ตอนที่ 2 แยกบ้าน
“ท่านพี่ ท่านจะบอกข้าว่า พวกเราสามพ่อแม่ลูก จะย้ายออกจากบ้านหลักหรือเจ้าคะ”
ไป๋หลิวเหยา ภรรยาของไป๋ต้าผางวัยยี่สิบเจ็ดปีเลิกคิ้วถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ครั้งนี้ท่านแม่ถึงกับเอ่ยปากออกมาเอง ข้าคงไม่รั้งอยู่ต่อแล้วล่ะ”
ไป๋ต้าผางระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา
“ม่านหรง นางเป็นเช่นไรบ้าง”
ต้าผางหันเข้าไปในห้องนอนขนาดกลาง ที่สามพ่อแม่ลูกนอนแออัดร่วมกันอยู่ทุกวัน
“ท่านพี่ท่านอย่ากังวลไป ข้าเปลี่ยนชุดให้ม่านหรงแล้ว นางคงแค่ตกใจจึงสลบไปเพียงเท่านั้น เรื่องแยกบ้าน…”
หลิวเหยาสบตาสามีอย่างกังวลใจ หากต้องแยกบ้านในยามนี้ แล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ใดได้อีก
“ท่านแม่บอกแล้วว่า ท่านจะยกที่ตรงเชิงเขาให้กับพวกเรา ที่ตรงนั้นห่างไกลจากผู้คน ท่านแม่ท่านหวังว่าม่านหรงจะไม่กลับมาวุ่นวายกับท่านได้อีก”
“หา! ที่ตรงเชิงเขาที่มีที่นาทำกินห้าหมู่นั่นหน่ะหรือ?”
ไป๋หลิวเหยาอุทานออกมาด้วยความตกใจ
หากเป็นเมื่อก่อนที่น้ำดี ดินดี นางคงดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว
ทว่าในยามที่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ ท่านแม่กลับไล่พวกนางไปอยู่ติดตีนเขา นั่นไม่เท่ากับว่า พวกนางถูกตัดหางปล่อยวัดไปแล้วหรอกหรือ
“ข้าจำได้ว่า ที่แปลงนั้น มีกระท่อมหลังน้อยอยู่หลังหนึ่ง พอไปถึงที่นั่นแล้วซ่อมแซมนิดหน่อย ก็น่าจะพอถูไถอยู่ได้”
“ท่านพี่…”
ไป๋หลิวเหยาแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นการเดิมพันด้วยชีวิต ทางข้างหน้าดูท่าว่านางกับสามีคงต้องลำบาก และต้องหาบน้ำไปที่เชิงเขาทุกวันเสียแล้ว
“อย่ากังวล ข้ารับปากว่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าทนทุกข์นานเกินไป ข้าจะรีบสร้างตัวในเร็ววัน”
ไป๋ต้าผางดึงเมียรักเข้ามาสวมกอด
“น้องสะใภ้!”
เสียงเล็กๆ แหลมๆ ของไป๋ซีหนิงพูดขึ้นพร้อมกับเดินถือถุงเงินมาหนึ่งใบ
“นี่เป็นส่วนที่ท่านแม่แบ่งให้พวกเจ้า ที่ห้าหมู่ตรงนั้นเมื่อก่อนมันเคยอุดมสมบูรณ์มาก หวังว่าพวกเจ้าจะอดทนฟันฝ่ามันไปได้ ดูแลตนเองดีๆ นะ ข้าไม่ส่ง”
ทันทีที่ไป๋ซีหนิงกล่าวคำร่ำลาอย่างไม่เต็มใจจบ นางก็เดินเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือดีแล้วจากไป
“ท่านแม่รีบร้อนถึงขนาดนี้เชียวรึ?”
ไป๋ต้าผางก้มมองถุงเงินอีแปะในมือ ข้างในถุงเงินยังเขียนจดหมายตัดความสัมพันธ์ และมอบที่ดินให้ห้าหมู่อีกด้วย
รีบร้อนขนาดนี้ท่านแม่คงอยากจะเร่งรัดให้พวกเรารีบออกเดินทางกระมัง
เฮ้อ ม่านหรงก็เป็นหลานสาวของท่านเช่นกัน เหตุใดท่านถึงใจร้ายกับนางเช่นนี้
ไป๋ต้าผางหันไปทางภรรยาที่ยืนน้ำตาคลอ ก่อนจะบอกให้นางไปเก็บเสื้อผ้า เมื่อเก็บเสื้อผ้าใส่ห่อผ้าได้สี่ห่อแล้ว ไป๋ต้าผางก็อุ้มบุตรสาวขึ้นมาแบกไว้ด้านหลัง หลิวเหยาเดินเคียงข้างนางคอยประคองบุตรสาวไว้ ด้วยกลัวว่านางจะตกหล่น
สองผัวเมียเดินออกมาจากลานบ้านสกุลไป๋ด้วยขอบตาที่แดงก่ำ
“รีบไปเถอะ หากชักช้าแล้วนางตัวซวยนั่นตื่นขึ้นมาก่อน …พวกเจ้าจะแย่เอาได้นะ”
ไป๋ซีหนิงเห็นว่าสองผัวเมียอืดอาดชักช้า นางจึงเดินออกมาจากตัวบ้าน ยืนเท้าสะเอวร้องบอกอย่างไม่สบอารมณ์
ไป๋ต้าผางหันกลับไปมองทางพี่สะใภ้เล็กน้อย ไป๋ซีหนิงจึงหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่รู้สึกรู้สา
บ้านหลังนี้ไม่ต้องการให้เขากับครอบครัวอยู่ต่อแม้แต่เพียงครู่เดียวเลยสินะ
“ไปกันเถอะ”
ไป๋ต้าผางหันไปพยักหน้าให้เมียรัก
“เจ้าค่ะ”
ไป๋หลิวเหยายิ้มตอบรับ แม้ว่าในใจจะเศร้าโศกก็ตาม
นางอาลัยที่ต้องจากบ้านที่เคยอยู่มานานกว่าสิบปี ทั้งยังคิดไม่ตกว่านางกับลูกจะใช้ชีวิตกันอย่างไรในภายหน้า
เชิงเขานั้นแห้งแล้งไม่ต่างจากพื้นดิน ทั้งยังห่างไกลจากแหล่งน้ำมากโข ดูท่าแล้ว ชีวิตช่วงหลังของนาง คงจะทุกข์มากกว่าสุขเป็นแน่
“เกิดอะไรขึ้นหรือต้าผาง เหตุใดเจ้าถึงได้หอบผ้าหอบผ่อนออกมาจากบ้าน เจ้าทำอย่างกับว่า เจ้าจะย้ายที่อยู่อาศัยอย่างนั้นแหละ”
โจวเหวินหลง เพื่อนสนิทของไป๋ต้าผางเอ่ยถามพลางหัวเราะ
“เหวินหลง เจ้าคิดถูกแล้วล่ะ ข้ากับครอบครัวของข้าแยกบ้านออกมาแล้ว”
ไป๋ต้าผางกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อโจวเหวินหลงได้ยินคำตอบของเพื่อนรัก เขาก็เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน
“เอ่อ… ที่บ้านข้ามีเกวียนลา เจ้าจะไปที่ใด …เดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าเอง”
โจวเหวินหลงสัมผัสได้ถึงแววตาจริงจัง เขาจึงรีบเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยสีหน้าห่วงใย
ตอนแรกเขาแค่พูดหยอกล้อต้าผางไปเช่นนั้น แต่คำตอบที่เขาได้รับกลับมาไม่มีความยินดีแฝงอยู่เลย
แม้ว่าเขาอยากจะถามเพื่อนรักเหลือเกินว่า เกิดอะไรขึ้น แต่ดูจากสถานการณ์ในยามนี้ เขากลับไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามออกไปแม้แต่คำเดียว โจวเหวินหลงจึงทำได้แค่อาสาจะไปส่งพวกเขา
“ข้าจะไปที่ตีนเขา”
ต้าผางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยๆ เหวินหลงก็ไม่ใช่คนที่ถามซอกแซก เพื่อทำให้คนอื่นเกิดความไม่สบายใจ
“เชิงเขาลูกนั้นหน่ะหรือ?”
โจวเหวินหลงยกคิ้วหนาขึ้นอย่างสงสัย ทว่าเขาก็ทำได้แค่รีบวิ่งเร็วๆ กลับบ้านไป แล้วนำเกวียนลาออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง…
ไป๋ต้าผางเดินแบกลูกสาวมาถึงทางออกท้ายหมู่บ้าน ระหว่างทางก็มีเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนดังแว่วมา นั่นยิ่งทำให้หลิวเหยามีความไม่มั่นใจในการดำรงชีวิตต่อ
“ข้าได้ยินมาจากปากของแม่นางซีหนิง ว่า ครอบครัวเล็กของบ้านไป๋แยกบ้านออกมาแล้ว แถมแม่ของต้าผางยังยกที่ดินเปล่าที่ติดกับเชิงเขาทางด้านโน้นให้พวกเขา ตั้งห้าหมู่เชียวนะ!”
“โอ้โห! ที่ดินห้าหมู่เชียว”
“เจ้าจะไปตกใจอะไรกับที่ดินห้าหมู่ ในเวลาแบบนี้ แม้มีที่ดินเป็นร้อยหมู่ มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”
“นั่นหน่ะสิ ที่ตรงนั้นติดกับเชิงเขา และยังไกลจากหมู่บ้านมาก ใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วยาม (หนึ่งชั่วโมง) เลยนะกว่าจะไปถึงที่นั่นได้”
“ข้าว่านะ ไป๋ฟางเยว่ผู้นี้ คงจะอยากให้ม่านหรงไปอยู่ไกลๆ หู ไกลๆ ตานั่นแหละ”
“พูดถึงเรื่องของม่านหรง จริงๆ นางก็ไม่เคยทำร้ายใครเลยนะ เห็นมีแต่คนอื่นนั่นแหละ ที่คอยรังแกนาง”
“เจ้าอย่าทำมาเป็นพูดดีไปหน่อยเลย เมื่อวานก่อน ข้ายังเห็นเจ้าตะโกนด่าทอนางอยู่เลย”
“แล้วมันจะทำไม? ทีเจ้ายังด่านางได้เลย แล้วเหตุใดข้าจะด่านางบ้างไม่ได้”
เสียงพูดคุยจอแจตามเส้นทางดังขึ้นเรื่อยๆ ข่าวที่ว่าไป๋ต้าผางแยกบ้านอยู่ก็ถูกป่าวประกาศออกไปอย่างรวดเร็ว อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องขำขัน
“ต้าผางข้ามาแล้ว!!”
โจวเหวินหลงนั่งเกวียนลามา เขาหยุดเกวียนลาข้างๆ ไป๋ต้าผาง แถมยังช่วยอุ้มม่านหรงขึ้นไปบนเกวียนสี่ล้อนั่นด้วย
“ขอบใจนะเหวินหลง”
ต้าผางถอนหายใจยาวๆ ออกมาอีกครั้ง
“หากอยากขอบใจข้า ในตอนที่เจ้าได้ดีก็อย่าลืมข้าซะล่ะ เข้าใจหรือไม่”
เหวินหลงยกยิ้ม เขาอยากให้เพื่อนรักยิ้มออกมาบ้าง แม้รอยยิ้มนั้นจะแฝงไปด้วยความระทมใจก็ตาม
เมื่อครอบครัวของต้าผางขึ้นเกวียนลากันครบ เกวียนที่มีลาสองตัวคอยลาก ก็เดินออกไปทางท้ายหมู่บ้านอย่างช้าๆ
“…อย่าร้อง”
ไป๋ต้าผางหันไปปลอบภรรยาที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
“…”
ไป๋หลิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองสามีที่นั่งข้างกัน แต่ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากของนางเลย
นางจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อย่างไร ทางข้างหน้านางย่อมรู้ดีว่าจะมีแต่ปัญหารออยู่ นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งแม้จะปลอบประโลมจิตใจตนเองมาตลอดทาง แต่ความเข้มแข็งของนางก็พังทลายลงอยู่ดี
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะอยู่กับเจ้า ไม่ทอดทิ้งไปไหน”
นี่คือคำมั่นของบุรุษที่ไม่เคยหลอกลวงนางแม้แต่นิด ทันทีที่ถ้อยคำหวานหูกล่าวออกมา ดวงใจน้อยๆ ของหลิวเหยาก็พลันอบอุ่นขึ้น
“เจ้าเห็นตุ่มน้ำนั่นไหม ข้าใส่น้ำมาด้วยครึ่งตุ่มเลยนะ”
โจวเหวินหลงหันหลังกลับมาบอกเพื่อนรัก และฉุดดึงพวกเขาออกมาจากความทุกข์
“อืม ข้าเห็นแล้ว”
ไป๋ต้าผางหันไปมองตุ่มน้ำขนาดกลาง เพื่อไม่ให้ตุ่มน้ำได้รับความเสียหาย รอบๆ ตุ่มใบนั้นจึงมีเชือกฟางพันเอาไว้อย่างดี
“ข้ายกมันให้เจ้าแล้วนะ วันข้างหน้าข้าจะได้ไปเที่ยวหาเจ้าบ่อยๆ”
โจวเหวินหลงยิ้มกว้าง
“ขอบใจเจ้านะ แม้ว่าข้าจะยังไม่มีสิ่งตอบแทน…”
“เจ้าจะพูดถึงแต่สิ่งตอบแทนไปถึงเมื่อใด ข้าหน่ะ เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของเจ้าเลยนะ อีกอย่าง ครอบครัวของข้าก็พอมีอันจะกินอยู่บ้าง เจ้าไม่สังเกตเลยหรือ ข้างๆ ตุ่มน้ำยังมีข้าวสาร หัวมัน แล้วก็ไข่ไก่ด้วย ของเหล่านั้นเป็นภรรยาของข้าที่เตรียมมาให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ นางกลัวว่าพวกเจ้าจะพากันอดตาย เป็นอย่างไร? ซาบซึ้งมากเลยใช่หรือไม่”
โจวเหวินหลงฉีกยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ขอบคุณพี่โจวกับพี่สาวโจวมากๆ นะเจ้าคะ”
ไป๋หลิวเหยาตื้นตันใจจนน้ำตาไหลริน นางคิดไม่ถึงว่าพี่โจวจะดีกับสามีของนางได้ขนาดนี้ ในยามนี้ทุกบ้านต่างเก็บตุนสิ่งของเอาไว้ ยากนักที่จะเห็นใจผู้อื่น แต่โจวเหวินหลงคนนี้ถึงกลับยอมยกข้าวสาร ไข่ไก่ รวมทั้งหัวมันมากกว่าสิบหัวให้กับพวกเขา
ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย
หลิวเหยาหันไปสบตาสามี ในยามที่ทุกข์ยาก อย่างน้อยๆ ก็ได้เจอกับมิตรภาพที่ดี สิ่งของเหล่านี้ช่วยต่อลมหายใจของพวกเขาไปได้อีกหลายวันเลยทีเดียว
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกหลิวเหยา เมื่อก่อนต้าผางก็คอยช่วยข้าเสมอ ในยามเช่นนี้ ข้าก็ควรจะช่วยพวกเจ้าบ้าง ถึงจะเล็กน้อย แต่ข้าก็หวังว่ามันจะช่วยพวกเจ้าได้บ้างนะ”
โจวเหวินหลงยกยิ้มพอใจ
“มันไม่เล็กน้อย ข้าซึ้งใจจนน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว”
ไป๋ต้าผางหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับม่านหรงหรือ ข้าเห็นนางนอนสลบแบบนั้นมาสักพักแล้วนะ”
ในที่สุด โจวเหวินหลงก็อดทนต่อความสงสัยของตัวเองไม่อยู่ จึงได้ถามออกไปด้วยคำพูดเชิงกังวล
“นางขโมยข้าวสารถุงสุดท้ายที่เหลืออยู่ไปให้พ่อหนุ่มแซ่ฟาง”
เสียงตอบของต้าผางดูเบาลง
“ชายแซ่ฟาง เจ้าหมายถึงฟางจางหลางนั่นหน่ะหรือ”
โจวเหวินหลงเอียงคอกลับไปถามอย่างสงสัย จางหลางมีคนรักเคียงกายแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดม่านหรงถึงได้ไปข้องแวะกับคนแบบนั้นเสียได้
“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอันใดขึ้น”
ต้าผางระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“นางน่าจะถูกจางหลางล่อลวง ชายคนนั้นมีดีแค่หน้าตา แถมยังชอบใช้ใบหน้าเพื่อหากิน เป็นไปได้ว่าจางหลางพูดข้อตกลงกับนางสักอย่าง แต่หลังจากที่ได้สิ่งของมามากพอ เขาก็สลัดนางทิ้งไป”
“เหมือนข้าจะเคยได้ยินชื่อนี้จากปากของม่านหรง แต่ตอนนั้นนางพูดแค่ว่าฝ่ายชายมีใจ ข้าเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องแปลก เพราะม่านหรงชอบคิดเองเออเอง ใครจะไปรู้ว่านางกำลังถูกหลอกใช้ …ข้านี่ช่างเป็นแม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
ไป๋หลิวเหยาบ่นให้ตัวเองที่มัวแต่ทำงานบ้านงกๆ จนลืมสังเกตท่าทีของบุตรสาวไปเสียสนิท
“หลิวเหยา เจ้าอย่าได้โทษตัวเองไปเลย มีหญิงสาวอีกหลายคนที่ถูกชายคนนี้หลอกล่อ แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้ๆ นั่นแหละ ไม่มีใครกล้าเอาความโง่เขลาของตนเองออกมาประจาน ดังนั้นเรื่องแย่ๆ ของจางหลางจึงไม่เคยถูกเปิดเผยออกมา”
โจวเหวินหลงพูดจบก็นิ่งเงียบไป
“เมื่อไหร่ภัยแล้งถึงจะสิ้นสุดลงเสียที”
ไป๋ต้าผางเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องไม่ดีของบุตรสาวอีก
“ข้าก็อยากให้ภัยแล้งนี้ผ่านไปในเร็ววันเช่นกัน”
โจวเหวินหลงหัวเราะแห้งๆ
“มันต้องดีมากแน่ๆ หากฝนตกลงมาสักครั้ง”
โจวเหวินหลงยิ้มร่า เขาคิดถึงช่วงเวลาที่สายฝนโปรยลงมาทั่วทั้งผืนดิน ทำให้สิ่งมีชีวิตและต้นหญ้าฟื้นคืนมาเขียวขจี ความเพ้อฝันของเขามันช่างต่างจากท้องทุ่งที่แตกระแหงในยามนี้ หากเป็นเช่นนั้นได้มันคงจะดีไม่น้อย
