ตอนที่ 4 สิ่งนี้เรียกว่าน้ำบาดาล
“ต้าผาง ตะวันขึ้นตรงศีรษะแล้ว พวกเราพักกันสักหน่อยเถอะนะ”
หลังจากสองชายหนุ่มเร่งมือกันอย่างสุดกำลัง โจวเหวินหลงที่เห็นว่ากระท่อมนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว จึงอยากพักสักหน่อย
“ดีเหมือนกัน ข้าก็เริ่มเมื่อยแขนแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะเหวินหลง หากไม่มีเจ้า ข้าก็คงมัวแต่คิดวุ่นวายไม่เข้าท่าจนเสียเรื่องไปหมด”
ไป๋ต้าผางหันไปส่งยิ้มให้เพื่อนรัก
“เจ้ากำลังกลัดกลุ้มใจ ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่น วันนี้ข้าช่วยค้ำจุนเจ้าไว้ วันหน้าหากเจ้าได้ดีก็อย่าได้ลืมข้าล่ะ”
โจวเหวินหลงหัวเราะออกมาแล้วนั่งลงกับพื้นดิน
“เห้อ ทำงานแข่งกับเวลานี่มันเหนื่อยจริงๆ หากได้น้ำเย็นๆ มาอาบคงจะสบายตัวไม่น้อยเลยทีเดียว”
“เหวินหลงเจ้ากำลังฝันอยู่หรือ น้ำในหมู่บ้านของเรา ท่านผู้นำก็ให้ใช้แค่วันล่ะสิบถังต่อครัวเรือน อีกอย่าง ดูท่าแล้ววันข้างหน้าคงจะได้น้ำลดน้อยลงเรื่อยๆ เป็นแน่”
ไป๋ต้าผางคิดถึงสภาพความแห้งแล้ง แถมน้ำในหมู่บ้านก็ลดฮวบลงทุกวันอย่างน่าใจหาย
“ถึงอย่างนั้นสระน้ำของหมู่บ้านก็ยังพอมีน้ำเหลืออยู่นะ ไม่อย่างนั้นลูกสาวของเจ้าจะจมน้ำได้อย่างไร”
เหวินหลงเอ่ยแซวเพื่อนรักเชิงขำขัน
“มันก็คงจะใช่ที่น้ำในสระของชุมชนยังมีเยอะอยู่ แต่หากน้ำในบ่อของหมู่บ้านลดน้อยลงเรื่อยๆ แบบนี้ อีกไม่นานน้ำในสระของหมู่บ้านก็คงจะไม่ต่างกันนักหรอก”
“จะว่าไปฝนก็ไม่ตกลงมานานแล้วนะ หากมีน้ำฝนสักหน่อย พื้นดินคงจะกลับมาชุ่มชื้นบ้าง”
โจวเหวินหลงใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาบดบังแสงแดดจ้า แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ไม่มีเคล้าว่าฝนจะตกลงมาเลยสักนิด
“ม่านหรงนั่นลูกจะไปที่ใด!”
หลิวเหยาเห็นบุตรสาวยืนขึ้น แล้วเดินตรงดิ่งไปทางกระท่อมที่กำลังสร้าง พอหลิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็เกิดความระแวงขึ้นมาจึงได้แต่เดินเร็วๆ ตามหลังม่านหรงอย่างไม่ลดละ
“ข้าจะไปเอาน้ำเจ้าค่ะ”
ม่านหรงพูดจบก็ก้าวขายาวๆ ไปทางคันโยกบาดาลที่พึ่งติดตั้งเสร็จ
“ที่นี่แห้งแล้งมาก ลูกจะไปเอาน้ำมาจากที่ใด”
หลิวเหยารีบก้าวขาตามหลังบุตรสาวไป นางกลัวว่าบุตรสาวจะคิดจบชีวิตของตัวเองอีกครั้ง จึงได้แต่เดินตามติดลูกสาวไปเรื่อยๆ
“ตรงนั้นสินะ”
ม่านหรงชะเง้อมองข้างๆ ที่พักที่กำลังสร้าง นางเดินตรงดิ่งไปยังคันโยกบาดาลที่สูงเท่าตัวแล้วยืนพินิจมองอย่างสงสัยครู่หนึ่ง
‘มันใช้งานยังไงนะ …แบบนี้หรือเปล่า’
เมื่อเดินไปถึงคันโยกบาดาล ม่านหรงก็จับคันโยกไว้มั่น แล้วโยกด้ามจับขึ้นลงเป็นจังหวะ
ทันทีที่ม่านหรงโยกคันบาดาล น้ำสายหนึ่งที่ทั้งเย็น สะอาด สดชื่น ก็ไหลทะลักออกมา ยิ่งนางโยกคันโยกมากเท่าไหร่ น้ำใสสะอาดก็ยิ่งไหลออกมามากเท่านั้น
“ม่านหรง!!”
เสียงของหลิวเหยาอุทานดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก สองชายหนุ่มที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่อีกฝั่งเห็นท่าไม่ดี จึงลุกพรวดพราดเดินเร็วๆ มาดู
ม่านหรงหันไปยิ้มแป้นให้กับมารดา
“ท่านแม่ น้ำเจ้าค่ะ”
ม่านหรงชี้มือไปทางที่น้ำไหลออกมา นางโยกคันโยกหนึ่งทีแล้ววิ่งเร็วๆ ไปเอามือรองรับน้ำมาดื่มกิน
“ชื่นใจสุดๆ”
ม่านหรงดื่มน้ำที่ไหลออกมาด้วยใบหน้ายินดี
“นี่คืออะไร?”
ต้าผางกับเหวินหลงเห็นตอนที่ม่านหรงโยกน้ำออกมา พวกเขาก็ถึงกับอ้าปากค้างเพราะไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน
“อันนี้เรียกว่า ‘คันโยกน้ำบาดาล’ เจ้าค่ะ เพียงแค่โยกคันโยกนี้ น้ำก็จะไหลออกมา ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านลุงโจว พวกท่านมาชิมดูสิเจ้าคะ น้ำบาดาลนี่ทั้งใส สะอาด อร่อย ชื่นใจมากเลยล่ะเจ้าค่ะ”
ม่านหรงกวักมือเรียกทุกคนให้เข้ามาชิมน้ำสะอาดดู
หลิวเหยาเห็นรอยยิ้มของลูกสาว ใจที่หวาดกลัวเมื่อครู่ก็พลันสลายหายไป นางก้าวขาไปยืนด้านหน้าคันโยก รอลุ้นว่าน้ำจะไหลออกมาจากตรงไหน เมื่อม่านหรงโยกคันโยกนั้น น้ำจำนวนหนึ่งก็ไหลออกมา หลิวเหยาใช้สองมือยื่นออกไปรองรับน้ำมาดื่มกิน
“เย็นชื่นใจจริงๆ ด้วย ท่านพี่ พี่ชายโจวพวกท่านมาลองดื่มดูสิเจ้าคะ”
เมื่อหลิวเหยาดื่มน้ำนั้นแล้วเห็นว่าเย็นชื่นใจ นางก็รีบเรียกสามีกับโจวเหวินหลงมาดื่มกินเช่นกัน
ต้าผางขมวดหัวคิ้วอย่างสงสัย แต่ในเมื่อมันเป็นน้ำและเวลานี้เขาก็กระหายไม่น้อย เขาจึงก้าวขาไปข้างหน้าแล้วหันไปทางลูกสาวที่ยืนจับคันโยกนั้นอยู่
“ข้าจะโยกคันโยกแล้วนะเจ้าคะ ท่านลุงโจว ท่านเข้ามาพร้อมกันกับท่านพ่อเลยสิเจ้าคะ ข้าจะได้ไม่ต้องออกแรงหลายครั้ง”
โจวเหวินหลงอมยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ อย่างเชื่อฟัง ไม่นาน เพียงแค่ม่านหรงกดคันโยกลงน้ำสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา มันให้ความรู้สึกที่เย็นฉ่ำ ชื่นใจ แม้ว่าอากาศจะร้อนมาก แต่เมื่อมือของพวกเขาสัมผัสกับน้ำเย็นๆ ความเมื่อยล้าก่อนหน้านั้นก็เหมือนกับว่าถูกชะล้างออกไปด้วย
“ม่านหรง เจ้าทำให้น้ำออกมามากๆ ได้หรือไม่ ลุงร้อนมาก อยากอาบน้ำเย็นๆ นี่ใจจะขาดแล้ว”
โจวเหวินหลงยิ้มกว้างออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะนำน้ำที่เหลือในมือมาล้างหน้าให้คลายร้อน
“ม่านหรงรอก่อน พ่อจะไปยกตุ่มมาใส่น้ำ เจ้าอย่าพึ่งปล่อยน้ำออกมานะ เข้าใจหรือไม่”
ต้าผางคิดขึ้นมาได้ว่า น้ำนี่อาจจะหมดไปในเร็วๆ นี้ เขาจึงออกคำสั่งกับบุตรสาว และหันหลังวิ่งไปทางเกวียนลาทันที ทั้งยังกำชับบุตรสาวว่าห้ามนำน้ำออกมาเพราะกลัวว่าน้ำนี้จะหมดไปเสียก่อน
“น้ำบาดาลไม่มีวันหมดหรอกเจ้าค่ะ ขอแค่ท่านมีแรงโยกคันโยกนี้ น้ำก็ยังจะไหลออกมาอยู่ดี”
ม่านหรงเห็นมารดาขมวดคิ้วกังวลหลังจากฟังคำพูดของท่านพ่อที่บอกว่าน้ำจะหมด นางจึงรีบพูดออกไปให้ท่านคลายกังวลใจ
“ม่านหรงเจ้าพูดจริงหรือ ที่ว่าน้ำนี้จะไม่มีวันหมดหน่ะ”
เหวินหลงเอ่ยปากถามอย่างตื่นเต้น ถ้าน้ำบาดาลอะไรนี่ไม่มีวันหมด เช่นนั้น ต่อให้น้ำในหมู่บ้านแห้งขอด น้ำบาดาลนี่ก็ยังจะใช้ได้อยู่ใช่ไหมนะ
“แน่นอนสิเจ้าคะ น้ำนี่หน่ะถูกดูดขึ้นมาจากใต้พื้นดินที่ลึกมาก นอกจากจะกินดื่มได้แล้ว เรายังเอามารดน้ำต้นไม้ ปลูกผัก หรือแม้แต่ ทำให้นาแปลงนี้เต็มไปด้วยน้ำก็ยังได้”
ม่านหรงยิ้มออกมาอย่างได้ใจ ‘ของที่ระบบบอกว่าไม่มีวันใช้งานหมด นั่นก็เท่ากับว่าเธอจะปั๊มน้ำขึ้นมาทั้งวันก็ยังไหว’
“ม่านหรงเจ้าอย่าได้พูดจาใหญ่โตเกินไปนัก หากจู่ๆ น้ำจากดินที่เจ้าว่าหมดลง ถึงตอนนั้นเจ้าจะสู้หน้าลุงโจวของเจ้าไม่ได้”
เสียงดุๆ ของต้าผางเอ่ยขึ้น เขาเดินมาพร้อมกับตุ่มน้ำขนาดกลางในอ้อมแขน
“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนไม่ดี และชอบนำของในบ้านไปให้คนนอกจนท่านลำบากใจ แต่เรื่องนี้ข้าไม่ได้พูดปดอย่างแน่นอน หากท่านพ่อไม่เชื่อ หลังจากที่ท่านทำที่พักเสร็จ ท่านพ่อกับท่านลุงก็มาช่วยกันโยกคันบาดาลนี่ดูก็ได้ บางทีนาที่แห้งแล้งนี่อาจจะเต็มไปด้วยน้ำและปลูกข้าวเลี้ยงปลาได้เลยกระมัง”
ไป๋ม่านหรงกอดอกยกยิ้ม
“ได้! ไว้หลังจากทำที่พักนี่เสร็จ พ่อกับลุงโจวของเจ้าจะช่วยกันโยกน้ำออกมา แต่! ถ้าน้ำนี่หมดลง เจ้าต้องรับปากกับพ่อว่าจะไม่ไปข้องแวะกับคนในหมู่บ้านอีก”
ต้าผางวางตุ่มน้ำลงแล้วหันไปจ้องหน้าบุตรสาว
หากน้ำในคันโยกนี่หมดจริงๆ เขาก็แค่ต้องเทียวหาบน้ำมาใช้สอย ขอแค่ม่านหรงไม่ไปทำให้ท่านแม่รำคาญใจอีกก็เป็นพอ
“ข้าตกลงเจ้าค่ะ”
“ดี เกิดเป็นคน พูดได้ต้องทำได้”
ต้าผางหันไปพยักหน้าให้บุตรสาว
“เจ้าค่ะ ข้าทำได้”
ม่านหรงยืนยันหนักแน่น ก่อนจะบอกบิดาให้เทน้ำในตุ่มนั่นออกไปก่อน เพราะน้ำในหมู่บ้านไม่ค่อยสะอาดเท่าที่ควรนัก
“เหตุใดพ่อต้องเทน้ำในตุ่มทิ้งด้วยล่ะ เจ้าไม่รู้หรือ ว่าน้ำนั้นหายากขนาดไหน”
“ลูกสาวเจ้าก็บอกแล้ว ว่าน้ำใต้ดินนี่ไม่มีวันหมด เจ้าก็เทๆ น้ำนี่ทิ้งไปเสียเถอะ อีกอย่างน้ำใต้ดินรสชาติดีแถมยังไม่มีสีขาวขุ่นด้วยนะ”
เหวินหลงเห็นเพื่อนรักหวงน้ำในตุ่มอย่างกับสมบัติหายาก เขาจึงอาสาลงมือคว่ำตุ่มน้ำนั้นด้วยตนเอง ก่อนจะให้ม่านหรงโยกคันโยกนั้นอีกครั้งแล้วล้างตุ่มน้ำนั่นใหม่ จากนั้นก็ใส่น้ำบาดาลไปจนเต็มตุ่ม
“เสียของจริงๆ น้ำนั่น! เจ้าก็อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากบ้าน จู่ๆ บอกเทก็เทเลยหรืออย่างไร”
ต้าผางยืนเท้าสะเอวบ่นไม่หยุด
“น้ำนี่ใสมาก เจ้าดูสิ มองเห็นก้นตุ่มด้วย ต้าผาง… ข้าขอมาเอาน้ำบ้านเจ้ากลับไปกินได้หรือไม่”
เหวินหลงมองไปที่ตุ่มน้ำแล้วรู้สึกว่ามันน่าทึ่งมาก พอเห็นแบบนี้เหวินหลงก็เปลี่ยนเป็นหันไปประจบเอาใจเพื่อนซี้ทันควัน
“ข้าไม่รู้หรอกว่าที่ม่านหรงบอกนั่นจริงไหม แต่น้ำนี่หากเจ้าต้องการก็มาเอาตามสบาย”
“เจ้ารับปากข้าแล้วนะ จริงสิ! ติดกับที่แปลงนี้เป็นที่นาของข้า หากที่ตรงนี้มีน้ำให้ใช้สอยข้าเองก็อยากย้ายมาอยู่ใกล้ๆ กันกับเจ้าเช่นกัน เจ้าจะคิดเห็นอย่างไร หากข้ากับเมียและลูกจะย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนบ้านของเจ้าที่นี่”
เหวินหลงวางมือไว้บนบ่าเพื่อนรัก หากเป็นดั่งที่ม่านหรงบอก น้ำตรงนี้สามารถปลูกผักเลี้ยงปลารวมทั้งปลูกข้าวได้ เช่นนั้นต่อไปที่ตรงนี้ต้องอุดมสมบูรณ์ที่สุดเป็นแน่
“เจ้าอย่าได้พูดเป็นเล่นไป ที่ตรงนี้ห่างไกลจากชุมชน หากเจ้าย้ายตามข้ามาเจ้าก็ต้องแยกออกมาจากบ้านหลัก หากเป็นแบบนั้น มันจะไม่ส่งผลดีต่อเจ้าหรอกนะ”
ต้าผางส่ายหัว เขาก็ไม่รู้ว่าที่บุตรสาวพูดมาเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน หากจะชวนเพื่อนมาอยู่ด้วยมันอาจจะทุกข์มากกว่าสุขก็เป็นได้
“ข้าจริงจังนะต้าผาง”
เหวินหลงหันไปสบตากับเพื่อนรัก จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เขากับทางบ้านก็มีเรื่องหมางใจกัน ทว่า เขาไม่ได้บอกให้ต้าผางฟังเพราะมันเป็นเรื่องในครอบครัว แต่เมื่อเห็นทางหนีทีไล่ เหวินจงจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่คับใจมาเนิ่นนานให้ต้าผางฟัง
“หลายเดือนก่อน ชิงเหอเก็บตุนเสบียงไว้ที่ห้องนอน แต่พี่สะใภ้มาเห็นเข้าและบอกว่านางไม่คิดจะเผื่อแผ่ทางบ้านเลย แถมยังเอาของที่เมียข้าตุนไว้ไปให้ท่านแม่จนหมด ทั้งที่ของพวกนั้นเป็นข้ากับภรรยาหามาได้ด้วยความลำบาก ไม่ใช่ว่าข้าไม่ห่วงพ่อกับแม่ของข้านะ ก่อนหน้าข้าก็ได้แบ่งสิ่งของให้พวกท่านแล้ว แต่เป็นพี่สะใภ้ที่คิดอยากได้สิ่งของของบ้านข้า พี่ชายของข้าต่อหน้าภรรยาก็ไม่กล้าขึ้นเสียง ตั้งแต่วันนั้นมาข้ากับคนที่บ้านก็มองหน้ากันไม่ค่อยติด ทุกครั้งที่ข้ากับเมียหาของกินมาได้พี่สะใภ้ก็เอาแต่คอยจ้องตาเป็นมัน ท่านพ่อเองก็เคยบอกข้าว่า หากข้าทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทนเพราะท่านรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพี่สะใภ้เป็นเช่นไร ในเมื่อเจ้าก็แยกบ้านออกมาแล้วแถมที่นี่ยังห่างไกลผู้คนอีก ข้าคิดว่าข้าก็ควรแยกบ้านเช่นกัน ไม่เช่นนั้นข้ากับลูกเมียคงจะต้องคอยหลบซ่อนสายตาอยู่แบบนั้น ไม่มีวันสงบสุขเป็นแน่”
เหวินหลงมีสีหน้าหม่นลง เขาก้มลงมองพื้นดินไม่กล้ามองเพื่อนรักตรงๆ
“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ามีความลำบากใจ หากเจ้าเห็นว่าดี เจ้าก็ย้ายมาปักหลักข้างๆ บ้านข้าก็ได้ ที่ตรงนั้นก็เป็นแปลงนาของบ้านเจ้า แต่ต้องดูด้วยว่าครอบครัวเจ้าจะยินยอมยกให้หรือเปล่า”
ต้าผางตบไหล่เพื่อนรักอย่างเข้าใจ
“เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหาหรอก อย่างที่เจ้าเห็น ทุกวันนี้ต่อให้มีที่ทำกินก็ไร้ค่า พี่สะใภ้ของข้านางคงไม่คัดค้าน อีกอย่างที่แปลงนี้ก็ไกลจากชุมชน นางคงนึกสะใจเสียมากกว่าที่ตัดข้าออกมาจากครอบครัวได้”
เหวินหลงผ่อนลมหายใจออกมา
“ท่านแม่”
ม่านหรงเงยหน้ามองมารดาที่ยืนข้างกัน ก่อนที่นางจะสะกิดถามมารดาว่า ไม้ไผ่นี้ได้มาจากที่ใด แล้วที่กอไผ่มีหน่อไม้บ้างหรือเปล่า
“ท่านแม่แล้วที่ป่าไผ่มีหน่อไม้หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าอยากกินหน่อไม้รึ!”
หลิวเหยาก้มถามบุตรสาวที่สูงประมาณหัวไหล่ด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่เกิดภัยแล้งมา ตัวนางเองก็ไม่ได้กินหน่อไม้จิ้มเกลือนานแล้วเช่นกัน พอพูดถึงหน่อไม้นางจึงแอบกลืนน้ำลายลงคอ
“พวกเราไปเดินดูบนเชิงเขาหน่อยดีไหมเจ้าคะ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้อะไรมากินบ้าง”
ม่านหรงยิ้มกว้างพลางเชิญชวนมารดาให้พาตนขึ้นเชิงเขาไปด้วย
“เอาเช่นนั้นก็ได้ อย่างไรเสียแม่ก็ต้องไปเก็บไม้แห้งมาไว้ก่อไฟอยู่ดี”
หลิวเหยาพยักหน้าก่อนจะจูงมือลูกสาวไปทางเกวียนลา แล้วเปิดห่อผ้านำเศษเชือกออกมาหนึ่งเส้น
“ไปกันเถอะ ไปเดินดูหน่อไม้กัน”
หลิวเหยาส่งยิ้มหวานให้กับลูกสาว เมื่อได้เชือกไว้มัดกิ่งไม้ สองแม่ลูกก็ร้องบอกต้าผางว่าจะไปเก็บไม้แห้งแล้วเดินเรียบขึ้นเชิงเขาไป
หลังจากที่เหวินหลงตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายมาอยู่ข้างกันกับต้าผาง สองชายหนุ่มก็พากันไปกินมันเผาเพื่อเติมพลังให้กับร่างกาย พอเหวินหลงกินหัวมันหมดหนึ่งหัว เขาก็เดินมาโยกน้ำบาดาลกินอย่างสุขใจ
