บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 ตราประทับ

พรึบ!!

พ่อมดวาเลรี่ดับเทียนลงในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะบริกรรมคาถายาวเหยียด แล้วภาพท้องฟ้า ผืนดิน ต้นไม้ ทะเลของเกาะมาทิลดาก็ปรากฏขึ้นมา ตามด้วยแผ่นดินใหญ่ของทวีปตะวันออกอันไกลโพ้น หลั่งไหลเข้าไปในดวงตาที่มีเปลวไฟลุกโชนของเมอร์เดส

“ไม่น่าเชื่อ! นักทำนายจากเซก้ามองเห็นก่อนเรา นี่เป็นภาพที่สะท้อนจากดวงจิตของผู้ที่ค้นพบสิ่งเชื่อมโยงไปถึงร่างทรง ไม่ผิดแน่ที่สิ่งนั้นจะอยู่ที่เกาะสวรรค์ แต่ดูเหมือนเทอร่าจะได้มันไป”

“ดีแล้ว...เราจะได้ไม่เสียเวลาไปเอง ท่านถนัดในการขโมยข้อมูลอยู่แล้ว จัดการซะ ระหว่างที่รอให้มันพร้อม” เฮเซลสั่งพร้อมบุ้ยหน้าไปยังเมอร์เดสที่กำลังร้องทุรุนทุราย

“อ๊าก!! อ๊าก!!”

ร่างของเมอร์เดสกระตุกเฮือก เมื่อได้รับตราประทับและแผนที่เข้าไป รอบกาย ของเขามีดวงไฟขนาดมหึมาลุกโชน

เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!

ประกายไฟพวยพุ่งทำลายเถาวัลย์ยักษ์ ผมสีบลอนด์ของชายหนุ่มเปลี่ยน เป็นสีแดงเพลิง ดวงตาแดงก่ำ จนกระทั่งเป็นอิสระจากโซ่ตรวนของจิตชั่ว ร่างของเมอร์เดสก็ตกลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้น เปลวไฟหายไปและร่างกายกลับสู่สภาพเดิม

“ข้าคิดแล้วว่าเขาเป็นคนพิเศษ” เฮเซลรำพันด้วยความพอใจ ความหวังที่จะได้ครอบครองโลกใกล้ความเป็นจริงเข้ามาทุกขณะ

“ร้ายกาจแค่ไหนก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน”

“รอให้มันฟื้นแล้วข้าจะกลับมาอีกครั้ง”เฮเซลพูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกจากห้องลับใต้ดิน

แผนที่ที่พ่อมดวาเลรี่มอบให้แก่บุคคลผู้ได้รับพลังแห่งธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น เป็นแผนที่จากดวงจิตที่มองเห็นผ่านอดีตของดวงตาสวรรค์ แม้จะเข้าใกล้ตัวอสูรสงครามแต่นั่นก็ไม่ใช่ดินแดนแห่งภูเขาไฟอยู่ดี เหตุเพราะดินแดนแห่งนั้นไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อน พวกเขาจึงต้องตามหาร่างทรงเพื่อที่จะปลุกปีศาจในตำนานและเปิดประตูสู่ดินแดนที่มันสิงสถิตอยู่ ขอเพียงควบคุมดวงจิตของมันได้ โลกทั้งใบก็จะอยู่ในกำมือ

“อ๊าก!!”

เอรอสร้องขึ้นอย่างทรมาน ความปวดร้าวแล่นปราดไปทั่วสรรพางค์กายราวกับว่าร่างของเขากำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหงื่อผุดออกมาจนชุ่มโชกแม้อากาศจะหนาวเหน็บ ฝ่ามือของเขาร้อนเป็นไฟราวกับมีใครเอาเพลิงมาสุม

ร่างสูงทรุดฮวบลงบนพื้นดินดิ้นเร่าด้วยความทุรนทุราย พลังความร้อนจากฝ่ามือกำลังเอ่อล้นและพร้อมที่จะหลั่งไหลออกมา เขาจะต้องควบคุมมันไว้ เพื่อไม่ให้พลังงานเหล่านั้นล้นออกมาทำความเดือดร้อนให้พวกมนุษย์

“กรี๊ด! ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยด้วย!”

