6 ทวงคืนเพื่อนคนเก่า
แสงอาทิตย์สาดลอดซี่ใบไม้ เป็นลายริ้วบนพื้นปูนหน้าตึกเรียน
เซบัสเตียนนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้หินอ่อน มุมปากคาบไม้จิ้มฟันที่ไม่ได้ใช้อย่างจริงจัง มืออีกข้างกดสมาร์ทโฟน แต่สายตาแทบไม่ได้โฟกัส
เขาไม่ได้ฟังเสียงเพื่อนฝูงรอบตัว ไม่ได้ใส่ใจเสียงหัวเราะ ไม่แม้แต่รู้สึกถึงลมเย็น ๆ ที่พัดมาปะทะใบหน้า
ในหัวตอนนี้มีแค่ความคิดวนซ้ำ
‘กูจะทำยังไงกับมึงดีวะ? เอล’
เซบสูดลมหายใจแรง ๆ พยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติ
เมื่อคืนเขารับปากเอลว่าจะคุยกันที่คณะ แต่จนถึงตอนนี้ แค่เห็นเงาตะคุ่มของร่างเล็กนั่นเดินมาในสายตา เซบัสเตียนยังต้องรีบหมุนตัวเดินหนีไปอีกทาง ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้เห็นเขาแม้แต่เงา
ความรู้สึกที่ไม่สมควร มันกัดกินเขาจนแทบจะเป็นประสาท
“น้องรหัสมึงโคตรน่ารักเลยว่ะไอ้เซบ!”
เสียงเรนดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ เซบยังคงเหม่อ ไม่ได้ตอบอะไร จมอยู่กับความคิดตัวเอง
“นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้ชาย เสร็จกูไปละนะ บอกเลย”
เรนหัวเราะพรืด พร้อมดีแลนที่เสริมขึ้นมาทันควัน
“มึงไม่ลองเปิดประสบการณ์เสียบประตูหลังมั่งวะ? เผื่อค้นพบตัวเอง ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
โครม!
เสียงทุบกำปั้นลงบนโต๊ะดังสะเทือนจนทุกคนสะดุ้งเฮือก เรนรีบหยิบแก้วน้ำอัดลมขึ้นถือ ดีแลนยกทั้งแขนและขาขึ้นเตรียมป้องกันตัว ส่วนคนอื่นลุกพรวดเขยิบถอยไปคนละก้าว
เซบัสเตียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าคมคายเคร่งเครียด ดวงตาสีเข้มวาวโรจน์อย่างคนคุมอารมณ์แทบไม่อยู่ กวาดตามองเพื่อนตัวเองด้วยแววมุ่งร้าย
“เลิกพูดอัปปรีย์แบบนั้นซะ แล้วอย่าหาว่ากูไม่เตือน!”
เสียงทุ้มต่ำกระแทกออกมาทีละคำ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะผลุนผลันลุกเดินออกจากโต๊ะ ทิ้งเพื่อน ๆ ให้หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ไอ้เซบมันเป็นเหี้ยอะไรวะ?”
เสียงเรนบ่นไล่หลังอย่างงง ๆ สายตายังคงมองแผ่นหลังมั่นคงที่ค่อย ๆ เดินออกห่างไปอย่างไม่มีคำอธิบาย
ดีแลนหัวเราะแห้ง ๆ ขณะวางแขนและขากลับไว้ในท่าปกติ
“คงจะหวงน้องรหัสมันแหละมั้ง”
เรนเบ้ปาก
“แม่งของขึ้นอย่างกับใครไปล่อเมียมัน”
ดีแลนหัวเราะแห้ง ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ
“เออ ช่างมันเถอะ สงสัยเมนส์จะมา”
การนินทาสิ้นสุดลงแค่นั้น ก่อนหัวข้อสนทนาจะถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นตามประสาผู้ชาย
อีกมุมหนึ่ง...
ใต้ตึกคณะ เอลิออต ลี กำลังเดินทอดน่องพลางก้มมองมือถือ ใบหน้าขาวเนียนอมยิ้มบาง ๆ เหมือนกำลังอ่านกระทู้ตลกที่เพิ่งเลื่อนผ่านมาเจอ
จู่ ๆ แขนเล็กพลันถูกคว้าแน่น เอลสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ
“เซบ!?”
เจ้าของชื่อไม่พูดไม่จา ดึงข้อมือเขาลากตรงไปยังลานจอดรถ
“ดะ เดี๋ยวสิ จะพาเราไปไหน?”
เสียงใสเอ่ยถามอย่างตกใจ แต่เซบไม่ตอบอะไรทั้งนั้น มือหนายังกอบกุมข้อมือบางแน่น เหมือนกลัวอีกฝ่ายจะวิ่งหนีหายไป
เมื่อถึงบิ๊กไบค์คันใหญ่ เซบโยนหมวกกันน็อกให้เอล แล้วเอ่ยคำสั่งสั้นๆ
“กลับบ้าน”
เสียงต่ำห้วน ดวงตาคมพราวแววแปลก ๆ ที่เอลมองแล้วใจเต้นวูบอย่างไร้สาเหตุ
เซบดูดุดัน น่ากลัว ทว่าชวนหัวใจสั่นไหว ไม่รู้ว่าร่างสูงไปหงุดหงิดมาจากไหน แต่ท่าทางแบบนี้กร้าวใจสุด ๆ
เอลยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองที่เริ่มร้อนผ่าว พลางถามอ้อมแอ้ม
“กะ กลับบ้าน? แต่…”
เซบไม่รอให้พูดจบ เขานั่งคร่อมบิ๊กไบค์แล้วสะบัดหน้าหันไปออกคำสั่งอีกครั้ง เสียงดุขึ้นกว่าเดิม
“ขึ้นมา!”
เสียงนั้นเด็ดขาดจนเอลลังเลไม่ได้ มือเล็กจับชายเสื้อเชิ้ตแน่น ก่อนปีนขึ้นซ้อนท้ายอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
เซบสูดหายใจลึก กระชากคันเร่งจนเสียงเครื่องยนต์คำรามลั่นกลางลาน
กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของเอลลอยแตะจมูกเขาเหมือนแรงกระตุ้นยิ่งกว่าเหล้าชั้นดี
และในวินาทีที่วงแขนเล็กโอบรอบเอวแกร่งเพื่อพยุงตัว เซบัสเตียนรู้สึกได้ชัดเจนว่า หัวใจตัวเองกำลังเต้นแรงจนแทบทะลุอกออกมา
มันคงไม่มีทางหนีไปไหนได้อีกแล้ว และเขาต้องเคลียร์ความรู้สึกนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม
เสียงเครื่องยนต์บิ๊กไบค์กระหึ่มต่ำ สะท้อนกับผนังตึกที่เริ่มถูกเงายามบ่ายบังทับ
เซบัสเตียนเร่งรถพาเอลิออต ลี นั่งซ้อนท้ายพุ่งออกจากมหาวิทยาลัย โดยไม่เหลือบตามองผู้คนรอบข้างที่กำลังจ้องมองอย่างสงสัย
รถคันนี้ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้ขึ้นไปนั่ง แม้กระทั่งแก๊งค์เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
เซบัสเตียนเอาไว้ใช้หิ้วสาวไปขย้ำเท่านั้น ทว่าเวลานี้กลับมีหนุ่มตี๋หน้าละอ่อนโดยสารอยู่
‘กูต้องทำให้มึงกลับไปเป็นเหมือนเดิมให้ได้’
เสียงความคิดตะโกนในหัวเขา
มือหนากระชับแฮนด์แน่นจนเส้นเอ็นข้างข้อมือปูดนูน เซบสูดลมหายใจแรง ๆ ผ่านฟันกรามที่ขบกันแน่น
เอล… คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กอ้วนหัวโจก เพื่อนเล่นเกม เพื่อนซี้ที่คอยปกป้องเขาจากเด็กเกเร
เอล... ที่เคยตะโกนท้าดวลเกมเพลย์กับเขาทุกคืนยันตีสาม
เอล... ที่ตอนนี้ กลายเป็นคนตัวเล็ก ขาวจัด ใบหน้าหวานซะจนเขาแทบอยากเอาหมอนฟาดหน้าตัวเองทุกครั้ง ที่เผลอคิดเกินเลย
รูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนไปคงทำอะไรไม่ได้ แต่อุปนิสัยข้างในยังไงมันก็ต้องหลงเหลือเค้าเดิมอยู่บ้าง คนเราจะเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือได้ขนาดนี้เลยหรือไงกัน เป็นไปไม่ได้หรอก!
