บทที่ 2 การประลองเฟ้นหาผู้กล้า
ประเทศจอร์จิน่า
ขณะนี้มหานครซึ่งกุมอำนาจของทวีปตะวันตก กำลังจัดงานประลองอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเฟ้นหายอดฝีมือที่จะได้ตราประทับและแผนที่จากพ่อมดวาเลรี่เพื่อเป็นใบเบิกทางก้าวสู่อำนาจ นักรบจากทั่วสารทิศต่างก็เดินทางมาแสวงโชคที่นครแห่งนี้ไม่ขาดสาย พวกพ่อค้าแม่ค้าต่างออกร้านขายของและเปิดร้านเหล้าจนถึงโต้รุ่งเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยและแสวงหาความอภิรมย์ยามค่ำคืน
“ใครจะฝ่าด่านเจ้ายักษ์นั่นได้กันล่ะ นอกจากพวกฝีมือดีๆ ที่ข้าเพิ่งจะนับได้เพียงสามคน!”
ประชาชนที่แห่แหนกันมาดูการประลองซุบซิบกัน ตั้งแต่เปิดสนามมาวันนี้ยังไม่มีใครเอาชนะคนของเฮเซลได้เลย ผู้เข้าประลองแต่ละคนถ้าไม่ตายก็กระดูกหัก สภาพร่อแร่จนจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ ปล่อยให้ตายซะยังจะดีกว่า
“เจ้านั่นยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่จะต้องตามล่า ข้ายังนึกภาพไม่ออกเลยว่าคนที่มีเลือดเนื้ออย่างพวกเรา จะไปสู้กับเจ้าปีศาจในตำนานได้อย่างไร”
“นั่นสิ ข้ายังจำเรื่องเล่าของคนรุ่นก่อนๆ ได้ ที่ว่าโลกเคยแตกเป็นเสี่ยงๆ แผ่นดินไหว น้ำทะเลท่วมแผ่นดิน ฮึ้ย! แค่ได้ยินก็ขนลุกแล้ว อย่าให้มันเกิดขึ้นอีกเลย เมียก็ยังหาไม่ได้ ข้ายังไม่อยากตาย”
เฮ! เฮ!
ตึง! ตึง! ตึง!
โครม!
เสียงเฮดังลั่นจากผู้ชมกว่าพันคนบนอัฒจันทร์ที่ต่างก็กระทืบส้นเท้า กระโดดร้องไชโยด้วยความสะใจ เมื่อผู้เข้าประลองคนที่สิบเจ็ดในวันนี้ลอยละลิ่วขึ้นไปบนยอดไม้ก่อนที่ร่างจะตกลงมากระแทกพื้นดังแอ้ก! นอนแน่นิ่งหมดลมหายใจตายอย่างอนาถ ขณะที่ผีพนันทั้งหลายต่างก็เฮโลเข้าคิวรับเงินกันยาวเป็นหางว่าว โดยที่ผู้ดำเนินรายการไม่ปล่อยให้ทุกคนต้องรอ หลังทหารหามศพผู้เข้าประลองออกไป เขาก็ประกาศเรียกเหยื่อรายใหม่เข้ามาในสนามทันที
ตึง! ตึง! ตึง!
“เบิกตัวเมอร์เดส เวลาร์ ผู้ท้าชิงคนที่สิบแปด!!”
