ตอนที่ 5 หน่อไม้ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ 1
“เจ้าว่าม่านหรงดูแปลกๆ ไปหรือเปล่า”
โจวเหวินหลงเอ่ยถามเพื่อนสนิท ในขณะที่กำลังทำหลังคามุงด้วยหญ้า
“ข้าว่านางเปลี่ยนไปจริงๆ นั่นแหละ เมื่อก่อนนางไม่เคยเอาการเอางานเลย แถมยังห่วงแต่วิ่งเล่นไปทั่ว”
พอคิดถึงเรื่องเมื่อคราวก่อนต้าผางก็เอาแต่ส่ายหัวไปมา
ก่อนหน้านี้ม่านหรงเหลวไหล ทำตัวอย่างกับว่านางไม่สนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ถึงเขาจะพูดจาไม่ดีกับนางบ่อยครั้ง แต่ทุกถ้อยคำเขาล้วนตั้งใจสอนสั่งให้นางเป็นคนดี
คาดไม่ถึงว่าคำสอนของเขาจะทำให้นางเคืองโกรธ แถมยังแสดงสีหน้าขึงขังไม่พอใจกลับมา
“แต่ที่ข้าเห็น วันนี้นางไม่เหมือนเดิมเลยนะ นางชวนหลิวเหยาไปเก็บหน่อไม้ แถมยังรู้วิธีใช้งานคันโยกประหลาดนี่อีกด้วย ใช่สิต้าผาง!! ไอ้คันโยกนี้น่ะ… บ้านของพวกเจ้าได้ทำไว้ก่อนหน้าหรือเปล่า”
เหวินหลงหันไปมองทางคันโยกน้ำบาดาลอย่างสงสัย
“ข้าเองก็ไม่เคยเห็นคันโยกนี่มาก่อนเช่นกัน”
ต้าผางมองไปที่คันโยกแล้วขมวดคิ้ว
นั่นสิคันโยกหน้าตาแปลกๆ นี่มันโผล่ขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน เหตุใดเขาถึงไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อน
“แล้ว… ม่านหรง นางรู้ได้อย่างไรว่ามีสิ่งนี้อยู่?”
โจวเหวินหลงกับต้าผางหันไปมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“นั่นสิ ม่านหรงนางรู้ได้อย่างไร?”
ต้าผางไม่เคยเห็นคันโยกนี้มาก่อน แถมนี่ก็นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้มาที่ตีนเขานี้ ม่านหรงนางรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสิ่งนั้นคือคันโยกน้ำบาดาล
ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับม่านหรงแน่ๆ!!
เหวินหลงขมวดคิ้ว ส่วนต้าผางก็เอาแต่หันไปทิศทางที่ภรรยาและลูกสาวจากไป
“เลิกมองได้แล้วน่า ถ้าเจ้าห่วงพวกเขา ก็รีบๆ มาทำที่พักนี่ให้เสร็จเร็วๆ จะไม่ดีกว่าหรือ”
เหวินหลงรีบร้องเตือนเพื่อนรัก เพราะหากบ้านยังไม่แล้วเสร็จอีก คืนนี้พวกเขาคงได้นอนกลางดินกันจริงๆ แล้ว
“พวกนางไปแค่ตีนเขาข้าไม่ได้ห่วงอะไรขนาดนั้น ข้าแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของข้ากันแน่ ก็แค่นั้น…”
ต้าผางถอนหายใจออกมาพลางเร่งมือทำบ้านพัก
“จะเกิดอะไรขึ้นได้เล่า นางก็พึ่งมาที่นี่พร้อมกันกับเจ้า บางทีนางอาจเดินมาเห็นของแปลกใหม่ แล้วพบว่ามันมีน้ำจึงพูดเป็นตุเป็นตะออกมาว่าน้ำนี้มาจากดินก็เป็นได้”
“ที่เจ้าพูดมา ก็มีเหตุผล”
ไป๋ต้าผางผ่อนลมหายใจออกมา
แต่พอคิดไปคิดมามันก็ประหลาดโดยแท้ ก่อนหน้านี้เขาไม่ยักจะสังเกตเห็นคันโยกนี้เลย จนกระทั่งขุดหลุมทำเสาค้ำยันบ้านหลังน้อยนี้เสร็จคันโยกนี้ถึงได้ปรากฏขึ้นมา ยิ่งคิดยิ่งพิลึกนัก
“เหวินหลง ข้าถามเจ้าสักหน่อยเถอะ”
ต้าผางคลาแคลงใจเขาอดไม่ไหวจึงเอื้อนเอ่ยถาม
“มีอันใดหรือต้าผาง?”
โจวเหวินหลงที่กำลังเร่งมือทำหลังคาจากหญ้าแห้ง หันไปทางต้าผางที่กำลังผ่าไม้ไผ่เป็นซีกๆ เพื่อเอาไว้ยึดติดใบหญ้าไม่ให้ร่วงหล่น
“ตอนที่พวกเรามาถึง เจ้าสังเกตเห็นคันโยกนี้หรือไม่”
ต้าผางสบตากับเพื่อนรักและคาดหวังว่าเขาจะเห็นสิ่งนี้ก่อนหน้า
“ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ อืมมมม ข้าไม่ทันได้สังเกตด้วยสิ แต่ว่ามันดูเหมือนจะไม่เคยมีมาก่อนนะ เพราะตอนที่เรารื้อกระท่อมหลังเก่าออก รอบๆ นี้ก็โล่งเตียนไปหมด”
สองชายชาตรีมองหน้ากันทันที หลังจากคิดอย่างรอบคอบ สองบุรุษก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เรื่องนี้มันชักจะทะแม่งๆ ขึ้นมาชอบกลแล้วสิ
“จู่ๆ มันจะปรากฏออกมาได้อย่างไร”
ต้าผางหวั่นวิตกจนหน้าถอดสี ของสิ่งนี้โผล่ขึ้นมาตอนไหน แล้วมันมาได้อย่างไร ม่านหรงนางรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร และรู้วิธีใช้งานมาจากไหน
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าควรมาใช้ความคิด พวกเรารีบเร่งมือกันเถอะ หากมืดค่ำเป็นเจ้านั่นแหละที่จะพาครอบครัวมาลำบาก”
ถึงเหวินหลงจะเกิดความสงสัย ทว่าเวลาก็หาได้หยุดเดินไม่ เขาจึงต้องบอกให้เพื่อนรักเร่งมือเพื่อทำที่พักให้เรียบร้อยเสียก่อน
“นั่นสินะ ไว้ข้าจะถามไถ่ม่านหรงอีกที วันนี้สร้างที่พักของข้าพรุ่งนี้ค่อยเริ่มสร้างบ้านหลังน้อยให้กับเจ้า แล้วเจ้าคิดไว้หรือยังว่าจะสร้างบ้านพักแบบไหน”
ต้าผางเอ่ยถามเหวินหลงที่มีอันจะกินมากกว่าตน
“ข้าไม่ได้คิดจะทำบ้านช่องใหญ่โตอะไรเทือกนั้นหรอก ข้าแค่อยากได้บ้านที่กว้างหน่อย มีห้องสามห้อง ห้องครัวสักห้อง แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น ในยามนี้ทุกอย่างราคาแพงขึ้นเป็นเท่าตัว แม้มีเงินมากแค่ไหนก็ไม่พอให้จับจ่ายใช้สอย ข้าจำต้องพึ่งพิงไม้ไผ่เช่นเจ้าเพื่อที่จะสร้างที่พักชั่วคราวไปก่อนเช่นกันนั่นแหละ”
“ก็อย่างว่าแหละ ข้าวของราคาแพงขึ้นผิดหูผิดตา หากจะสร้างบ้านในยามนี้ค่าใช้จ่ายคงบานปลายไปไม่น้อย และไม่คุ้มที่จะลงแรงในสถานการณ์เช่นนี้ อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าในแถบหมู่บ้านรอบๆ ก็ประสบภัยทางธรรมชาติไม่ต่างกัน บางที… ข้าหมายถึงว่าหากน้ำลดลงมากกว่าเดิม หมู่บ้านนี้คงจะอยู่ไม่ได้แล้ว”
ไป๋ต้าผางส่ายหัวพลางผ่าไม้ไผ่ในมือไปเรื่อยๆ
“แต่ถ้าคำพูดของม่านหรง เป็นจริงขึ้นมาเล่า”
เหวินหลงยิ้มอย่างมีความหวัง
“ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าสิ่งนี้ใช้งานได้จริงอย่างที่นางพร่ำบอกหรือไม่ เจ้าเองก็อย่าเพิ่งคาดหวังกับสิ่งแปลกประหลาดนี้นักเลย”
ต้าผางขำออกมา เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะมีน้ำออกมาได้นานแค่ไหน หรือแม้แต่เดินไปโยกมันอีกครั้งน้ำจะไหลออกมาอีกหรือเปล่า ดังนั้นเขาจึงได้แต่หัวเราะให้กับโชคชะตาที่มักเล่นตลกกับผู้คน
“ทางนั้นเจ้าค่ะท่านแม่”
ไป๋ม่านหรงชี้มือไปทางหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาจากดิน
“ดูท่า เย็นนี้เราจะมีอาหารเพิ่มมาอีกอย่างแล้วล่ะ”
หลิวเหยายิ้มกว้างออกมาด้วยสายตาเป็นประกาย
“ท่านแม่ด้านนั้นก็มีหน่อไม้ด้วยเจ้าค่ะ”
ม่านหรงยิ้มตาหยีพลางชี้มือไปมั่วๆ ทว่าทางที่นางชี้ไปกลับมีหน่อไม้โผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาจริงๆ
ก่อนหน้านี้…
“ในเมื่อคำสาปแช่งใช้งานได้วันล่ะครั้ง เช่นนั้นวันนี้ข้าขอแช่งให้ท่านแม่เจอหน่อไม้มากมายบนป่าไผ่แห่งนี้”
ข้อความจากระบบ : ท่านใช้งาน ‘ปากสาปแช่ง’ สำเร็จ ขอให้ท่านมีความสุข
หมายเหตุ : ปากสาปแช่ง 1/1เปิดใช้งานแล้ว
“ที่แท้ปากสาปแช่งก็ใช้งานเช่นนี้”
ม่านหรงบ่นพึมพำระหว่างทางที่เดินตามด้านหลังมารดา
“ลูกแม่เจ้าพูดอะไรนะ แม่ฟังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”
“อ้อ ข้าพูดว่า ข้าอยากกินหน่อไม้มากๆ เลยเจ้าค่ะ”
ไป๋ม่านหรงเดินตามมารดาไปพร้อมกับขานตอบ
“อย่าว่าแต่ลูกเลย แม่เองก็คิดถึงหน่อไม้หน่ออวบๆ เช่นกัน แต่พื้นป่าแห้งแล้งแบบนี้ แม่ว่าลูกอย่าคาดหวังมากเกินไปจะดีกว่านะ”
ไป๋หลิวเหยาปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก แล้วเดินไปตามเส้นทางขึ้นเชิงเขาอย่างช้าๆ
“ก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ก็รู้ว่าที่ท้องทุ่งเป็นเช่นนี้ก็เพราะปากของข้า บางทีหากข้ากลับคำพูดในครั้งนั้น ทุกอย่างอาจจะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาก็เป็นได้”
“โถ่ลูกแม่ เจ้าหน่ะฟังคำคนอื่นจนเก็บมาคิดฟุ้งซ่านมากไปสินะ คำสาปแช่งนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอกนะ พวกเขาเพียงแค่หาที่ระบาย และลูกก็เป็นตัวเลือกที่พวกเขาหยิบยกขึ้นมาพูดเพ้อเจ้อไปวันๆ เจ้าอย่าได้เก็บคำดูถูกเหล่านั้นมาใส่ใจมากนักเลย”
“ท่านแม่คิดเช่นนั้นหรือเจ้าคะ แล้วด้วยเหตุใด ผู้คนถึงต่อว่าข้า อีกทั้งยังขว้างปาข้าวของใส่ข้าด้วยล่ะเจ้าคะ”
จู่ๆ ความอัดอั้นตันใจของเจ้าของร่างเดิมก็ผุดขึ้นมาในหัว ในความทรงจำนั้นมีแต่ผู้คนคอยรังแกนาง อย่าว่าแต่เพื่อนบ้านเลย แม้แต่ย่าแท้ๆ ของนางยังไม่ชอบนางเลยสักนิด แถมบางครั้งท่านย่าของนางยังต่อว่านางเสียๆ หายๆ ว่านางเป็นตัวอับโชค
ไป๋หลิวเหยาได้ยินเช่นนั้นก็พลันรู้สึกใจสั่นสะท้าน นางรู้ว่าก่อนหน้านี้ลูกสาวได้รับความอยุติธรรมมามากโข ถึงนางจะอ้าปากป่าวประกาศไปหลายต่อหลายครั้งว่าม่านหรงหาใช่ตัวอับโชคไม่ แต่สุดท้ายผู้คนที่หน้าซื่อใจคดก็ไม่ยอมเลิกราวีบุตรสาวของนาง จนมีข่าวลือแพร่ไปทั่วว่าที่ผืนดินแห้งแล้งล้วนเป็นเพราะปากพาซวยของม่านหรงนั่นเอง
“ลูกแม่”
หลิวเหยายืนตัวสั่นก่อนจะหันหลังกลับมาโอบกอดบุตรสาวที่นางรักดั่งดวงใจ
“แม่ผิดเองที่ปกป้องลูกไม่ได้ ห้ามปากผู้คนก็ไม่ได้ แถมยังทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน”
หลิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา นางกอดลูกสาวไว้แน่น ก่อนหน้านี้ม่านหรงไม่เคยเอ่ยคำถามเช่นนี้มาก่อนเลย นางเพียงแต่นั่งนิ่งเงียบและช่วยงานตนอย่างไม่ปริปาก ถึงนางจะชอบออกไปเที่ยวเล่นบ้าง แต่นางก็ไม่เคยไปสร้างเรื่องรำคาญให้ผู้ใด มีแต่ฝูงชนพวกนั้นที่คอยก่นด่านางเพื่อระบายโทสะและความตึงเครียดของพวกเขา
“ท่านแม่ หากเป็นข้าที่สาปแช่งให้พื้นดินนี้แห้งแล้งจริงๆ ล่ะเจ้าคะ”
ม่านหรงเช็ดน้ำตาที่ปริ่มขึ้นมาออกไป
“หากเป็นเช่นนั้น ลูกก็ควรวางความโกรธแค้นนั้นลงแล้วเริ่มต้นใหม่เถอะนะ”
หลิวเหยารู้ดีว่าที่บุตรสาวพูดออกมาเช่นนี้เป็นเพราะความกดดันจากชาวบ้าน เด็กตัวเล็กๆ จะมีความสามารถเก่งกาจเช่นนั้นได้อย่างไร
“นั่นสินะเจ้าคะ แค่วางความโกรธลง แล้วเริ่มใหม่”
ม่านหรงกระชับอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะบอกท่านแม่ไปว่านางไม่เป็นไรแล้ว และชวนท่านแม่ของตนไปหาหน่อไม้ก่อนที่จะมืดค่ำ
…
“หน่อไม้เยอะเพียงนี้เชียวหรือ”
ไป๋หลิวเหยามองตามนิ้วมือเล็กๆ ของบุตรสาวแล้วอุทานออกมาอย่างตกใจ
“ท่านแม่ไม่ดีใจหรือเจ้าคะ”
ม่านหรงเห็นมารดานิ่งยืนอึ้งก็พลันยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา
“เด็กดี เจ้าหาได้เป็นตัวอับโชคไม่ แต่เจ้าคือตัวนำโชคของแม่โดยแท้”
หลิวเหยาเดินไปกอดบุตรสาวก่อนจะหอมหน้าผากมนของนางหนึ่งที แล้วเดินเร็วๆ ไปที่หน่อไม้มากมาย หลิวเหยาย่อตัวลงกับพื้นแล้วใช้มืออันหยาบกร้านหักยอดอ่อนของหน่อไม้ทีละหน่ออย่างเร่งรีบ
ม่านหรงได้แต่ยืนกอดอกมองดูมารดาที่ค่อยๆ เก็บหน่อไม้อย่างพอใจ