เซบัสเตียนตั้งใจจะทวงคืนเพื่อนเก่า เพื่อนที่มองหน้ากันกี่ครั้งก็ต้องไม่มีความรู้สึกนั้นแวบเข้ามา
เอลต้องกลับไปห้าวหาญสมชายชาตรี ไม่ใช่นุ่มนิ่มราวกับผู้หญิงแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง!!
เซบกดเบรกจอดหน้าบ้านข้าง ๆ บ้านตัวเอง มือหนายกหมวกกันน็อกขึ้น ตวัดสายตาเหลือบมองคนซ้อนท้ายที่ยังกอดเอวเขาอยู่
“ถึงแล้ว ลง”
เสียงทุ้มต่ำออกคำสั่งสั้น ๆ
เอลมองเขางง ๆ
“หือ? นายจะพาเรามาบ้านเราเองทำไม?”
เซบไม่ตอบอะไร เขาลงจากรถก่อนถอดหมวกกันน็อกออกให้คนตัวเล็ก
จากนั้นเดินลิ่วลากเอลเข้าบ้าน หยิบกุญแจใต้กระถางต้นไม้ด้านข้างปลดล็อกบานประตู เหวี่ยงเจ้าของบ้านปลิวเข้าไปข้างในอย่างไร้ความถนอม
“เฮ้! เดี๋ยวสิ เซบ! จะทำอะไรน่ะ!?”
เอลถามเสียงสูง มือเล็กเกาะแขนเขาแน่น แต่เซบแค่หันไปเหลือบตาคมใส่
“หุบปากไปเลย”
เอลชะงัก อ้าปากพะงาบ ๆ แต่ไม่กล้าตอบโต้
ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยแสงแดดอุ่น ๆ ยามบ่าย เซบัสเตียนวางถุงเกมเพลย์ลงบนเตียงแรง ๆ ดวงตาคมส่องประกายเหมือนคนมีแผน
“นั่งลง”
เขาออกคำสั่งสั้นห้วนอีกครั้ง เอลเลิกคิ้วงง ๆ ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง
เซบยกจอยเกมขึ้นมาโยนให้
“จำได้ไหม? มึงติดหนี้กูไว้”
เอลหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นรับจอย
“ติดหนี้อะไรเหรอ?”
“กูชนะมึงครั้งสุดท้ายตอนมอต้นไง จำไม่ได้เรอะไง ไอ้หมูตอน!”
เซบพูดจบก็ตัวแข็งไปชั่ววูบ รีบกัดฟันแน่น แอบสบถในใจ
“สัด!… ตอนนี้คงใช้ฉายาเก่าไม่ได้แล้ว”
แต่เอลกลับยิ้มกว้าง เอียงคอเล็ก ๆ หัวเราะร่วน
“อ๋อ… ไอ้หมูตอนเหรอ? เรียกอย่างนี้เดี๋ยวได้มีเรื่อง ไอ้กุ้งแห้ง! ฮ่า ๆ”
เซบรู้สึกเหมือนโดนมีดทิ่มหน้าอก นี่แหละมัน เอลคนเดิมที่เขารู้จัก
แม้น้ำเสียงจะละมุนกว่ามาก อีกทั้งแววตายังอ่อนโยนไม่เหมือนในอดีต แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีสัญญาณของความหวัง
“มา!”
เซบหยิบจอยเกมอีกตัวมาถือไว้ในมือตัวเอง
“วันนี้กูจะย้อนความทรงจำให้มึงเอง...”
เสียงทุ้มพึมพำในลำคอ ดวงตาคมทอแววเอาจริงแบบที่เอลเผลอชะงัก
“หือ? อะไรนะ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
เซบหันไปยักคิ้วข้างเดียว ก่อนกระตุกยิ้มมุมปาก
“วันนี้กูจะตบมึงให้ยับ!”
เขาหยิบแผ่นเกมโปรดของทั้งคู่ขึ้นมา เสียบเข้ากับเครื่องเล่นที่ต่อจอทีวีไว้เสร็จสรรพ เสียงเพลงเปิดตัวเกมดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศคุ้นเคย
เอลิออต ลี ยกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เซบัสเตียนหรี่ตาเล็กน้อย มองภาพนั้นแล้วได้แต่พึมพำในใจ
‘มึงต้องกลับมาเป็นไอ้เอลที่กูรู้จักให้ได้… ไม่งั้นกูได้บ้าตายแน่…’
