5 หนีจั๊งใด๋ก็ไม่พ้น
หลายวันมานี้เซบัสเตียนพยายามหนี
หนีจากอะไรน่ะหรือ?
ก็... หนีจากเจ้าคนตัวเล็กนุ่มนิ่ม ข้างบ้านนั่นไง
เขาละอายแก่ใจ ที่เผลอคิดอัปปรีย์กับเพื่อนสนิทวัยเด็ก และมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว!
“เชี่ย…”
เซบสบถเสียงต่ำ สูดลมหายใจแรง ๆ ทุกครั้งที่เผลอคิดถึงเรื่องนั้นในหัว
พยายามเลี่ยงการเจอหน้าทุกวิถีทาง ไปส่วนไหนของคณะก็แอบเดินอ้อม พอเห็นเอลโผล่มาในสายตาปุ๊บก็รีบหันหลังปั๊บ
กลับบ้านเขาก็ไม่ยอมกลับง่ายๆ หนีไปสังสรรค์กับพวกเพื่อน ๆ กินเหล้าตามผับ รอจนดึกดื่นค่อยคลานกลับมานอน แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็มักจะบอกทุกเช้าว่าเอลมาหา
ทุกครั้งที่ได้ยิน เซบจะแค่นหัวเราะ แล้วหันหนีเพื่อซ่อนสีหน้ากระอักกระอ่วนเอาไว้
จนกระทั่งวันนี้อาการของเขาเริ่มหนักขึ้นกว่าทุกวันที่ผ่านมา
เสียงเบสกระแทกจังหวะหนักหน่วง เสียงกีตาร์ไฟฟ้าพล่านไปทั่วทั้งผับ
แสงไฟนีออนสาดวูบวาบบนใบหน้าของเหล่านักท่องราตรี แต่ชายหนุ่มคนหนึ่งกลับเหมือนอยู่ในโลกอีกใบ
เซบัสเตียนนั่งเอนหลังบนโซฟาหนังสีเข้ม มือหนาหยิบแก้วเหล้าขึ้นจรดริมฝีปาก แต่กลับไม่ยอมยกกระดกดื่มเสียที
สายตาคมเหม่อมองไปข้างหน้า ผ่านฟลอร์เต้นรำที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ผ่านเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และบทสนทนาที่พล่านอยู่รอบตัว
นิ่งค้างนานจนเพื่อนข้าง ๆ สังเกตเห็นความผิดปกติ
“เฮ้ย! มึงเป็นไรวะ?”
ดีแลนถามพลางเอื้อมมือสะกิด
เซบสะดุ้งเล็กน้อย
“หือ? เปล่า”
เรนที่นั่งอีกฝั่งหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยขึ้น
“ช่วงนี้มึงแปลก ๆ นะเว้ย”
เซบเลิกคิ้ว
“แปลกยังไง?”
เรนหัวเราะขำ พลางหยิบแก้วเหล้าขึ้นดื่มแล้วว่า
“ก็แบบ… มึงชอบเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อีกอย่างนะ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมึงหิ้วสาวกลับเลยสักคน”
เซบหันขวับไปมองนิด ๆ ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ แต่เรนยังพูดต่อ
“ผู้หญิงส่งสายตาทอดสะพานให้มึง จนตาแทบจะถลนออกมาแล้วน่ะ เห็นไหม?”
เรนพยักพเยิดไปทางโต๊ะข้าง ๆ ที่มีสาวสวยในชุดเดรสสั้นรัดรูปกำลังยิ้มหวาน ส่งสายตาเจือยั่วยวนมาให้
เซบเหลือบตามอง แต่กลับแค่นหัวเราะในลำคอ
“น่ารำคาญ…”
เขาพึมพำเสียงแผ่ว ถอนหายใจแรง ๆ แล้วในที่สุดก็กระดกเหล้าจนหมดแก้ว ลำคอแกร่งขยับตามแรงกลืน ความขมเผ็ดแผดเผาลำคอ แต่ไม่ได้ดับความร้อนวูบวาบในอกได้เลย
เซบวางแก้วลงกระแทกเสียงดัง จนเพื่อนทั้งโต๊ะหันมอง
“เฮ้ย ไอ้เซบ…”
ดีแลนเรียก แต่ไม่ทันได้ห้าม ร่างสูงพลันลุกพรวดขึ้น
กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ โชยผ่านเพื่อน ๆ ไปข้างโต๊ะ เขาเดินออกจากผับโดยไม่หันมามอง
แม้จะมีเสียงเรียกตามหลัง เสียงหัวเราะขำขัน หรือแม้กระทั่งเสียงเรนตะโกนว่า
“เฮ้ย! จะไปไหนวะไอ้ห่า!”
เซบัสเตียนเดินฝ่าฝูงคนออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใด
ความคิด ความรู้สึก ความสับสน วนเวียนอยู่ในหัวจนไม่เหลือที่ว่างให้ความสนุกอีกต่อไป
และในความมืดของค่ำคืน เสียงเดียวที่ดังชัดเจน คือเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
เซบขับรถกลับมาถึงบ้าน เขาเหนื่อยและเพลียจัดจากการนอนหลับไม่เต็มตื่น เพราะเอลมักจะเข้าไปหลอกหลอนในฝันทุกครั้งที่เขาเข้าสู่ห้วงนิทรา
ด้วยความขี้เกียจ เซบจึงถอดเสื้อช็อปเหวี่ยงไว้กับโซฟา กางเกงยีนส์ถูกรูดออกจนเหลือเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ลมหายใจพ่นยาว ขณะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
แต่ทันทีที่ร่างสูงใหญ่ทิ้งน้ำหนักลงไป...
ตึง!
“อุ๊ย!”
เสียงแผ่วเบาจากใต้ผ้าห่มทำเอาเซบสะดุ้งเฮือก รีบเด้งตัวขึ้นมาโวยวาย
“เหี้ย!! อะไรเนี่ย!?”
มือสั่น ๆ รีบกดเปิดสวิตช์โคมไฟหัวเตียง แสงนวลนุ่มสาดส่องไปทั่วห้อง
เด็กหนุ่มร่างเล็กผิวขาวจัด ดวงตากลมใสงัวเงีย ผมสีเข้มยุ่งเหยิง เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งลู่แนบไหล่จนเกือบหลุด
“เอล!?” เสียงเซบแทบแตกพร่า “มึงเข้ามาในห้องกูได้ไงวะ!?”
เอลยิ้มเขิน ๆ ขยี้ตา
“ขอแม่นายน่ะ เรามีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย แต่เห็นนายไม่กลับมาหลายวัน คืนนี้เลยขอนอนรอที่นี่”
เซบกัดฟันกรอด
“มึงนี่มัน…”
แต่ก่อนจะได้พูดจบ เขาก็เหลือบไปเห็นสายตาเอลที่ลอบมองอะไรบางอย่างด้านล่าง ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ใบหน้าค่อย ๆ ขึ้นสี
เซบก้มมองตาม
โอ้… ไม่นะ…
ไอ้นั่นของเขาตุงเต็มบ็อกเซอร์
เซบัสเตียนรีบยกมือขึ้นกุมเป้าแทบไม่ทัน หน้าแดงซ่าน
“ไอ้ทะลึ่ง!! มองเหี้ยไรของมึง!?”
เอลยู่ปาก ยิ้มแหย ๆ
“ก็…เราสงสัย ทำไมของเซบถึงดูใหญ่กว่าของเราจัง?”
เสียงที่พูดเบาจนแทบกลายเป็นกระซิบ แต่กลับดังสนั่นในหัวใจของเซบัสเตียน จนเขาอยากจะมุดพื้นหนี
“มึง… ออกไปเลย!”
เซบคว้าแขนเอล ลากพรวดออกจากห้อง ไม่สนเสียงออดอ้อนที่ตามมา
“เดี๋ยวสิ… เรามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยจริง ๆ”
“พรุ่งนี้เช้า! ที่คณะ! เข้าใจไหม!!”
เซบปิดประตูบ้านดังปัง ก่อนทิ้งตัวพิงกับแผ่นไม้ มือยกขึ้นกุมหน้าอกที่กำลังเต้นแรง
‘ทำไมกูต้องใจเต้นขนาดนี้วะ?’
เขายืดตัวมองลอดหน้าต่างออกไป เห็นเอลเดินข้ามรั้วกลับบ้านจนสุดสายตา
แผ่นหลังเล็ก ๆ นั่น ร่างกายที่ดูบอบบางนั้น ทำไมมันถึงดึงดูดสายตาเขาได้ขนาดนี้?
ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งไปไกลกว่านั้น เซบก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เขาก้มมองตัวเองอีกที ขนาดเป้าปกติก็ใหญ่พออยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันตุงมากขึ้นกว่าเดิม
“อีกแล้วสินะ…”
เสียงพึมพำต่ำ ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
ไม่มีทางเลือกอื่นให้เขา นอกเสียอยากเดินกลับขึ้นไปบนห้อง แล้วปลดปล่อยความว้าวุ่นที่ไหลพล่านในร่างกายออกมาให้หมด ไม่เช่นนั้นคืนนี้ก็คงไม่ได้หลับไม่ได้นอนอีกเหมือนเดิม
ร่างหนาทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียง เหยียดขาข้างหนึ่งยาวไปกับพื้น อีกข้างตั้งชัน
มือขวาสัมผัสลูบไล้ของรักของหวงนอกร่มผ้า เพียงแตะเบา ๆ ความร้อนพลันแผ่ซ่านมากระทบฝ่ามือ
เซบพยายามจะยับยั้งตัวเอง ไม่ให้เตลิดไปตามพายุอารมณ์ที่กำลังโหมกระหน่ำ
ทว่ายิ่งเขาอดทนต่อต้านมากเท่าไหร่ ความปวดหนึบกลับยิ่งโจมตีไปทั้งร่างกาย
โดยเฉพาะส่วนนั้น มันแทบจะระเบิดเสียให้ได้ จำต้องก้มหน้ารับความพ่ายแพ้อีกครั้ง
เซบใช้มือซ้ายดึงขอบบ๊อกเซอร์ให้ร่นลง ความเป็นชายดีดผึ่งออกมาท้าทายอุณหภูมิเย็นสบายภายในห้อง
เขาใช้นิ้วเรียวไล้วนส่วนปลายหัวเห็ด ซึ่งตอนนี้กำลังมีน้ำใสไหลซึมออกมา
แหงนศีรษะพลางหลับตาจินตนาการถึงลิ้นเล็ก ๆ ที่แลบออกมาจากริมฝีปากอ่อนสี ซึ่งมักยิ้มละมุนให้เขาทุกครั้งที่พบหน้า
กลีบปากนั้นจะนุ่มนิ่มขนาดไหน ในโพรงปากนั้นจะอุ่นชื้นเพียงใด แค่ภาพจินตนาการก็ทำให้เซบแทบคุ้มคลั่ง
ดวงตาเรียวรีสีครามที่จดจ้อง ขณะริมฝีปากนั้นโอบอุ้มตัวตนของเขา
“อ๊า...”
เสียงครางต่ำในลำคอนั้นแหบพร่า
เซบเริ่มบรรเลงบทเพลงรักกับอุ้งมือหนาของตน ภาพในหัวกำลังสร้างฉากที่เขากระทุ้งท่อนลำเข้าโพรงปากเล็ก
“เสียวฉิบ!”
เซบสบถถ้อยคำหยาบคายกับความมืดสลัว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กระทั่งเขาเดินทางมาถึงประตูสวรรค์ เสียงคำรามลั่นหลุดจากปากเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมน้ำกามมากมายไหลทะลักท่วมอุ้งมือ
ฝ่ามือหนาแบออก มองผลงานเหนียวหนืดที่เปรอะเปื้อน เขาเอียงคอ พ่นลมหายใจออกแรง ๆ
“แม่งเอ๊ย...”
ริมฝีปากหยักเม้มแน่น เสียงหัวใจดังก้องอยู่ในหัว เพราะทุกครั้งที่จินตนาการถึง มันเป็นหน้าเอลทั้งนั้น
เซบสะบัดหน้าแรง ๆ พยายามไล่ภาพนั้นออกไป แต่ยิ่งห้าม มันกลับยิ่งชัดขึ้น
สุดท้าย…
เซบัสเตียนยกมืออีกข้างขึ้นกุมหน้าผาก กัดฟันแน่น พร้อมเสียงพึมพำแผ่วเบาเหมือนยอมจำนนต่อความจริง
“นี่กู… ชอบมันเหรอวะ?”
‘บ้าน่า... จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?’