บนภูเขานี้ก็แห้งแล้งมากจริงๆ อันที่จริงบนเขาควรเต็มไปด้วยต้นไม้กอหญ้า และพืชผลนานาพันธุ์ แต่ดูจากสายตาเปล่าๆ ก็มองออกว่าภัยแล้งลุกลามไปทุกหย่อมหญ้า ดูท่าม่านหรงคนก่อนจะโกรธแค้นมากเหนือคณนาจึงได้ลั่นวาจาเช่นนั้นออกไป บางทีปากสาปแช่งนี้อาจจะติดตัวเจ้าของร่างมาตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้
หนึ่งก้านธูปผ่านไป (สิบห้านาที)
ไป๋หลิวเหยากับม่านหลงเดินลงมาจากเชิงเขา ม่านหรงถือกิ่งไม้แห้งช่วยมารดา ส่วนหลิวเหยาใช้เสื้อตัวนอกห่อหน่อไม้กลุ่มใหญ่ลงมาจากเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ท่านพี่ พี่ชายโจว พวกท่านดูสิ่งนี้สิเจ้าคะ”
ไป๋หลิวเหยารีบวางเสื้อตัวนอกลงกับพื้นแล้วเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
“นี่มันหน่อไม้ไม่ใช่หรือ เจ้าได้สิ่งนี้มาจากที่ใด”
โจวเหวินหลงเปิกตาโตอย่างคาดไม่ถึง ก่อนหน้าเขากับต้าผางก็มองดูโดยรอบแล้วแท้ๆ ว่าไม่มีทางที่จะมีหน่อไม้แม้แต่หน่อเดียว แต่พอม่านหรงกับหลิวเหยาขึ้นเขาไปเพียงชั่วครู่ พวกนางกลับหอบอุ้มหน่อไม้มากมายลงเขามา ‘เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะตาฝ้าฟางแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคือหน่อไม้ อันไหนคือต้นไผ่ นี่มันแปลกเกินไปแล้ว’
“พอข้าเดินขึ้นไปบนเชิงเขาแถบป่าไผ่ ม่านหรงนางก็ชี้มือบอกว่าตรงไหนมีหน่อไม้ พอข้ามองไปตามทางที่นางว่าก็มีหน่อไม้อ่อนๆ มากมายเต็มไปหมดจนเก็บไม่หวาดไม่ไหว หากพี่โจวจะกลับบ้าน ท่านก็แวะขึ้นไปเก็บเสียหน่อยนะเจ้าคะ ด้านบนยังมีหน่อไม้งามๆ อยู่อีกมากเลยล่ะเจ้าค่ะ”
ไป๋หลิวเหยายิ้มออกมาด้วยความดีใจ ม่านหรงที่ยืนอยู่ข้างกันหอบเอากิ่งไม้แห้งไปวางข้างเตาไฟที่ท่านแม่ก่อไว้ก่อนหน้า แล้วเดินเร็วๆ ไปโยกคันโยกบาดาลเพื่อล้างหน้าล้างตาให้คลายร้อน
‘อากาศร้อนมากจริงๆ เดินขึ้นลงเขานิดหน่อยก็ลิ้นห้อยเหมือนเจ้าด่างซะแล้ว’
ม่านหรงไม่ได้ดูสีหน้าของท่านพ่อที่จับจ้องมาทางนางเลยด้วยซ้ำ นางมัวแต่ดื่มกินน้ำจากคันโยกโดยไม่สนสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่นิด
ต้าผางกับเหวินหลงหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง ทั้งสองขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ตอนที่พวกเขาทั้งสองขึ้นเชิงเขาไปใช่ว่าจะมองไม่เห็น แต่ว่าบนเขาแห้งแล้งมากต้นหญ้ามีเพียงประปราย ไหนเลยจะยังมีหน่อไม้มากมายเช่นนี้โผล่ออกมา