“ตายแล้ว! เขาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ตามหมอมาเร็วเข้า!”

เสียงกรีดร้องดังระงม ก่อนที่พวกชาวบ้านจะออกมามุงดูกันหน้าสลอนและพร้อมใจกันกรูเข้ามาหวังจะช่วย เมื่อเห็นเขานอนตัวงออยู่บนพื้นดินด้วยความเจ็บปวด

“อย่าแตะต้องข้า!” เขาตวาดเสียงดัง ส่งผลให้พวกชาวบ้านสะดุ้งเฮือก !ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของบ้านเช่าซึ่งกำลังเดินหาซื้อผักไปทำอาหารเย็นที่มาเห็นเข้าพอดี

“นั่นมัน! เจ้าหนุ่มที่ชื่อเลโกลัสนี่! เป็นอะไรไปล่ะนั่น?” เคด้าถลาเข้าไป ลืมว่ามีผักและผลไม้เต็มมือ ก้มลงแตะที่ต้นแขนของชายหนุ่มก่อนจะกระเด็นออกมา

“โอ๊ย! ร้อนๆๆๆ” เคด้าร้องลั่น! มือของเขาพองเหมือนโดนไฟลวก ผักกับผลไม้เหี่ยวเฉาลงทันที เมื่อสัมผัสได้ว่าร่างที่นอนบิดตัวงออยู่นั้นร้อนเป็นไฟ เขาจึงตะโกนบอกเพื่อนบ้านให้ไปตามหมอ ส่วนตัวเองวิ่งฝ่าความชุลมุนวุ่นวายออกไปแจ้งข่าวให้แม่หนูคนนั้นทราบ

เอรอสได้ยินชื่อเลโกลัส ท่ามกลางความทรมานและสายตาของทุกคู่ที่ได้แต่ยืนดูความผิดปกติของเขาจนแข้งขาสั่น แม้ว่าจะต้องบังคับให้พลังนั้นไหลเวียนอยู่ในร่างกายจนร่างร้อนเป็นไฟ แต่เขาก็ยังพยายามมองหาพี่ชายของคาริน

คาริน...

ชื่อของเธอผุดขึ้นมาในใจ จู่ๆ ร่างกายก็คลายความอึดอัดลงได้อย่างประหลาดเมื่อนึกถึงดวงหน้าใสซื่อ รอยยิ้มอันบริสุทธิ์ ราวกับว่าเธอคือสายน้ำที่ไหลมาชโลมจิตใจของเขาให้ชุ่มฉ่ำ

มีใครบางคนกำลังทำอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงจนเขาสัมผัสได้ถึงก้อนพลังมหาศาลที่โอบอุ้มโลกใบนี้ไว้ พลังนั้นพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง จนร่างกายของเขามีปฏิกิริยาตอบโต้จนเกือบจะควบคุมไม่ได้

เลโกลัสอยู่ที่นี่แล้ว...ในที่สุดคารินก็ได้พบพี่ชายของเธอ และเขาก็จะได้ไปจากเธอเสียที

“นี่ไงคาริน...เลโกลัส!...พี่ชายของเจ้า ระวังหน่อยนะเขาบาดเจ็บอยู่”

เสียงของเคด้าดังขึ้นมา เขามองหาเลโกลัส สองครั้งแล้วที่เคด้าเรียกพี่ชายของเธอ แต่ทำไมเจ้านั่นจึงไม่ปรากฏตัวออกมาเสียที คนที่เขามองเห็นกลับเป็นร่างบอบบางที่เดินกระเผลกๆ แทรกฝูงชนเข้ามากลางวง

ผมสีน้ำตาลอ่อนเคลียไหล่ถูกรวบไปด้านหลังมัดไว้ด้วยโบว์สีชมพูสดใส ชุดที่เขาซื้อให้ซ่อนอยู่ใต้ผ้ากันเปื้อน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยหยดน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมา ริมฝีปากสั่นระริกบอกให้รู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ เธอน่าจะได้เจอเลโกลัสแล้วนี่...ทำไมจึงยังร้องไห้อยู่อีกเล่า?

หรือว่าเคด้าเข้าใจผิดว่าเขาคือเลโกลัส? คิดว่าคารินคงบอกเจ้าของบ้านเช่าว่าเขาคือพี่ชายของเธอ ตามที่เขาได้ตะเตรียมกับเธอก่อนหน้านี้

เอรอสขยับตัวเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตานานนัก ทว่าจู่ๆ เธอก็วิ่งเข้ามาหาเขาทั้งน้ำหูน้ำตาท่วม

“ไม่ได้นะนังหนู อย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด!”

หญิงสาวได้ยินเสียงใครต่อใครร้องห้าม แต่เธอก็เลือกที่จะได้อยู่ใกล้ๆ เขา เอรอสกำลังบาดเจ็บ การที่เขานอนตัวงออยู่บนถนนแบบนี้ แสดงว่าเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บที่ไหนสักแห่งจนขยับไม่ได้

“ถอยไป! อย่าถูกตัวข้า!!” เอรอสสะบัดแขนหนีมือของเธอ หากแต่คารินก็ยังคว้ามือเขาไว้ได้

หมับ!

เฮือก!

คนที่สะดุ้งไม่ใช่คาริน หากแต่เป็นเคด้าและชาวบ้านที่ยืนลุ้นอยู่อย่างใจจดใจจ่อ เอรอสหันมามองหญิงสาวซึ่งกำลังสัมผัสตัวเขาด้วยความฉงน สบตากลมโตที่แม้จะเกรอะกรังด้วยคราบน้ำตาแต่ก็ฉายแววเป็นห่วงระคนโล่งใจ

“อ้าว! หายแล้วเหรอ เมื่อครู่นี้ตัวยังร้อนจี๋อยู่เลย” เคด้าพูดอย่างแปลกใจ ตอนที่เขาสัมผัสโดนตัวเจ้าหนุ่มนั่น มันร้อนเป็นไฟจนเขากระเด็นออกมาราวกับโดนผลักด้วยแรงมหาศาล มือข้างหนึ่งพองเหมือนโดนไฟลวก แต่เด็กสาวคนนี้กลับไม่เป็นอะไร หรือว่าเขาจะตกใจเกินเหตุจึงคิดอะไรเป็นตุเป็นตะและอุปาทานไปเอง

ข้าไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยเถอะ” เอรอสพูดกับหญิงสาวซึ่งยังจับตัวเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ชาวบ้านที่มุงดูต่างก็หันหน้าไปซุบซิบกัน

“เธอคิดว่าเจ้าจะทิ้งเธอไปน่ะสิ ทีหน้าทีหลังจะออกไปไหนก็บอกกันบ้าง อย่าปล่อยให้เธอเป็นห่วง” เคด้าได้ทีอบรมสั่งสอนยกใหญ่ แล้วเข้าไปช่วยพยุงชายหนุ่มให้ลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายแล้ว

“เจ้ายังเจ็บขาอยู่นี่ วิ่งมาทำไม?” เอรอสกลับเป็นห่วงเด็กสาวที่ร้องไห้จนหน้าแดง ทั้งยืนโงนเงนเพราะแผลที่ข้อเท้าเพิ่งจะทุเลา

“หมอมาแล้ว!” ชาวบ้านหลายคนตะโกนบอกต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อหมอประจำหมู่บ้านเดินเข้ามา แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังกระฉับกระเฉง เส้นผม หนวดและเครากลายเป็นสีขาวหมดแล้ว แต่ด้วยรูปร่างที่สูงสง่าและเป็นผู้อาวุโส หมอจึงเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งหมู่บ้าน

“ไปตรวจคนไข้ที่บ้านเจ้าก็ได้เคด้า ที่นั่นกว้างขวางสะดวกดี เอาล่ะพวกเจ้า กลับไปทำมาหากินได้แล้วนะ ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลแล้ว” หมอโบกมือให้พวกชาวบ้านแยกย้ายกันกลับไป แล้วมองหนุ่มสาวแปลกหน้าที่เคด้าบอกว่าผู้ชายเป็นคนป่วย แต่ที่เขามองเห็น...คนที่บาดเจ็บน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงมากกว่า

“ไม่ต้องพยุงข้าหรอก ข้าเดินเองได้” เอรอสขืนตัวออกห่างเคด้า เข้าไปจับแขนคารินซึ่งเดินตามมาข้างหลังเงียบๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel