร้าย มนุษย์นั้นจะมีเวทแสงที่เป็นจุดอ่อนของเผ่าปีศาจ และปีศาจเองก็ไม่สามารถทำสงครามนอกอาณาจักรได้ จึงกลายเป็นการคุกคามผ่ายเดียว และตอนนี้อาณาจักรแห่งความมืดถูกอาณาจักรแห่งแสงโจมตีอย่างหนักทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง จนกระทั่งจอมมารตัดสินใจอัญเชิญผู้กล้า โดยหวังว่าจะมีพลังที่กล้าแกร่งทัดเทียมกับอาณาจักรแห่งแสง แต่...”

“ก็ได้ผมมา! ถ้าจะให้ผมออกไปสู้เลยคงเป็นไปไม่ได้ เพราะผมใช้อาวุธไม่เป็น แต่จอมมารให้เวลาผมเจ็ดวัน ผมคงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนถูกปล่อยเกาะสินะ”

“นี่ท่านดูไม่ตกใจเลยหรือ? ท่านดูสงบผิดจากที่ข้าคิดไว้เลยขอรับ”

“ตกใจสิครับ แต่ก็พอจะสงบใจลงได้บ้างแล้ว อาจเป็นเพราะเป็นเรื่องที่ผมคุ้นเคย แต่ก็ต่างจากที่ผมคิดไว้แบบฟ้ากับเหวเลยน่ะ” แน่ละสิ ในนิยายที่เคยอ่านไม่เคยเห็นจอมมารอัญเชิญผู้กล้านี่น่า

“นั่นสินะ เนื้อเรื่องที่อยู่ในหัวท่านก็สนุกดี ท่านคงได้อ่านหนังสือต่างๆ นาๆ มามากมาย แต่สิ่งที่ท่านอ่านนั้น มันเป็นแค่มุมๆ เดียวเท่านั้น

ปีศาจอย่างพวกข้านั้นเกิดมาจากบาปของสิ่งมีชีวิตบนพื้นพิภพ ไหลรวม กลั่นร่าง สร้างตัวตน และอยู่อาศัยอย่างเช่นคนธรรมดา ถ้าท่านออกไปข้างนอกท่านก็จะเห็นท้องฟ้าสีม่วงเพราะไอปีศาจที่ลอยออกมาจากพื้นแผ่นดิน ไอปีศาจเหล่านั้นทำให้พวกข้าใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ในทางกลับกันหากพวกข้าต้องแสงอาทิตย์ พวกข้าก็จะอ่อนแออย่างมาก”

สายตาที่มองมาที่ผมนั้นดูเศร้า แม้รูปร่างจะน่าเกลียด แต่ก็รู้สึกอบอุ่นราวกับได้อยู่ใกล้ๆ คนแก่ใจดีคนหนึ่งเลย

“ท่านจะต่อสู้เพื่อปกป้องพวกเราชาวปีศาจได้หรือไม่ขอรับ? ข้าไม่ต้องการให้ท่านไปทำสงครามเพื่อยึดครองแผ่นดินอื่นเพราะมันมากเกินไป ข้าจึงขอเพียงแค่ให้ท่านช่วยเหลือพวกข้าเท่านั้น...นะขอรับ?”

“...คือว่า” การจะปกป้องโดยการไม่ทำสงคราม เรื่องแบบนั้นมันยากมากสำหรับผมในตอนนี้ ผมยังไม่รู้จักดินแดนแห่งนี้เลย ถ้าหากจะเข้าข้างปีศาจและเดินหน้าฆ่าพันเหล่ามนุษย์เพียงเพราะเชื่อคำขอร้องของคนที่เพิ่งจะเห็นหน้ากันวันแรก มันจะดูไร้เหตุผมเกินไปหรือเปล่า?

“ท่านซาชิขอรับ”

ด้วยสายตาที่อ้อนวอนของปู่บ๊อป ผมมองหน้ากลับและพยักหน้ารับเบาๆ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องต่างๆ เท่าไรก็เถอะ

“ดีขอรับ! ถ้าอย่างนั้น! นี่ก็เป็นอย่างสุดท้ายของวันนี้”

ปู่บ๊อปยื่นแหวนวงหนึ่งมาให้ เป็นแหวนที่ทำจากโลหะที่ไม่มีลวดลาย แต่กลับมีอัญมณีสีใสอยู่ตรงกลาง พร้อมทั้งไอสีดำลอยออกมาดูน่ากลัว

“นี่เป็น [แหวนอำนวยพร] ปีศาจที่ทำพิธีสร้างตราประทับวิญญาณแล้ว จะได้รับมันขอรับ ตัวแหวนมีความสามารถในการสร้างเวทมนต์ตามจินตนาการของผู้ครอบครอง แต่สิ่งที่ได้มานั้นจะอ่อนแอ แต่ก็ใช้เพื่อต่อสู้ในการเพิ่มเลเวลช่วงแรกๆ ได้ จงเลือกเวทมนต์ให้ดีละ”

“เออ...ขอบคุณนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอตัวก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาหาท่านใหม่ ส่วนเรื่องอาหารกับเครื่องแต่งกาย ท่านไม่ต้องห่วง จะมีสาวใช้เอามาให้ท่านเอง และเรื่องสุดท้าย ประตูห้องของท่านเท่านั้นที่สามารถเปิดได้เพราะข้าได้ทำการเปลี่ยนผู้ถือครองให้แล้ว เช่นฉะนั้น ไม่ต้องกังวลพักผ่อนให้สบายนะขอรับ”

“ต้องขอบคุณมากเลยครับ”

ผมยิ้มให้พร้อมกับประตูที่ปิดลง ผมคงต้องตัดสินใจสินะว่าจะทำอย่างไร เพราะการที่ต้องถือดาบต่อสู้กับมนุษย์แล้ว มันก็ยากจริงๆ นั่นแหละ แย่แฮะ! ผมล้มตัวนอนบนเตียงและครุ่นคิดเรื่องที่จะต้องต่อสู้กับมนุษย์ พร้อมกับหยิบแหวนมาดู และหลับไป ทั้งๆ อย่างนั้น วันนี้เหนื่อยชะมัด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel