บทที่ 13 การล่ากำลังเริ่มต้น
“เกิดอะไรขึ้น?” เอรอสถามเบลล่าทันทีที่นางเดินถือถาดอาหารเข้ามา แล้วรีบปิดประตูลง เพราะคนที่มาเช่าอยู่ห้องข้างๆ เริ่มโผล่หน้าออกจากห้องไปมุงดูเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายข้างล่างแล้ว
“พ่อค้าที่มาจากเมืองท่าทางทิศตะวันตกน่ะ บอกว่าที่นั่นกลายเป็นหมู่บ้านร้าง พวกชาวบ้านถูกพวกโจรฆ่าตายหมดไม่มีเหลือรอดสักคน ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ชาวบ้านที่นั่นน่ะมีอาชีพหลักคือทำประมงเพราะอยู่ติดทะเล เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีแม้แต่ขโมย เขาบอกว่าคนร้ายอาจเป็นโจรสลัดที่เข้ามาปล้นเอาทรัพย์สินไปก็ได้ แต่ทำไมต้องฆ่าล้างบางก็ไม่รู้ มาทิลดาไม่เคยเกิดเรื่องน่ากลัวอย่างนี้มาก่อน ข้าล่ะสังหรณ์ใจจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีตามมาอีก”
เบลล่าเล่าจากเรื่องที่นางเองก็เพิ่งจะได้ยินสดๆ ร้อนๆ จากการมาพักของพ่อค้าผัวเมียคู่หนึ่ง เพราะมัวแต่ฟังเลยทำให้ขึ้นมาส่งอาหารล่าช้า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อย เพราะชาวบ้านที่อยู่เมืองท่ามักจะนำสัตว์ทะเลมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่เคอร์เซอร์บ่อยๆ เมื่อได้ยินว่าถูกฆ่าตายหมดทั้งหมู่บ้าน ก็อดใจหายไม่ได้
“แต่ข้าคิดว่าคงไม่ใช่โจรสลัดหรอก พวกมันต้องปล้นเรือประมงสิถึงจะถูกพวกมันจะเป็นใครก็ช่าง แต่มันคงต้องการไปหาอะไรสักอย่างที่สำคัญกว่าทรัพย์สินหรือเสบียง ฆ่าได้กระทั่งผู้หญิงก็ไม่เว้น เอ้า! คาริน กินข้าวหน่อยนะ ขอโทษด้วยที่พูดเรื่องเป็นเรื่องตายในเวลานี้ เจ้าคงกลัวสินะ”
เบลล่าหันมาขอโทษเด็กสาว โดยไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้ร่างบางตัวสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจกับประโยคที่ได้ยินว่าชาวบ้านที่นั่นถูกฆ่าตายหมดทั้งหมู่บ้าน เพราะตอนที่เธอวิ่งหนีออกมานั้น ทุกคนต่างก็กำลังหนีเอาตัวรอด ไม่รู้ว่าใครเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ที่สำคัญพี่ชายของเธอเองก็ย้อนกลับมาที่หมู่บ้านด้วยเหมือนกัน เพราะม้าที่เอรอสได้มานั้นเป็นม้าของเลโกลัส เขาไม่เห็นเลโกลัส... หรือว่าพี่ของเธอจะถูกพวกมันฆ่าตายไปแล้ว! แม้พี่จะเป็นคนเก่งแต่โจรพวกนั้นมีกำลังคนมากกว่า คนๆ เดียวจะสู้คนหลายคนได้อย่างไร
“พ่อค้าคนนั้นเจอศพของนกยักษ์และพวกโจรตายเกลื่อนในป่าลึก มันคนหนึ่งพูดว่าร่างทรงปีศาจอยู่ที่มาทิลดา ตอนนี้โจรคนนั้นถูกจับตัวไปแล้ว และพวกทหารจากเมืองต่างๆ กำลังเดินทางมา เกาะนี้ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว” เบลล่ากระซิบกับเอรอสเพราะไม่อยากให้คารินได้ยินเรื่องน่ากลัว โดยเฉพาะเรื่องร่างทรงปีศาจ ที่แค่ฟังชื่อ พวกเด็กๆ ก็กลัวจนนอนไม่หลับ
“เบลล่า! เปิดห้องให้แขกด้วย!”
เสียงเคด้าตะโกนเรียกอยู่ตรงบันไดทำให้เบลล่าหยุดการกระจายข่าวเพียงเท่านั้น เมื่อนางเดินออกไป เอรอสก็หันมาหาหญิงสาวทันที
“ฮึก ฮึก ฮือๆๆๆๆ”
เขาชะงักเมื่อเห็นเธอซบหน้าลงกับโต๊ะ ร่างบางสั่นสะท้านสะอื้นไห้ เธอคงพยายามที่จะสะกดกลั้นมันไว้ ข่าวร้ายนั้น...เป็นไปได้หรือที่พี่ชายของเธอจะถูกฆ่าตาย ตอนที่ฝังศพ ไม่มีใครเข้าข่ายเป็นพี่ชายเธอเลยสักคน ทั้งตอนที่เขาย้อนกลับไปนั้น จู่ๆ ก็มีม้าและเกวียนถูกปล่อยทิ้งไว้ สองสิ่งนี้ปรากฏขึ้นหลังจากที่เขาจัดการฝังทุกอย่างไว้แล้ว และในตอนนั้นก็ไม่มีผู้บุกรุกหลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้นแม้แต่คนเดียว ทำไมศพของนกยักษ์และโจรจึงไปอยู่ในป่าลึก ใครกันที่จัดการพวกมันแล้วเอาศพไปทิ้งไว้ที่นั่น จะใช่พี่ชายของเธอหรือเปล่า? ที่สำคัญตอนนี้หลายประเทศจะต้องปักใจเชื่อว่าร่างทรงอยู่ที่นี่เพราะคำพูดของเจ้าโจรนั่น
ความเดือดร้อนกำลังจะมาเยือนมาทิลดา...อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความลับที่นักทำนายหญิงแห่งเซก้าทำนาย ไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว ใช่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เข้าใกล้ร่างทรงมากที่สุด ถ้าหากทหารจากประเทศอื่นๆ แห่กันมาที่นี่ เกาะที่ได้ชื่อว่าเกาะสวรรค์จะกลายเป็นสนามรบทันที
เขาเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างๆ เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ หยดน้ำตาที่รินไหลเปื้อนเปียกมาถึงกระโปรง เขาใช้มือดึงไหล่ของเธอให้หันมา ทันทีที่ดวงตาเจ็บช้ำคู่นั้นประสานกับดวงตาของเขา เธอก็โผเข้ามาใช้สองแขนกอดคอเขาไว้เหมือนเด็กๆ แล้วร้องไห้โฮ
ข้าเชื่อว่าเลโกลัสจะต้องไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้ข้าจะออกไปตามหาเขาและจะรีบกลับมานะ” ชายหนุ่มสอดแขนโอบร่างนั้นไว้หลวมๆ เขาเองเป็นคนโดดเดี่ยวชีวิตไม่เคยผูกพันกับใครจึงไม่รู้วิธีปลอบใจ นี่คงเป็นคำพูดที่ดีที่สุดในเวลานี้
ตึงๆๆ
ชายหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได เขาผุดลุกขึ้นมองผ่านช่องประตูที่ยังไม่ได้ปิดลงหลังจากเบลล่าเปิดอ้าทิ้งไว้ ตอนนี้นางกำลังถือตะเกียงจ้าวพายุ เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักฝั่งตรงข้ามพร้อมกับสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งถ้าจำไม่ผิด ทั้งสองคนเป็นพ่อค้าที่สวนทางกับเขาตรงทางเข้าหมู่บ้านนั่นเอง
หรือว่าสองคนนั้น...จะเป็นพ่อค้าที่เบลล่าพูดถึง ถ้าอย่างนั้น พวกเขาต้องจำได้แน่ว่าสวนทางกับเขาระหว่างออกจากเมืองนั้น...และถ้าเขากับคารินถูกนำไปเชื่อมโยงกับการตามหาร่างทรงแล้วล่ะก็...
“ข้าเห็นผ้าโพกหัวของพวกมันไม่ชัด แต่เดาว่าทหารพวกนั้นมาจากทวีปตะวันตก และเอาตัวโจรที่ยังไม่ตายกลับไปด้วย” คนที่เป็นภรรยาพูดขึ้น
คารินตกใจกับเสียงนั้น! เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเอรอสเมื่อมองเห็นคนที่ยืนอยู่กับเบลล่าชัดเจน ชายหนุ่มรีบเป่าดับไฟในตะเกียงจนห้องทั้งห้องมืดสนิท แล้วเขาก็เดินไปแอบอยู่ที่ประตู ขณะที่หญิงสาวนั่งกระพริบตาปริบๆ ตัวแข็งอยู่ที่เดิม
“ข้าได้ยินเจ้าโจรมันพูดว่ามีเด็กผู้หญิงรอดชีวิต ขนาดว่าโดนรุมทำร้ายก็ยังไม่ตาย ไม่รู้ว่ามันเพ้อหรือเปล่าที่บอกว่าเห็นปีศาจตัวใหญ่อยู่บนท้องฟ้าและคนของพวกมันถูกปีศาจตนนั้นฆ่าตายหมด ป่านนี้ทหารพวกนั้นคงเค้นเอาความจริงกับเจ้าโจรชั่วนั่นแล้วว่าผู้ที่รอดชีวิตเป็นใคร ปีศาจโผล่มาจากไหน คราวนี้เกาะของเราต้องมีแขกไม่พึงประสงค์มาเยี่ยมเยียนแน่ ถ้าเด็กผู้หญิงคนนั้นสามารถเชื่อมโยงไปถึงร่างทรงแล้วล่ะก็...ไม่ต้องคิดเลยว่าพวกมันต้องตามล่าเธอแบบพลิกแผ่นดินแน่นอน!”
“เจ้าไปที่นั่นเห็นใครหนีออกมาบ้างหรือเปล่าล่ะ?” เบลล่าถามด้วยความอยากรู้ เพราะเกาะนี้ถูกละเว้นจากการครอบครอง เป็นอิสระจากการอยู่ใต้อาณัติของใคร ผลคือแม้จะทำการค้าขายได้ผลดีและไร้ศัตรู แต่ก็ขาดกองกำลังคุ้มครองยามต้องเผชิญกับปัญหาเหมือนในเวลานี้ ถ้าหากมีกองกำลังทหารจากต่างแดน แห่แหนกันมา เกาะมาทิลดาจะต้องกลายเป็นสมรภูมิรบอย่างไม่ต้องสงสัย ชีวิตของพวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
“ไม่เห็นหรอก เอ้อ! รู้สึกจะสวนทางกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งนะ หน้าตาท่าทางดูดีทีเดียว คงจะเป็นพวกคนมีเงิน แต่ท่าทางของพวกเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แถมเด็กผู้หญิงยังเหมือนคนป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่น่าจะเป็นสิ่งเชื่อมโยงอะไรได้หรอก”
“ใครๆ ก็เป็นผู้ต้องสงสัยได้ทั้งนั้นเลยนะ ข้าละห่วงจริงๆ ว่าลูกหลานในหมู่บ้านเราจะต้องเดือดร้อนถ้าพวกทหารมันย้อนกลับมาจริงๆ”
บทสนทนาจบลงแค่นั้นก่อนที่พวกเขาจะเปิดประตูห้องพักเข้าไป แล้วเอรอสก็งับประตูห้องเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาคาริน เมื่อเด็กสาวผู้รอดชีวิตนั้น จะเป็นใคร ไปไม่ได้นอกจากเธอ
“เราจะต้องไปจากที่นี่พรุ่งนี้เช้า พวกเขากำลังตามล่าเจ้า ข้าเก็บของก่อนนะ เจ้ากินข้าวสักหน่อยแล้วนอนพักเถอะ ถึงเวลาแล้วข้าจะปลุกเอง”
