บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 จุดเริ่มต้นของเขาและเธอ

หญิงสาวซึ่งนอนอยู่บนพื้นหญ้าขยับเปลือกตาขยุกขยิก แม้จะรู้สึกปวดร้าวระบมไปทั่วร่าง กระนั้นหูของเธอก็ยังได้ยินเสียงลมพัดหวิว กลิ่นหอมของดอกทาบิลิสที่เริ่มผลิบาน และความอบอุ่นของแสงแดดอ่อนในช่วงต้นฤดูหนาว เธอกระพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่าหัวใจยังเต้นอยู่ ทันทีที่ลืมตาสิ่งแรกที่มองเห็นคือใบไม้สีเขียวกำลังสะบัดพัดปลิวพลิ้วไหว ผืนหญ้านุ่มที่รองรับตัวเธอไว้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เนินเขาย่อมๆและพุ่มไม้เตี้ยที่ขึ้นสลับกับใบไม้สีทองงดงามราวกับสรวงสวรรค์

ในที่สุด...เธอก็รอดชีวิตมาจากวันที่เลวร้าย หญิงสาวน้ำตารื้นเมื่อนึกถึงผู้คนที่เธอรักและรู้จัก ภาพที่ชายฉกรรจ์หลายคนบุกเข้ามารื้อค้นข้าวของ ทำร้ายและเข่นฆ่าทุกชีวิตในหมู่บ้านอย่างโหดเหี้ยม เสียงหวีดร้องคร่ำครวญร้องขอชีวิต หยดเลือดและหยาดน้ำตาไม่อาจหยุดยั้งความป่าเถื่อนของพวกมันได้ ชาวบ้านทั้งหมดถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา ขณะที่เธอก็เหมือนคนอื่นๆ ที่วิ่งหนีเอาตัวรอดเข้าไปในป่า หวังจะซ่อนเร้นอำพรางกายแต่ก็หนีไม่พ้น

“ช่วยด้วย! เลโกลัส! ช่วยข้าด้วย!”

จำได้ว่าเธอร้องเรียกพี่ชายขณะกำลังดิ้นรนจากเงื้อมมือมัจจุราชจนร่างกายถลอกปอกเปิก แม้รู้ดีว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะเดินทางออกจากหมู่บ้านไปค้าขายที่เมืองท่าตั้งแต่สามวันที่แล้ว กระนั้นเขาก็ยังเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในยามคับขัน

แต่ว่า...ไม่มีเงาของเลโกลัส พี่ชายที่เคยปกป้องเธอไม่อาจได้ยินเสียงนี้ หญิงสาวทำได้แค่เพียงมองผ่านม่านน้ำตา ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อคนหนึ่งในพวกมันเงื้อมดาบขึ้นสูงเตรียมพร้อมที่จะฟันฉับลงมา!

“กรี๊ด!!!”

“ฮือๆๆๆ อึก! ฮือ...”

เสียงกรีดร้องของเธอขาดหายไปจากความทรงจำ พร้อมๆ กับน้ำตาที่ร่วงรินลงมา เพราะหลังจากเห็นคมดาบนั้นแล้วเธอก็สลบไป จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาอยู่ตรงนี้ เธอสะอื้นไห้ด้วยความปวดร้าว ดวงตาพร่าเลือนจนมองไม่เห็นใครอีกคนที่กำลังเดินออกมาจากพุ่มไม้

“รู้สึกตัวแล้วล่ะสิ” เสียงทุ้มห้าวข้างตัวทำให้หญิงสาวสะดุ้ง ก่อนร่างสูงของคนที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนในชีวิตจะนั่งลงบนพื้นหญ้า ชะโงกหน้ามองเด็กสาวชาวเกาะที่กำลังร้องไห้กระซิกๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะฟื้น

“เจ้านอนหลับไปสามวัน ข้าได้ทำแผลและดามเฝือกที่ข้อเท้าให้แล้ว ไม่นานก็คงเดินได้ตามปกติ”

เอรอสไม่นำพาต่อสายตาตื่นตระหนกของเธอ ยื่นมือไปช้อนศีรษะเด็กสาวให้ผงกขึ้นมาแล้วจ่อกระบอกไม้ไผ่ไปที่ริมฝีปากแตกแห้งที่เม้มสนิท

“วางใจเถอะข้าไม่ใช่คนร้ายหรอก ดื่มน้ำหน่อยสิ”

หญิงสาวไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน เผยอริมฝีปากปล่อยให้เขาป้อนน้ำจากกระบอกไม้ไผ่เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายที่อ่อนล้า คิดว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนี้คงเป็นคนดีและเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้จากชายฉกรรจ์พวกนั้นระหว่างที่เธอสลบไป นี่คงเป็นความโชคดีที่เหลืออยู่ท่ามกลางการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แวบแรกจะผิดหวังเพราะคิดว่าคนที่ช่วยเธอเป็นเลโกลัสก็ตาม

เมื่อชายหนุ่มปล่อยเธอให้นอนลงตามเดิม และอาการบาดเจ็บนั้นทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เธอจึงทำได้แค่เพียงมองเขาอยู่ห่างๆ

