ตอนที่หนึ่ง คุณชายจากเมืองหลวง2
ตอนที่หนึ่ง คุณชายจากเมืองหลวง
“เจ้า...รู้หรือไม่ว่า...พ่อของเจ้า...พาผู้ใดมา” มือของหยวนหนิงจับไหล่ของเพื่อนเพื่อพยุงตนเองพลางพยายามเอ่ยถามทั้งที่ยังหอบ
“คนเมื่อครู่หรือ?” ไป๋ลี่ซือคาดเดา
“ใช่ คุณชายผู้หล่อเหลาผู้นั้น” แววตาระยิบระยับของหยวนหนิงบ่งบอกว่านางอยากพูดออกมาเต็มแก่แล้ว ไป๋ลี่ซือจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
“เจ้าจะบอกก็บอกออกมา ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”
"แค่เอาดอกไม้พวกนั้นไปปักส่งๆ ในแจกัน ไม่เห็นจะสำคัญ” หยวนหนิงว่าเข้าให้ทั้งยังลุ้นให้เพื่อนสาวเอ่ยถามสักที
แต่ไป๋ลี่ซือกลับแสร้งเหลียวมองเด็กๆ ที่วิ่งเล่นท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อน แล้วยังหันไปมองชาวบ้านหญิงหลายคนที่กำลังตากถั่ว เห็ด และสมุนไพรสำหรับเก็บไว้กินยามหิมะขาวปกคลุมในอีกไม่นาน
“ซือซือ เจ้าก็แสดงว่าสนใจสักหน่อยมิได้หรืออย่างไร” หยวนหนิงหน้าเง้าแต่ก็รีบเอ่ยเล่าด้วยเกรงว่าเพื่อนสาวจะเดินหนี
“ข้าได้ยินว่าเขาเป็นคุณชายตระกูลสูงจากเมืองหลวงเชียวนะ แต่ด้วยเหตุบางอย่างจึงหลบมาพักรักษากายอยู่ที่นี่”
เป็นธรรมดาที่เมื่อมีขบวนรถม้าหรูหรา เข้ามาในหมู่บ้านอันเงียบสงบย่อมเป็นที่สนใจ
“รักษากายหรือรักษาใจ?” ไป๋ลี่ซือคล้ายพูดกับตัวเอง ยกยิ้มมุมปากพลางหมุนดอกไม้ในมือเล่น
“นั่นสิ ข้าเองก็อยากรู้ เมื่อครู่ข้าได้ยินคนที่พาเขามาส่งเอ่ยบอกให้พ่อของเจ้าช่วยดูแลเขาให้ดี ซือซือ เป็นโอกาสอันดีแล้ว เจ้าช่วยสืบให้หน่อยสิว่าเขามีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือไม่?”
“คุณชายสูงส่งเช่นนั้น ต่อให้มีหรือไม่มี ก็ไม่เหลือบแลหญิงสาวชนบทอย่างพวกเราหรอก หนิงหนิง เจ้าอย่าคิดฝันไป” คำกล่าวนี้คล้ายไป๋ลี่ซือจะบอกกับตนเองด้วยเช่นกัน
“จริงด้วย ข้าก็แค่เผลอไผลหลงในรูปกายของเขาชั่วขณะเท่านั้น ไม่ได้ล่ะ ข้าไม่ควรนอกใจพี่เฉียว” คำพูดนี้ของหยวนหนิงย่อมหมายถึง ‘ถังเฉียว’ คู่หมายของตนเองซึ่งเติบโตมาด้วยกัน
“ใช่ๆๆ หากเจ้ามัววิ่งตามชายอื่น ข้าจะฟ้องพี่เฉียว” ไป๋ลี่ซือได้ทีจึงแสร้งข่มขู่
“อย่านะ ซือซือ ข้าไม่กล้าแล้ว” หยวนหนิงย่อมแสร้งอ่อนข้อก่อนทั้งสองสาวจะพากันหัวเราะเสียงสดใส
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะร่าที่ประสานกันดังไกลมาจนถึงชายสองคนที่กำลังเดิน
คุณชายที่เพิ่งมาใหม่หันมองหาต้นเสียง ครั้นเห็นเป็นหญิงสาวสองคนซึ่งเปิดปากกว้างส่งเสียงดังอย่างไม่รักษากิริยาจึงส่งสายตาไม่ชอบใจแล้วหันหลังกลับทันที
