6.บาดแผลที่เริ่มก่อตัว EP3
ภาวมาลา วิ่งมาที่บานประตู แล้วมองตามร่างสูงใหญ่ของเขาที่เดิน ลิ่ว ๆ จากไป ความรู้สึกของเธอมันบอกไม่ถูก เธออยากจะร้องไห้ออกมาให้สุดเสียง หรืออยากจะวิ่งเข้าไปหาเขาซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างที่แสนจะอบอุ่นของเขา
“ คุณธี..”
เธอหลับตานิ่งพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะหันกลับมายังห้องโล่ง เธอเดินกลับมาที่หน้าต่าง ทอดสายตามองฝ่าต้นไม้ที่หนาทึบ เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้ากว้าง ซึ่งบัดนี้แสงอาทิตย์เดินทางคล้อยต่ำลงมากแล้ว
ภาพหนหลังผ่านเข้ามาในความทรงจำ ชายหนุ่มคนหนึ่งผิวขาวสะอาด หน้าตาคมเข้ม หล่อเหลา ท่าทางสุขุมนิ่มนวล เดินคลอเคลียอยู่กับสตรีสาวคนหนึ่งที่สวยสมกัน ทั้งคู่รักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง ดูดดื่ม
และแล้ววันหนึ่ง ก็มีเหตุทำให้ทั้งคู่ตกลงแต่งงานกัน แต่ทว่า ฝ่ายชายแอบมีหญิงอีกคนหนึ่ง มีอะไรกับเจ้าหล่อน ผู้หญิงที่สาวสวย ทำให้หล่อนหึงหวงและหาเรื่องด่าทอเธอ
ภาวมาลาหลับตานิ่ง เมื่อนึกถึงคำพูดของสุคนธา ผู้หญิงที่เธอเห็นกับตาว่ามีอะไรกับเขา ผู้ชายที่ดูดีคนนี้ คนที่สู่ขอเธอแต่งงาน แล้วเขาคนนี้ที่สั่งฆ่าเรวัตเพื่อนสนิทของเธอ ซึ่งได้ขอความช่วยเหลือจากเขาให้พาเธอหนีในคืนวันส่งตัวเข้าหอ
“ ภาวมาลา เธอจำไว้นะ เธอจะไม่มีวันมีความสุข เพราะตัถย์ธีรา เขารักฉัน และฉันก็เป็นเมียเขาและในท้องของฉัน มีลูกของเขา เธอมันหน้าโง่ เธอมันยังใหม่สำหรับเขา อีกไม่นานหรอก ..”
ภาวมาลายกมือขึ้นปิดหู เหมือนไม่อยากจะได้ยินเสียงของสุคนธา แต่กลับมีเสียงอื่นแทรกเข้ามาแทน
“ลูกสะใภ้ของฉัน จะต้องร่ำรวย สวยสมกับลูกชายของฉัน สมกันทั้งฐานะ การศึกษาและชาติตระกูล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันต้องไม่ใช่เธอ ..ภาวมาลา..”
เสียงของคุณผณินทร์แม่ของเขา แผดดังแทรกเสียงของสุคนธาเข้ามา ทำให้เธอต้องรีบส่ายหน้าไปมา หมายจะปัดสิ่งเหล่านั้นออกไปจากหัวของเธอ
“ เธอเป็นคนสวยมากนะ ภาวมาลา แต่สวยอย่างเดียวไม่พอหรอก นายธีน่ะ เขาเป็นคนดี มีเงินมีเกียรติ แต่เธอสิ จบแค่ปริญญาตรี ทำงานเป็นนักวิจัย เงินเดือนกี่สตางค์จ๊ะ พ่อแม่รึก็ หึ แค่ผู้ดีเก่ามีสมบัติสักเท่าไหร่กันเชียว..”
น้ำเสียงเย้ยหยันของ มณีมณฑ์ พี่สาวของเขา มันทำให้เธอหันกลับมาที่บานประตู แต่ก็ต้องนิ่ง เมื่อมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
“ ที่นี่ เวลากินข้าว ต้องลงไปกินที่โรงอาหาร ไม่ใช่รอให้มาเชิญบนนี้ ..คุณอยู่ที่นี่ในฐานะคนงานในไร่ ศักดิ์ศรีเท่ากับพวกเราทุกคน ..อย่าทำตัวเด่น เพราะคุณไม่ใช่เจ้านายของพวกเรา ..”
บัวชุมพูดด้วยน้ำเสียงที่กระแทกกระทั้น เมื่อจ้องหน้าของเธอ
“ขอโทษจ้ะ ..ฉันไม่หิว..”
“ หิวไม่หิวก็ต้องไป ..แล้วหวังว่า คงไม่มีมื้อต่อไปที่ฉันจะต้องขึ้นมาตามคุณนะ..”
เธอก้มหน้านิ่ง ก่อนจะยอมก้าวตามหลังบัวชุม ลูกสาวแม่ครัว ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อไปถึงที่นั่น เธอก็ต้องนิ่งอึ้ง เมื่อสายตาทุกคู่ของคนงาน ต่างจับจ้องมาหา
“ นั่งสิ แล้วจำไว้ด้วยว่า ที่นั่งของคุณอยู่ตรงนี้ ทุกมื้อ..”
เธอนั่งลงยังเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ใกล้ ๆ กับบัวชุม แต่เมื่อเงยหน้ามองห่างออกไป จนเกือบสุดโรงอาหารขนาดใหญ่ เธอเห็นเขา นั่งอยู่ท่ามกลางคนงานชายล้วนนับสิบ แล้วทุกคนกำลังทอดสายตามาหาเธอ
“ฉันมีใครจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะ..”
เขาเอ่ยขึ้น สายตายังทอดนิ่งอยู่ที่ร่างงามของเธอ ยามนี้ เธอรู้สึกประหม่ามากเหลือเกินเมื่อตกเป็นเป้าสายตาของคนนับร้อยในที่นี้
“ ผู้หญิงคนนั้น ชื่อ ภาวมาลา พิเชียรสุธี เป็นคนงานใหม่ของที่นี่ มีสิทธิ์และหน้าที่ทัดเทียมกับทุกคนในที่นี้ ..”
เธอช้อนสายตามองหน้าเขา เมื่อเขาเอ่ยชื่อของเธอ แต่นามสกุลของเขา
“จะพูดอะไร เพื่อเป็นการแนะนำตัวใหม่..”
เขาเอ่ยถาม ทำให้มีเสียงหัวเราะของคนงานดังสนั่น
“ เงียบก่อนเหมือนเธอมีอะไรจะพูดกับพวกเรานะ..”
เขาบอกกับคนงานของเขา แล้วนิ่ง จ้องหน้าเธอ
“ ฉันชื่อ นางสาวภาวมาลา อุรพีพัฒน์..”
เขาเลิกคิ้วสูง ก่อนจะผายมืออก
“ กินข้าวกันเถอะ วันนี้ฉันขออนุญาต กินข้าวกับทุกคนด้วยนะ..”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับนาย..”
“ เหรอ แล้วถ้าหากว่าฉันจะมากินด้วยทุกวันล่ะ..”
“ดีครับนาย ดีไหมพวกเรา..”
“ ดี..”
เสียงปรบมือดังกระหึ่มไปทั่วโรงอาหารแห่งนั้น ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ดูมีความสุข เว้นแต่เธอ ที่รู้สึกเหมือนมีอะไรมันแล่นมาจุกที่ลำคอ จนไม่สามารถจะกลืนอาหารลงผ่านไปได้แม้แต่คำเดียว
“ เสร็จแล้วก็ไปทำไร่ จนเวลาสิบโมงเช้ากลับมาเข้าครัว เพราะคนงานต้องทานอาหารตอนเที่ยงตรง ส่วนตอนบ่ายโมงก็ออกไปทำไร่ สี่โมงเย็นก็กลับมาเตรียมอาหาร เพราะอาหารเย็น หกโมงเย็น..”
บัวชุมมองหน้าเธอแล้วหันไปหาเขา
“ งานครัวมันหนักนะนาย แล้วยังเข้าไร่อีกหรือจ๊ะ..”
เขาตวัดสายตามามองดวงหน้าเรียวสะอาดของเธอพลางยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
“ คุณภาวมาลาน่ะ เธออึดจะตายไป แค่นี้น่ะเรื่องเล็ก แต่ระวังหน่อยก็แล้วกัน สิ่งมีชีวิตในท้องมันอาจจะโตขึ้นทุกวัน ถ้ารักพ่อของมันมาก ก็ระวังอย่าให้ความอยาก เอาชนะความรักได้ ด้วยการหาคนอื่นมาช่วยต่อแขนต่อขาให้มันซะล่ะ..”
หญิงสาวมองหน้าเขานิ่ง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน
“ฉันอยากจะเห็น ว่าเด็กในท้อง ถ้ามันเกิดมา หน้ามันเหมือนใคร..”
เขาพูดจบก็เดินออกไปจากที่นั่น ปล่อยให้เธอยืนนิ่งด้วยความเคียดแค้น โดยมีบัวชุมมองดูอยู่ห่าง ๆ
“ นี่คุณท้องหรือ..”
หญิงสาวมองหน้าบัวชุมนิ่ง แต่ไม่พูดอะไร
“ ถ้างั้นก็ อย่ายกของหนักนะ เดี๋ยวจะแท้งไป มันจะยุ่งกันใหญ่..”
เธอค่อย ๆ วางจานในมือลงยังที่คว่ำ
“ ไปพักเถอะคุณ พรุ่งนี้ ตีสี่เจอกันนะ ตื่นทันไหมล่ะ หรือจะให้ฉันไปปลุก..”
บัวชุมพูดเบา ๆ พลางมองสำรวจมายังท้องของเธออย่างสงสัย
“ มีอะไรก็เรียกแล้วกันนะ ฉันขอตัวก่อนล่ะ..”
“ จ้ะ..ขอบใจมาก..”
เธอเอ่ยออกมาเบาๆ แล้วหมุนร่างเดินกลับมายังห้องพักของเธอ ด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย เธอเดินมาหยุดที่หน้าทางขึ้นห้องพัก แล้วหันมองไปรอบตัว รู้สึกมันเงียบจนเหงา คนงานที่เห็นอยู่มากมาย หายไปกันหมด
หญิงสาวก้าวเข้าห้องปิดประตู เธอผ่อนลงหายใจออกมายาว ก่อนจะจัดการกับตัวเองจนเรียบร้อย เธอเอาเสื้อผ้าที่ซักเตรียมออกไปตากด้านนอกแต่สายตางามตวัดมองผ่านไปยังพุ่มไม้ซึ่งไม่ไกลจากที่นั่นนัก เธอเห็นตัถย์ธีรานั่งอยู่กับคนงานชายหลายคน เขาเองก็มองมาหาเธอ สายตาสองคู่มองสบกันนิ่ง แต่เธอเป็นฝ่ายหันกลับเข้าห้องปิดประตูอย่างแน่นหนา
“ ภาอยากออกไปจากที่นี่จังเลยค่ะแม่ขา..”
เธอหลับตานิ่งด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ก่อนจะเอนร่างลงนอน ในขณะที่ตัถย์ธีรายังคงวนเวียนอยู่ด้านนอก เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมไม่อาจจะตัดเธอออกไปจากใจของเขาได้ ทั้งที่เขาบอกตัวเองว่า เธอไม่คู่ควร เธอสกปรกเกินกว่าที่เขาจะหันกลับมาใส่ใจเธอได้อีก
และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เธอไม่มีเยื่อใยกับเขา เธอไม่ปรารถนาเขา แต่คนที่เธอปรารถนาคือเรวัต ผู้ชายที่ทำงานร่วมกับเธอคนนั้น
ในขณะที่เธอกำลังดูแลคนงานตักอาหารไปทาน ก็มีสายตาของใครคนหนึ่ง คอยสอดส่องจ้องมองเธออยู่แทบทุกขณะ จนเธอเองก็สามารถที่จะรับรู้และสัมผัสได้ถึงพลังจากกระแสตาของเขาที่มองมาด้วยความห่วงใย แม้จะเจือความชิงชังอยู่ในทีก็ตามไม่ว่าเธอจะก้าวเดินไปทางไหน หยิบจับอะไร เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เธอก็จะต้องพบเขาวนเวียนอยู่ไม่ห่างนัก
“ เสร็จแล้วก็ไปไร่ ทำงานที่ไร่..”
คำสั่งของเขาดังอยู่ใกล้ ๆ เมื่อเธอทานอาหารเช้าเสร็จ
“ ทราบแล้วค่ะ ไม่ต้องย้ำ..”
เธอเอ่ยออกมาเบา ๆ
“ รู้แล้วก็ดี ”
เขาพูดกระแทกใส่ ก่อนจะก้าวเดินจากไป ปล่อยให้ภาวมาลามองตามด้านหลังของเขาไปเงียบ ๆ ก่อนจะเดินตามคนงานทั้งหลายออกไปยังไร่กว้าง ที่บัดนี้ ต้นกาแฟ เติบโตเบ่งบานเต็มที่ เธอมองดูคนงานทั้งหลายต่างก็ช่วยกันทำงาน เมื่อเหนื่อยก็หยุด แต่เธอนั้นเล่า ไม่รู้จะทำอะไรจึงเดินมองไปเรื่อย ๆ
“ ฉันให้เธอมาทำงานไม่ได้ให้เธอมาเดินตรวจงาน..”
เธอเดินเรื่อยมาจนไม่ได้มองเขา กระทั่งได้ยินเสียงของเขาที่ดังขึ้นจากเบื้องหน้าจึงหยุด ได้ทันก่อนที่จะเดินชนกับร่างของเขาที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ ฉันไม่รู้จะทำอะไรนี่คะ..”
เขามองสำรวจเรือนกายของเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะหันไปหาหญิงคนหนึ่ง
“ ให้ผู้หญิงคนนี้ไปทำงานด้วย ถากถางต้นหญ้านั่น อย่าอู้ล่ะ ทำงานให้คุ้มกับข้าวที่กินเข้าไปด้วยรู้ไหม..”
ภาวมาลาจ้องหน้าเขานิ่ง ก่อนจะก้าวตามหญิงวัยกลางคนไปทำงานตามที่เขาบอก ฝ่ามือเรียวบางสะอาดต้องจับจอบ จับคราก ถากถอนต้นหญ้าใต้ต้นกาแฟ เพื่อทำความสะอาด อีกทั้งอากาศก็ร้อนอบอ้าว
เธอเองก็ไม่มีหมวก ไม่มีผ้ากันร้อนสักชิ้นเดียว ฝ่าเท้าก็เปล่าเปลือย เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ผิวที่ขาวผ่องเป็นยองใย กลับต้องหมองคล้ำลงไปจนเห็นได้ชัด
“ เป็นไงคุณ ไหนมือเป็นอะไร ขอป้าดูสิคะ..”
“ โอ้โห แตกยับเลย เจ็บมากไหมคะ พักก่อนดีกว่า.”
เธอปลายตาไปมองรอบตัว เมื่อไม่เห็นเขา จึงนั่งลงใต้ต้นไม้ พลางยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อเม็ดโตออกจากดวงหน้า
“ เอาผ้าของป้าไปโพกหน้านะคะ..ถ้าไม่รังเกียจ..”
เธอยิ้มก่อนจะรับเอาผ้ามาพันศีรษะเอาไว้ แล้วอดทนทำงานต่อ จนถึงเวลาที่เขากำหนด เธอจึงขอตัวจากหญิงคนนั้นกลับมาที่โรงครัว เพื่อช่วยบัวชุมกับแม่พร้อมกับคนอื่นทำครัว ไว้สำหรับอาหารกลางวัน
“ ตายจริง หมดสภาพเลยนะเนี่ย เมื่อเช้ายังดูสวยอยู่เลย ตอนนี้เหมือนโดนอะไรมันฟัดมา..”
ภาวมาลาไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนงานหญิงคนหนึ่ง เธอเดินไปล้างหน้า ลูบเนื้อ ลูบตัวแล้วก้าวเข้ามาหาป้าบัวคำ
“ พักก่อนไม่ดีหรือคะหนูภา..”
“ ไม่เป็นไรค่ะ ภาทำไหว..”
เธอตอบเบา ๆ ก่อนจะช่วยบัวชุมเตรียมเครื่องปรุง
“ นี่มือไม้คุณแตกขนาดนี้ ไม่เจ็บไม่แสบบ้างหรือไง ไม่ต้องทำหรอกคุณ หายาใส่ก่อนเถอะ..”
บัวชุมจับมือของเธอมาตรวจดูก่อนจะมองหน้าเธอนิ่ง
“ ไม่เป็นไรจ้ะ ไกลหัวใจตั้งเยอะ..”
เธอพูดพลางยิ้มเย็น แล้วก็ทำงานต่อ จนเสร็จ ทานอาหารกลางวันแล้วเธอก็ออกไปทำงานในไร่ต่อโดยไม่ปริปากบ่นให้ใครได้ยินแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งเย็น เธอก็กลับมาที่โรงครัว ช่วยทุกคนทำงานเสร็จแล้วก็ขอตัวไปพักทันที โดยไม่สนใจอาหารเย็นในวันนั้น
