บทที่ 29 หัวใจของข้าก็คือหัวใจของเจ้า
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็ไม่รบกวนแล้ว จะขึ้นไปดูความเรียบร้อยข้างบน ดูแลเธอให้ดีก็แล้วกัน” เฮน่ากำชับ พอคิดว่าชายหนุ่มพาคารินมาลำบาก เธอก็อดจะเอ็นดูสงสารเด็กสาวไม่ได้
ลับร่างของสองพี่น้องนั้นไปแล้ว เอรอสก็หยิบยาในถุงออกมาป้อนหญิงสาวที่กำลังทำท่าสะลึมสะลือ กระทั่งรอให้เธอหลับสนิท เขาจึงดึงผ้าห่มลงมาใหม่และตั้งใจว่าจะดูให้แน่ใจ
ร่างของเธอร้อนผ่าวและสั่นสะท้านเมื่อเขาค่อยๆ ดึงผ้าห่มลงมา ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ผิวกายขาวซีดมีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย จนกระทั่งมองเห็นรอยแผลนั้นอีกครั้ง
รอยแผลนั้นหายไปแล้ว! เหลือเพียงจ้ำแดงๆ จางๆ และผิวรอบข้างเป็นสีชมพูอ่อนๆ สร้างความงุนงงให้เขาเหลือคณา
ผิวของเธอสมานกันเองอย่างนั้นหรือ?” เขาพึมพำด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อสายตาเพราะเวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเลย
“อือ...”
เสียงครางของเธอทำให้เขาได้สติ รีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้เธอโดยเร็ว แล้วก็นั่งจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง
เธอเป็นแค่เด็กสาวชาวเกาะธรรมดาๆ ไม่มีพลังอะไรเลย ซ้ำร่างนี้ยังบอบบางราวกับจะแตกหักได้ตลอดเวลา ทำไมจึงมีเธอคนเดียวที่มีชีวิตรอดจากการฆ่าล้างบางในหมู่บ้าน ทำไมจึงมีปีศาจปรากฏตัวขึ้น แต่เธอไม่รู้เรื่องปีศาจ อาจเป็นไปได้ว่าเธอคงจะบาดเจ็บสาหัสและเมื่อตอนที่เขาไปพบเธอเข้านั้น อาการของเธอทุเลาลงด้วยตัวเอง?
สายตาที่ทอดมองเขานั้นเต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจและบริสุทธิ์เกินกว่าจะคิดว่าเธอเป็นใครอื่น จิตใจของเธอผ่องใสเกินกว่าจะเป็นร่างจำแลงของปีศาจ เธอไม่ได้เก่งกาจหรือมีพิษภัยต่อใคร เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเป็นคนที่ทั่วโลกกำลังตามล่า
แต่...ถ้าเธอคือร่างทรง....
ชายหนุ่มคิดด้วยหัวใจที่เย็นยะเยือก อยากจะปฏิเสธความรู้สึกและความสงสัยที่ถาโถมเข้ามาแต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อคิดว่าสักวัน หากเธอไม่ใช่คารินคนเดิม หากเขาพิสูจน์ได้ว่าเธอคือคนที่เขาตั้งใจจะมาทำลาย ความทรมานก็เอ่อล้นขึ้นมาในอก
“ขอโทษนะคาริน...ถ้าหากว่าเจ้า...เป็นร่างทรงจริงๆ ล่ะก็...ข้า...ก็ไม่อาจไว้ชีวิตของเจ้า”
ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลสะดุ้งตื่นกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกดังแว่วมาจากคอกม้า เขาลุกขึ้นจากที่นอนและค่อยๆ แง้มบานประตูออกทีละนิดอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก เงี่ยหูฟังอีกครั้งว่ายังได้ยินเสียงนั้นอยู่หรือเปล่า
แง๊! แง๊!
เสียงร้องยังคงดังอยู่ แต่น่าแปลกที่พ่อแม่ของเขาที่นอนอยู่ในบ้านกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย บ้านหลังอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกเดียวกันก็ดูเหมือนจะนอนหลับสนิทกันอย่างผิดปกติ ทั้งๆ ที่เสียงร้องนั้นดังกังวานอยู่ในความเงียบสงัดเพียงลำพัง
ฮี้! ฮี้!
เจ้าม้าตัวโปรดร้องขึ้นมาผสานกับเสียงร้องของเด็กทารก ทำให้เขารู้ทันทีว่ามันจะต้องเห็นอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นโจรขโมยหรือพวกสัตว์ป่าที่ออกหากินกลางคืน ทำให้เขาต้องรีบจับไม้เท้าที่พ่อมักจะเอาไว้ต้อนวัวกระชับมือ แล้วค่อยๆ ย่องออกไปตามเสียงนั้น
ค่ำคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงจึงทำให้เขาไม่ได้จุดคบไฟทิ้งไว้เหมือนคืนก่อน ไร้สรรพเสียงของจั๊กจั่นเรไรที่เคยร้องหวีดหวิว ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ไหวทั้งๆ ที่อากาศหนาวเหน็บจนฟันกระทบกันดังกึกๆ ขาของเขาก้าวไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว ค่อยๆ มองลอดพุ่มไม้เพื่อให้มองเห็นว่ามีอะไรอยู่ในคอกม้ากันแน่
แง๊! แง๊!
เสียงเด็กร้องขึ้นมาอีกแล้ว เร่งเร้าให้เขาต้องเข้าไปใกล้กว่านี้ เกิดคำถามผุดขึ้นในใจมากมายว่าใครกันนะที่พาเด็กทารกมาที่นี่ มาด้วยจุดประสงค์ใด หรือจะเป็นคนที่หลงทางมา แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเรือที่จะออกจากมาทิลดาเพื่อไปแผ่นดินใหญ่นั้นออกจากท่าไปตั้งแต่เช้าแล้ว
ฮึม...ฮึม...
เสียงคำรามในลำคอของอะไรบางอย่างทำเอาเขาสะดุ้ง แข้งขาอ่อนระโหยโรยแรง ใจที่สั่นอยู่แล้วแทบจะหลุดออกมานอกอกกับเสียงประหลาดอันน่าสะพรึงกลัว
เขาไม่กลัวภูตผีปีศาจเพราะไม่เคยเห็น เรื่องเล่าเก่าก่อนที่พ่อและแม่เคยเล่าให้ฟังนั้น เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อให้เขากลัวและไม่กล้าออกไปเล่นซนข้างนอก จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มเต็มตัวและกำลังปลูกต้นรักกับสาวข้างบ้านก็ยังไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านั้นสักที
เขานึกถึงคนรักที่กำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นึกถึงเพื่อให้ใจกล้าพอที่จะก้าวขาเดินต่อไป และเพื่อเบี่ยงเบนความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต
แง๊! แง๊!
เสียงร้องดังขึ้นมาอีก คราวนี้เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด รวบรวมพลังความกล้าหาญทั้งหมดที่มี เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเพื่อช่วยชีวิตของเด็กคนนั้น
เขากระโดดออกจากพุ่มไม้ กระชับท่อนไม้ในมือจนเหงื่อชื้น แล้วก็ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในคอกม้า!!
เงามืดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า บัดบังรัศมีของแสงจันทร์จนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เขาก็เห็นมัน! เขาเห็นดวงตาสีแดงฉานลอยอยู่และกำลังจ้องมองมา ไม่แน่ใจด้วยว่าความมืดที่เห็นนั้นเป็นเงาหรือร่างของมันกันแน่ ตัวประหลาดขนาดใหญ่มหึมาดูเหมือนจะอยู่ใกล้หากแต่ก็มองเห็นว่าอยู่บนท้องฟ้า มันกำลังสยายปีกคล้ายกำลังจะบินออกไป หากแต่ก็มีแขนและขาที่เต็มไปด้วยยอดแหลมๆ โผล่ออกมาจากร่างซึ่งมีลักษณะคล้ายมังกรและมนุษย์ผสมกัน
เขาทำท่อนไม้หลุดจากมือ ตายังคงจ้องประสานกับมันราวกับต้องมนต์สะกด ไม่ใช่เพราะความกล้าหาญ หากแต่กลัวจนก้าวขาไม่ออก ทั้งๆ ที่ใจวิ่งหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“มาแล้วสินะ...เลโกลัส!”
ให้ตาย! มันกำลังพูด และมันรู้ชื่อของเขา! ชายหนุ่มขนลุกซู่ไปทั้งตัว เมื่อสำนึกได้ว่ามันไม่ได้ขยับปากพูดสักนิด หากแต่จิตกลับได้ยินชัดเจน
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องทำตามสัญญาแล้ว”
“สะ...สัญญาอะไร?” เขาจำไม่ได้ว่าไปสัญญิงสัญญากับเจ้าตัวประหลาดนี้ตอนไหน เพราะนี่เป็นการพบกันครั้งแรก และเขาไม่มีวันสัญญาอะไรกับปีศาจแน่ๆ
“ชีวิตของเจ้า...เป็นของข้า...ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องดูแลสิ่งสำคัญของข้า...ตามสัญญา”
เขาไม่ทันได้ปฏิเสธ เจ้าตัวประหลาดนั้นก็ใช้มือทาบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นคำรามจนเสียงดังก้องไปทั้งปฐพี ก่อนจะควักหัวใจสดๆ ออกมา
เลโกลัสผงะถอยหลัง ยังไม่อาจละสายตาจากภาพที่เห็นตรงหน้าได้ เมื่อหัวใจที่เต้นตุบๆ ของเจ้านั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับหัวใจของเขา
พลัน!! หัวใจของมันก็สว่างวาบขึ้น กลายเป็นคริสตัลสีขาวเท่าฝ่ามือลอยอยู่กลางอากาศ ส่องประกาย ระยิบระยับสวยงามจนอยากจะได้มาไว้ในรอบครอง
“จงรักษาหัวใจของข้า...เท่าชีวิตของเจ้า!”