ส่วนผู้ใหญ่บ้านไป๋ย่อมมองสตรีทั้งสองที่กำลังหยอกล้อเล่นกันภายใต้แสงแดดที่อาบไล้ด้วยรอยยิ้มเอ็นดูในความเปล่งปลั่งราวดอกไม้ป่า
พวกนางต่างเติบโตและเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่พอรู้ความ เป็นธรรมดาที่จะแสดงความสนิทสนมโดยไม่สนใจสายตาผู้อื่น
อีกทั้งหญิงชาวบ้านเช่นพวกนางย่อมไม่ใส่ใจมารยาทอย่างเช่นผู้ดีสูงศักดิ์ซึ่งจำเป็นต้องวางท่ารักษากิริยา
ไป๋ลี่ซือทอดเวลาเล็กน้อยจึงค่อยกลับเข้าบ้านเพื่อจัดเตรียมอาหารเย็น เมื่อเสร็จแล้วจึงเตรียมตัวกินอาหารโดยพร้อมหน้าพร้อมตา
และบนโต๊ะอาหารนั้นเอง ใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาได้ต้องพึ่งพาการแต่งเติมกำลังแผ่ไอเย็นออกมาจากดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทที่มองตรงด้วยแววเหินห่าง
คิ้วเข้มของเขาขมวดต่ำอย่างเคร่งขรึม เพิ่มน้ำหนักให้บรรยากาศรอบกายดูเงียบงันไร้ความอบอุ่น
ริมฝีปากขบเม้มแน่นของแขกแปลกหน้าซึ่งนอกจากหน้าตาที่ดูดีแล้ว ท่าทางกลับไม่น่าเข้าใกล้เริ่มทำให้ไป๋ลี่ซือเริ่มเกิดความไม่ชอบหน้า
เหตุใดต้องแสดงท่าทางเย็นชาเพียงนี้
“มาแล้วหรือ ซือซือ พ่อขอแนะนำให้รู้จัก ท่านนี้คือคุณชายเซียง ‘เซียงซิ่นหลิง’ ซึ่งเดินทางมาจากเมืองหลวงนับจากวันนี้เขาจะมาอยู่ที่เรือนริมน้ำด้านหลังบ้านของเราสักช่วงเวลาหนึ่ง”
ไป๋ลี่ซือยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอบกายทำความเคารพตามมารยาท
“คุณชายเซียง” ริมฝีปากของหญิงสาวแต้มรอยยิ้มเล็กน้อยสื่อถึงความเป็นมิตร
แต่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองเพียงจ้องชามข้าวต้มตรงหน้าราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนี้น่าสนใจไปมากกว่านั้น
กระทั่งผู้ใหญ่บ้านไป๋กระแอมไอแล้วผายมือไปทางบุตรสาวเพื่อเอ่ยแนะนำ
“เอ่อ...คุณชายเซียง นางคือบุตรสาวคนเดียวของข้า ‘ไป๋ลี่ซือ’ แม้นางจะชอบเล่นซน ไม่ใคร่ชอบทำงานบ้าน แต่ฝีมือทำอาหารของนางนับว่าพอใช้ได้ เรื่องข้าวปลาอาหารอย่างไรก็คงต้องมอบหมายให้นาง”
ยังคงไม่มีคำตอบ มีเพียงการพยักหน้าเล็กน้อยซึ่งบ่งบอกการได้ยิน แม้แต่สายตาก็ยังคงจดจ้องอยู่ที่เดิม
หญิงสาวมองสบตากับบิดาซึ่งมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วจึงก้มหน้าลงเล็กน้อย ค่อยๆ เดินไปนั่งตักข้าวต้มลงชามของตนเองด้วยมือที่สั่นน้อยๆ
เชอะ คิดว่าสูงส่งนักหรืออย่างไร?
แค่ทักทายยังทำไม่เป็น