เสียงกลองรัวสามครั้ง ตามด้วยเสียงตะโกนบอกต่อกันเป็นทอดๆ ของทหารหลวงที่มีหน้าที่ยืนเข้าแถวเป็นจุดๆ ตั้งแต่สนามจนถึงที่คุมขัง ผู้ชมทั้งสนามยืนขึ้นปรบมือต้อนรับเหยื่อคนต่อไป ขณะที่เฮเซลผู้ปกครองนครจอร์จิน่านั่งไขว่ห้างจิบไวน์อย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่มีอะไรเร้าใจเลยหรือนี่ ตั้งสามวันแล้วมีคนที่เอาชนะคนของข้าได้เพียงสามคนเท่านั้น ผู้กล้าในโลกนี้หายไปไหนหมด!” เฮเซลหันไปบ่นกับเหล่าคหบดีที่นั่งประกบอยู่ข้างกาย
“นั่นน่ะสิท่านเฮเซล หรือว่าข้อเสนอของท่านยังไม่เร้าใจพอ”
“เจ้าจะลองดูสักตั้งไหมล่ะ ถ้าชนะลูกน้องของข้าได้ ข้าจะยกจอร์จิน่าให้ครึ่งหนึ่งเลยเอ้า!” เฮเซลชะโงกหน้าไปถามขุนนางที่พาดพิงถึงข้อเสนอของเขา
“แหะๆๆ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเองล่ะท่าน ถึงอยากได้ใจจะขาด แต่คงต้องตายเพราะน้ำมือของเจ้ายักษ์นั่นก่อนจะถึงมือปีศาจน่ะสิ”
เสียงฮือฮาดังขึ้น เรียกร้องความสนใจจากทุกสายตาให้มองลงไปยังวิหารปรักหักพังจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก เฮเซลจึงดัดแปลงมันเป็นสนามประลองกำลัง เพราะเขาเองชื่นชอบและรู้สึกดีที่ได้เห็นผู้คนเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ พ่อมดวาเลรี่ก็จะได้เลือดสำหรับบูชายัญปีศาจที่เลี้ยงไว้ให้กล้าแข็งยิ่งขึ้น
เมื่อผู้เข้าประลองคนที่สิบแปดเดินองอาจเข้ามาในสนาม เฮเซลก็จับกลิ่นได้ทันทีและรู้สึกได้เลยว่าชายหนุ่มผู้นั้นมิใช่คนธรรมดา แม้เขาจะดูสูงเพรียวแต่ก็มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ดวงตาคมกล้านั้นบอกถึงความมุ่งมั่นและทะเยอทะยาน ใบหน้าดุดันกระด้างและผมยาวสลวยสีบลอนด์พลิ้วสยายตามแรงลมเหมือนงูที่กำลังเลื้อย มิได้มีท่าทางหวาดกลัวหรือตระหนกเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นของนักฆ่าในสนามเลยแม้แต่น้อย
“ฆ่าตัวตายชัดๆ เกมนี้ข้าไม่พนันด้วยหรอก ดูก็รู้แล้วว่าฝ่ายแรกชนะเห็นๆ เจ้านั่นเป็นพระเอกจากคณะนักแสดงหลงมาหรือไงกัน!”
ชาวเมืองหลายคนส่ายหน้า เก็บเงินเข้ากระเป๋าคืนเพราะวัดรูปร่างกันแล้วเป็นคู่ที่ไม่น่าจะพนันขันต่ออย่างที่สุด ผู้หญิงสาวๆ ร้องวี้ดว้ายเสียดายความหล่อของผู้ท้าชิงซึ่งอีกไม่กี่อึดใจอาจจะคอหักหรือช้ำในตายเหมือนคนก่อนๆ แต่สำหรับเฮเซลแล้วเขาคิดว่ากำลังจะได้ดูอะไรสนุกๆ และบางทีเมอร์เดสคนนี้อาจจะสามารถเติมเต็มสิ่งที่เขากำลังสร้างขึ้นมาก็ได้
“เริ่มการประลอง!!”
“เริ่มการประลอง! เฮ!”
ผู้ชมรอบสนามคึกคัก เจ้ายักษ์ซึ่งวันนี้ปลิดชีพคู่ต่อสู้มาแล้วถึงสิบเจ็ดคนยิ้มกริ่ม มองเหยื่อที่ยืนเก๊กหน้าหล่อด้วยดวงตาวาวโรจน์ ยกกำปั้นขึ้นปล่อยหมัดขวาออกไปทันทีหมายจะล้มคู่ต่อสู้ภายในหมัดเดียว
ตึง! กึง!
หมัดของเขาพลาดจากหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายไปโดนเสาของตัวอาคารจนหักโค่นลงมา เมื่อเห็นว่าพลาดเป้า จึงตามติดด้วยคมดาบที่กวัดแกว่ง หากการบุกแบบประชิดตัวไม่ได้ผลและมีคู่ต่อสู้ที่ว่องไวกว่าก็ต้องใช้อาวุธเพื่อทุ่นแรง แต่เมอร์เดสก็ กระโดดหลบได้อย่างทันท่วงที
ฟ้าว! กึก! ครืน!!
เสาต้นที่สองพังลงทำให้ฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่ว เมอร์เดสตีลังกาม้วนตัวหลบแล้วกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนบ่าของเจ้าคนร่างยักษ์ที่ชักจะมีน้ำโหขึ้นมาหลังจากพลาดเป้าไปถึงสองครั้ง
“กะ...แก! หลบได้เรอะ!”
“ข้าจะปิดบัญชีล่ะนะ” หนุ่มผมบลอนด์ยิ้มเหี้ยมเกรียม ใช้สองแขนล็อคคอของอีกฝ่ายไว้แล้วออกแรงหมุนจนได้ยินเสียงกระดูกต้นคอหักดังอ๊อก!
ร่างยักษ์ล้มลงจนพื้นดินสะเทือน! เหลือเพียงผู้เข้าประลองคนที่สิบแปดที่ยืนอยู่อย่างสง่างาม เขาจ้องมองผู้คนที่อ้าปากค้าง ดวงตาแทบจะหลุดออกมานอกเบ้า อย่างที่เรียกว่าเกิดอาการอึ้ง! และทึ่ง! จนแทบจะหยุดหายใจที่เขาล้มคู่ต่อสู้ลงได้ในชั่วพริบตา
เฮเซลลุกขึ้นยืนมองเจ้าหนุ่มหมายเลขสิบแปดด้วยความชื่นชม นานแล้วที่ไม่ได้เห็นอะไรน่าสะพรึงกลัวอย่างนี้
“ดูสิ! แววตาของมันกำลังสั่นระริกด้วยความยินดีที่ได้คร่าชีวิตคน ราวกับกำลังเติมเต็มความรู้สึกอ้างว้างให้เต็มตื้นด้วยความตาย มันนี่แหละ! คือคนที่ข้าต้องการ!”
เขาคิดในใจพลางเดินลงจากอัฒจันทร์เข้าไปในสนามประลอง มองร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าแห่งจอร์จิน่าเหมือนมองสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้เมอร์เดส ผู้ซึ่งมีความน่าสนใจและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ผู้ซึ่งแทบไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลยก็ฆ่าอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธ
“ผู้ชนะการประลองในวันนี้! เขาคือผู้โชคดีที่จะได้แผนที่ภูเขาไฟเป็นคนสุดท้าย เขาคือความหวังที่จะนำร่างทรงมาให้กับจอร์จิน่าของเรา ทุกท่าน!...จงมอบความยำเกรงให้กับเมอร์เดส เวลาร์!”
เสียงไชโยโห่ร้องของผู้ชมไม่ได้อยู่ในโสตประสาทของเมอร์เดส เขารู้สึกว่ายังไม่อิ่ม เพียงชีวิตเดียวที่ไร้ค่าไม่อาจทดแทนความว่างเปล่าและความต้องการภายในจิตใจได้
“เจ้าทำได้ดีมาก ดูเหมือนนักฆ่าของจอร์จิน่าจะไม่ใช่คู่ปรับของเจ้า แต่อีกไม่นานหรอก คนเก่งๆ อย่างเจ้าจะได้พบกับสิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านี้”
เมอร์เดสตวัดสายตามองผู้ปกครองประเทศซึ่งยืนยิ้มเยือกเย็นอยู่ใกล้ๆ รู้สึกถึงออร่าที่น่าสะพรึงกลัว ร่างของชายคนนี้เหมือนมีเงาดำล้อมรอบอยู่ ตอนแรกเขาเกือบจะหมดความสนใจในประเทศนี้แล้ว แต่พอได้ยินว่ามีสิ่งที่น่าตื่นเต้นรออยู่เขาก็เริ่มจะสนุกขึ้นมา
“อะไรล่ะที่น่าตื่นเต้นของเจ้า!”
“หึๆ ถ้าเจ้าอยากเห็นของดีล่ะก็...ตามข้ามาสิ ข้าจะพาเจ้าไปพบกับสิ่งที่เจ้ารอคอย”