เขาคงเป็นนักรบ แม้ทหารและนักรบทั่วไปจะนิยมไว้ผมยาวเพื่อป้องกันคอและศีรษะ หากแต่เส้นผมและดวงตาของเขากลับเป็นสีน้ำเงินเข้มซึ่งเธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ผ้าคาดศีรษะสีดำสนิทไม่บอกว่าสังกัดที่ใดหรือเมืองใด เสื้อผ้าก็ดูเก่าแม้แต่รองเท้าก็สึก ผ้ารัดเอวมีรอยขาดวิ่นเล็กน้อย จนเมื่อเขายืนขึ้นเธอจึงเห็นว่าร่างสูงนั้นเหน็บดาบไว้ที่เอว รูปร่างก็สูงเพรียวแม้ไม่บึกบึนอย่างพวกทหารแต่ก็ดูแข็งแรงและน่าจะพึ่งพาได้ ดวงหน้าเรียวเผยให้เห็นคิ้วเข้ม ดวงตาคมที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ จมูกโด่งและริมฝีปากเหยียดตรงกระด้าง ลักษณะเหมือนคนเข้าถึงได้ยากและค่อนข้างเก็บตัว จนเธอไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าชายหนุ่มรูปงามคนนี้กำลังคิดอะไร

เอรอสนำข้าวของเครื่องใช้ที่พอหาได้ขึ้นเก็บไว้บนเกวียน ตอนที่เธอกำลังหลับสนิทเขาได้ย้อนกลับเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงและที่นอน จนกระทั่งได้ม้าและเกวียนมาโดยบังเอิญ เมื่อเธอฟื้นแล้วก็ต้องพาเธอออกเดินทางต่อไป ไม่แน่ว่าเธออาจจะมีญาติอยู่ที่เคอร์เซอร์หรือหมู่บ้านอื่นๆ บนเกาะนี้ หากเธอพบญาติพี่น้องแล้วเขาก็จะหมดภาระ

หญิงสาวเพิ่งมองเห็นม้าและเกวียน หัวใจของเธอเต้นตุ้บๆ ด้วยความตื่นเต้นเมื่อจำได้ว่ามันเป็นของเลโกลัส ซึ่งพี่ชายของเธอได้นำมันออกจากหมู่บ้านเมื่อหลายวันก่อน แสดงว่าเขากลับมาแล้ว

“อึก! อี๊!...”

หญิงสาวเปล่งเสียงออกจากลำคอ ตั้งใจจะร้องเรียกชายหนุ่ม หากแต่เธอไม่สามารถที่จะเอ่ยคำใดๆ ออกมาได้เลย!

ความกลัวและความกังวลแล่นเข้าจับขั้วหัวใจที่จู่ๆ เสียงของเธอก็หายไปเฉยๆ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังสะอึกสะอื้นร้องห่มร้องไห้!

“อ้อ! ม้ากับเกวียนและข้าวของพวกนี้ข้าได้ย้อนกลับไปเอามาจากหมู่บ้านของเจ้า ที่นั่น...นอกจากน้ำและอาหารบางอย่างแล้วก็ไม่เหลืออะไรอีก เจ้าชื่ออะไรล่ะ มีญาติพี่น้องอยู่ที่หมู่บ้านเคอร์เซอร์หรือหมู่บ้านอื่นๆ หรือเปล่า?”

หญิงสาวได้แต่กระพริบตาปริบๆ อยากตะโกนถามเขาเหลือเกินว่าเจ้าของม้าตัวนี้หายไปไหนแต่ก็ทำไม่ได้ ป่านนี้พี่ชายจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

“ข้าชื่อเอรอส บอกชื่อของเจ้าได้ไหม?” เอรอสถามซ้ำเมื่อเห็นหญิงสาวขยับปากส่งเสียงอึกอักๆ อยู่ในลำคอ

“อะ...อะ...อือ...ฮือๆๆๆๆ” แม้จะพยายามแล้ว แต่เมื่อไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ เธอก็ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

“เอาล่ะๆ เข้าใจแล้ว รอให้เจ้าหายดีก่อนก็แล้วกัน” ชายหนุ่มโบกมือห้ามเมื่อเห็นหญิงสาวมีท่าทางทรมาน เดาเอาว่าเธอคงจะเป็นใบ้หรือไม่ก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนพูดไม่ออก คงไม่ดีแน่หากเธอเอาแต่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาท่วมอย่างนี้ เพราะมันจะทำให้งานของเขาล่าช้าไปอีก

“เราจะไปที่เคอร์เซอร์ เจ้าควรจะให้หมอตรวจดูอาการสักหน่อย อ้อ! ระหว่างที่เราเดินทาง ถ้าบังเอิญมีคนมาถามอะไร เพื่อความปลอดภัยข้าจะบอกว่าเจ้าเป็นน้องสาวของข้าก็แล้วกัน” เอรอสตัดบท เมื่อเธอไม่มีท่าทีคัดค้านเขาก็อุ้มร่างบางขึ้นจากพื้นหญ้า วางลงบนเบาะนุ่มบนเกวียนอย่างแผ่วเบา ระวังไม่ให้ร่างนั้นกระทบกระเทือนมากนัก จากเดิมที่ตั้งใจจะข้ามภูเขาไปก็ต้องเปลี่ยนเส้นทาง ลัดเลาะไปตามป่าดงพงไพรแทน

หญิงสาวนั่งพิงเกวียนคอพับคออ่อน สายตาจับจ้องแผ่นหลังของเอรอสไม่วางตา เส้นผมสีน้ำเงินของเขาเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสงแดดอุ่น แม้จะเพิ่งรู้จักกันแต่เธอก็รู้สึกได้ว่า ตราบใดที่อยู่กับเขา เธอจะอบอุ่นและปลอดภัย

จากทุ่งทาบิลิส ม้าลากเกวียนเดินทางมาถึงทุ่งหญ้าเขียวขจีสูงท่วมศีรษะดอกหญ้าปลิดปลิวตามแรงลม หญิงสาวฝืนมองทิวทัศน์รอบกายได้ไม่นาน ร่างบางก็ค่อยๆ เลื่อนไถลลงนอนบนเบาะ ดวงตาหรี่ปรือก่อนจะค่อยๆ ปิดสนิทเพราะความง่วงงุน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel