บทที่ 12 กลับไม่ได้ไปไม่ถึง
“อื้อ” คารินค่อยๆ ขยับขาแกว่งไปมาเบาๆ อันที่จริงเธอเกือบจะหายดีอยู่แล้ว แต่เพราะคิดว่าจะไม่ได้เจอเขาอีก เธอจึงฝืนวิ่งออกตามหาเขาจนทั่วหมู่บ้านลืมความเจ็บปวดไปเสียสนิท
“ส่วนอาการของคาริน ข้าบอกได้เลยว่าเธอไม่ได้เป็นใบ้หรอก แต่คงจะตกใจอะไรสักอย่างจนพูดไม่ออกสักระยะหนึ่งเท่านั้นเอง อีกไม่นานถ้าหัดออกเสียงบ่อยๆ เดี๋ยวเสียงก็จะกลับมาเหมือนเดิม ตอนนี้ก็ระวังแผลที่ข้อเท้าอย่างเดียวเท่านั้น”
“ระวังอย่าวิ่งอีกล่ะ ถ้าอยากเดินเล่นก็บอกเดี๋ยวข้าจะพาไป” เอรอสกำชับ
“โอ้! ช่างเป็นพี่ชายที่ใจดีจริงๆ เลย ว่าแต่ให้ข้าตรวจดูร่างกายของเจ้าหน่อยดีไหม เห็นว่าตัวร้อนเป็นไฟล้มลงไปเลยนี่” หมอหันมาหาชายหนุ่มซึ่งยังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเด็กสาวไม่ยอมขยับไปไหน แม้ว่าสีหน้าของอีกฝ่ายจะดูเรียบเฉยแต่เดาว่าเขาคงห่วงเธอไม่น้อย
“ข้าหายดีแล้ว ไม่ต้องลำบากท่านหรอก อีกอย่างข้าไม่มีเงินพอค่ารักษาด้วย” เอรอสหันไปบอกหมอ เพราะสิ่งที่เขาเป็นนั้นไม่ใช่โรคประจำตัวหรืออาการป่วยที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยา
“ข้าไม่ใจร้ายไส้ระกำขนาดนั้นหรอก แค่ดูอาการเฉยๆ” หมอบอกด้วยน้ำเสียงมีเมตตา เท่าที่ฟังจากเคด้าตอนที่ถูกตามตัวมานั้น เขารู้แต่เพียงว่าสองพี่น้องคู่นี้เดินทางมาจากเมืองท่า มีม้าและเกวียนเป็นพาหนะและข้าวของติดตัวแค่ถุงย่ามใบใหญ่ใบเดียว นอกจากนั้นแล้วเคด้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก
“เจ้าคงเอาเงินจ่ายค่าที่พักหมดแล้วสินะ นี่ข้าไม่รู้จริงๆ นะว่าพวกเจ้ายากจนขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาค่าที่พักคืนไปเถอะ ข้าจะคิดค่าเช่าเป็นแรงงานก็แล้วกัน”
เบลล่าควักกระเป๋าหยิบเงินออกมายื่นให้เอรอส ลำพังตัวพี่ชายนั้นไม่เท่าไหร่ แต่เห็นหน้าของคารินแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ตัวก็เล็กนิดเดียวแถมยังบาดเจ็บ เงินก็ไม่มีจะเอาอะไรกินกันในวันต่อไปก็ไม่รู้
เอรอสดันมือของเบลล่ากลับไป จริงอยู่ที่ว่าเขามีเงินไม่มากนักเพราะตอนที่อยู่คนเดียวก็ไม่ต้องใช้สอยอะไร เสื้อผ้าก็มีไม่กี่ชุด ชีวิตเร่ร่อนนี้เคยอาศัยนอนตามพุ่มไม้หรือตามทุ่งหญ้า ไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดเลย หากแต่เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตเข้ามาให้ดูแล เขาก็จำเป็นต้องเอาเงินออกมาใช้และมันก็เริ่มร่อยหรอลง กระทั่งเมื่อเช้าเขาต้องออกไปดูลาดเลาในหมู่บ้านว่าพอจะมีใครต้องการแรงงานหรือเปล่าและสืบข่าวเรื่องเลโกลัสไปด้วย ก็ได้งานขนไม้ที่บ้านเศรษฐีคนหนึ่งพอดี
ตอนออกมาเขาคิดว่าจะไปไม่นาน จึงไม่ได้ปลุกคาริน แต่เมื่อคิดว่าจะต้องเดินทางอีกไกลและไม่รู้เมื่อไหร่จะหาเลโกลัสพบ เขาก็เหมาขนไม้ให้กับเศรษฐีเจ้าของบ้านหลังนั้นจนเสร็จภายในวันเดียว ทำให้กลับมาช้ากว่าที่คิดไว้ ไม่คิดว่าจะทำให้เธอเสียใจถึงขนาดนี้
“ขอบคุณพวกท่านมาก แต่ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ส่วนอาหารค่ำข้าขอกินบนห้องก็แล้วกัน จะได้สะดวกกับคารินด้วย” เขาบอกด้วยเสียงเด็ดเดี่ยวแล้วจับแขนของหญิงสาวให้ลุกขึ้นตาม
คารินยืนขึ้นตามแรงฉุดของชายหนุ่ม โค้งแสดงความขอบคุณทั้งคุณหมอและเจ้าของบ้านทั้งสองอยู่หลายครั้งจนพวกเขาต้องยิ้มอย่างเอ็นดู
“ข้าขอตัวพาเธอไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน” เมื่อแขกเริ่มทยอยเข้าร้าน และบางคนก็เป็นคนแถวนี้ซึ่งตั้งใจมาดูหน้าเขาโดยเฉพาะ เอรอสไม่รอให้ใครรั้งไว้อีก เขาก้มลงช้อนตัวคารินขึ้นมาอุ้มแล้วเดินตัวปลิวขึ้นบันไดไปเลย
“ดูจากหน้าตาแล้วข้านึกว่าเขาจะเป็นคนเย็นชาเสียอีก นี่คงห่วงน้องสาวมากอยู่เหมือนกัน ถึงว่าคนเรานี่ดูกันแต่ภายนอกไม่ได้เลยจริงๆ” เคด้าพูดยิ้มๆ
“เจ้าได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เหรอ ไหนเอามือมาดูหน่อยสิจะทำแผลให้” หมอดึงมือเจ้าของบ้านมาแบออกดู เห็นรอยไหม้เล็กๆ ใจกลางฝ่ามือซึ่งไม่ได้กลายเป็นแผลพุพองอย่างที่นึกกลัว เป็นแผลที่ประหลาดมาก เพราะมันไม่ใช่รอยที่เกิดจากเปลวไฟหรือน้ำร้อนลวกอย่างที่เขาเคยเห็นมาก่อน
“ข้าเผลอไปจับเตาต้มข้าวมาเมื่อครู่นี้ ไม่มีอะไรหรอกท่านหมอ ทายาสมุนไพรก็หาย” เคด้าเลือกที่จะปิดบังมันเสียเมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอกว่าแผลนี้เขาได้จากการแตะต้องตัวชายหนุ่มผู้นั้น เพราะแค่นี้คนในหมู่บ้านก็พากันย่ำเท้าเข้ามาที่ร้านกันจนไล่กลับไม่ไหว ดีไม่ดีจะทำให้แขกหรือพวกพ่อค้าที่มาพักแตกตื่นกันไปเปล่าๆ
ขณะที่เจ้าของบ้านและหมอคุยกันอยู่ข้างล่าง เอรอสก็อุ้มหญิงสาวเข้ามาในห้องพัก เขาจัดแจงวางเธอลงบนเก้าอี้เพราะคิดว่าอีกไม่นานเบลล่าจะต้องนำอาหารขึ้นมาให้ ตัวเขาเองเก็บดาบไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า และมานั่งตรงกันข้ามกับเธอ
“ขอโทษนะที่ข้าออกไปโดยไม่บอก เห็นเจ้าหลับอยู่ก็เลยไม่อยากปลุก”
"มะ...มะ...” หญิงสาวสั่นศีรษะจนผมกระจาย พยายามจะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ออกมา เธอจะต้องฝึกออกเสียงบ่อยๆ ตามที่คุณหมอบอก จะได้สื่อสารกันได้มากขึ้น
“ข้าไปทำงานและสืบข่าวเรื่องพี่ของเจ้า เผื่อจะมีใครรู้จักบ้าง แต่ลืมไปว่าข้ายังไม่เคยเห็นพี่ของเจ้าเลย และตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจว่าข้าชื่อเลโกลัส อาจทำให้ตามหาเขาลำบากอยู่สักหน่อย”
“ขะ ขอ ขอ” หญิงสาวก้มศีรษะขอโทษ จากที่เคยคิดว่าจะพยายามช่วยแบ่งเบาภาระบางอย่างให้เอรอส กลับกลาเป็นว่าทำให้งานของเขาล่าช้ากว่าเดิม
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ว่าแต่พี่ชายเจ้ามีรูปร่างหน้าตายังไงล่ะ พอจะเขียนบอกข้าได้ไหม?” เขายื่นแขนไปวางพาดบนโต๊ะ ก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆ ลากนิ้วเขียนเป็นตัวอักษรยาวพรืด
“พี่ชายข้าตัวสูงเหมือนกับท่าน มีเส้นผมสีน้ำตาลยาวประบ่าและมีดวงตาที่อ่อนโยน เป็นคนดีและเก่งมากๆ”
“อ้อ!” ชายหนุ่มทำเสียงรับรู้ นี่คือภาพของเลโกลัสที่เธอบอกเขา เดาว่าคงเป็นผู้ชายที่ดูทะมัดทะแมงและเก่งพอตัวคงจะหาตัวได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากว่าพี่ชายของเธอไม่ได้อยู่บนเกาะนี้ล่ะ
“คาริน พ้นจากเคอร์เซอร์ไปที่เมืองท่า ถ้าหากว่าเรายังตามหาพี่ชายของเจ้าไม่พบล่ะก็...ข้าไม่สามารถพาเจ้าไปได้ไกลกว่านี้ เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
คารินอึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคคำถามที่เธอเตรียมใจไว้แล้วว่าเขาจะต้องถามขึ้นมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“ข้าจะต้องเข้มแข็ง ข้า...ไม่ได้เป็นอะไรกับเอรอสสักหน่อย ที่เขายอมให้ติดสอยห้อยตามมาจนถึงที่นี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
เธอบอกกับตัวเอง ผงกศีรษะตอบรับก้มลงมองหน้าตัก ซ่อนหน้าจ๋อยๆ และดวงตาร้อนผ่าวไม่ให้เอรอสมองเห็น ไม่มีแรงแม้แต่จะขานรับในลำคอเหมือนเก่า เพราะไม่มั่นใจว่าเสียงของเธอจะไม่สั่นจนเขาจับได้
“ข้าจะพยายามตามหาพี่ของเจ้าให้เจอ บางทีเขาอาจจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองท่า หรือไม่ก็อาจจะกำลังมาที่นี่” เอรอสพูดอย่างมีความหวัง ล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อหยิบอะไรบางอย่างออกมา ขณะที่มืออีกข้างก็ดึงมือเล็กๆ ของเธอมาวางบนโต๊ะแล้ววางมือของเขาทับลงไปพร้อมกับเงินที่เขาหามาได้ในวันนี้
“เจ้าจำเป็นต้องใช้มัน เก็บไว้ให้ดีนะ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะหาเพิ่มอีก”
หญิงสาวผงกศีรษะอีกครั้ง ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา กลั้นน้ำตาที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาอย่างสุดความสามารถ
แม้แต่ในเวลานี้...เขาก็ยังอุตส่าห์เป็นห่วง ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยแท้ๆ
“โอย! น่ากลัว...น่ากลัวเหลือเกิน...ตายหมดเลย...ไม่เหลืออะไรเลย!!”
เสียงเอะอะจากชั้นล่างดังขึ้นมาจนคนที่พักอยู่บนชั้นที่สองได้ยินชัดเจน และเสียงเคาะประตูห้องเบี่ยงเบนความสนใจของเอรอสจากร่างบางที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ท่าเดียวจนเขาชักจะเป็นกังวลขึ้นมาอีก เขาลุกเดินไปเปิดประตูจึงไม่ทันได้เห็นว่าคารินนั้นเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำและเธอรีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาโดยเร็ว
