ตอนที่ 1 ข้าจะจากไปเอง
ท้องถนนในยามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟบนเสาเรียงรายทุกๆ สามต้นที่คอยส่องแสงประปรายนำทาง แม้จะเงียบงัน แต่ก็ไม่ได้ดูวังเวงมากจนเกินไป
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนเพื่อที่จะกลับไปยังห้องพัก แต่ทันใดนั้นก็ได้มีรถบรรทุกคันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชนเธออย่างจัง! ร่างของเธอกระเด็นไปกระแทกกับริมฟุตบาทฝั่งตรงข้าม ข้าวของที่เธอเพิ่งซื้อมาจากมินิมาร์ทกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
เอี๊ยดดด….!!!
จู่ๆ รถบรรทุกคันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงก็เหยียบเบรกอย่างกะทันหัน จนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วท้องถนน
“ฉิบหาย!! …แม่ง!! กูชนคนเข้าให้แล้ว เอาไงดีวะ?”
เสียงชายฉกรรจ์ที่ขับรถบรรทุกพูดขึ้นด้วยความร้อนรนใจพร้อมกับทุบมือลงพวงมาลัยแรงๆ ดังตึ้ง!
“ทำไมกูถึงได้ซวยแบบนี้วะ!!”
เอาไงดี ถ้าแจ้งตำรวจพวกเขาต้องรู้แน่ๆ ว่าตนขับรถเร็วเกินมาตรฐาน
ชายฉกรรจ์หันมองซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นใครผ่านทางมาเขาก็ขยี้หัวตัวเองแรงๆ อย่างหงุดหงิด
“โถ่เอ๊ย!! งานก็ยิ่งรีบๆ อยู่ด้วยสิ”
“ช่างแม่งละกัน!!”
คนขับรถบรรทุกพ่นคำหยาบคายออกมา ก่อนจะถอยรถคันใหญ่ไปด้านหลังอย่างเร่งรีบ แล้วขับรถคันนั้นหลบหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
‘ชะ ช่วย ฉัน ด้วย…’
มือที่เต็มไปด้วยเลือดของไป๋ม่านหรงยื่นออกไปทางรถคันใหญ่ ที่ตอนนี้กำลังขับชิ่งหนีไปอย่างไม่แลเหลียว
ตอนนี้ร่างกายของไป๋ม่านหรงเต็มไปด้วยเลือดและรู้สึกชาไปทั้งตัว แต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด เธอรู้เพียงแค่ว่าเธอไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย
ไม่นาน… สติอันน้อยนิดที่เธอพยายามประคองไว้ก็พลันเลือนราง และดับวูบไป…
‘ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมัวแต่เปิดอ่านข้อความจากมือถือ วันนี้ฉันคงไม่ต้องจบชีวิตลงแบบนี้…’
ความคิดสุดท้ายของไป๋ม่านหรงกล่าวโทษตนเองที่ไม่ทันระวังจนต้องมาเจอจุดจบเช่นนี้
…
“อึก!! ปวดหัวจัง”
เสียงเด็กผู้หญิงวัยสิบสองปีพูดขึ้นเบาๆ
“นางอัปลักษณ์ตื่นแล้ว!!”
เด็กกลุ่มหนึ่งที่พากันมุงดูกล่าวขึ้น ก่อนที่เด็กกลุ่มนั้นจะพากันลุกฮือแล้ววิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
“เมื่อครู่ข้าเอาไม้จิ้มไปที่ตัวนางแรงมาก นางตื่นขึ้นมาแล้วจะต้องเอาไม้ไล่หวดข้าแน่ๆ”
เด็กชายวัยสิบปีสับขาสั้นๆ วิ่งออกไป เขาทำอย่างกับว่าหากยังรั้งอยู่ต่อ เขาจะต้องเจอกับเรื่องไม่ดีเข้าจนได้
“เร็วๆ พวกเรารีบวิ่ง!!”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน…
“ม่านหรง… ข้าจะบอกให้เจ้าฟังอีกครั้งนะ ข้าไม่เคยชอบเจ้าเลย! ก่อนหน้าไม่ชอบ หลังจากนี้ก็ไม่มีวันชอบ คนอัปลักษณ์อย่างเจ้าหยุดคิดฝันเฟื่องไปไกลเสียทีเถอะ”
ฟางจางหลางยกยิ้มมุมปาก แล้วก้มมองตัวอัปลักษณ์ตรงหน้า
“พี่ฟาง ท่านบอกว่าหากข้านำข้าวสารมาให้ ท่านจะคบหากับข้าไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ไป๋ม่านหรงที่ทรุดตัวนั่งอยู่กับพื้น เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ตนปรารถนาอย่างไม่เข้าใจ
ก่อนหน้านี้เป็นพี่ฟางเองที่บอกข้าว่า หากนางมอบข้าวสารให้กับเขาหนึ่งถุง เขาจะยอมรับนางเป็นคนรัก
แต่มาบัดนี้ เมื่อเขาได้รับข้าวสารไปแล้ว เขากลับหัวเราะเยาะนาง อีกทั้งยังบอกว่า ร้อยไม่ชอบพันไม่รัก นั่นหมายความว่าข้าวสารถุงสุดท้ายที่นางขโมยมาจากบ้าน มันไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเขา
“เจ้านี่มันโง่งมเสียจริง!”
เสี่ยวเมิ่งหนิงหญิงสาวหน้าตาสะสวย ตะคอกใส่ไป๋ม่านหรง
“เจ้าไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่… พี่ฟางเขารักข้าขนาดนั้น เขาจะมองเห็นความจริงใจของเจ้าได้อย่างไร อีกอย่างเจ้าไม่ลองไปส่องกระจกชะโงกดูเงาของตัวเองบ้าง หน้าอย่างกับว่ามุดออกมาจากโคลนตมแบบนั้น พี่ฟางจะชอบเจ้าลงได้อย่างไร”
เสี่ยวเมิ่งหนิงคว่ำปากแสยะยิ้มอย่างรังเกียจ
“เมิ่งหนิง… ในเมื่อพวกเราได้ข้าวสารมาแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็กลับบ้านกันเถอะ ข้าไม่อยากอยู่ในที่ที่ไม่เจริญหูเจริญตาแบบนี้นานๆ”
ฟางจางหลางโอบไหล่เมิ่งหนิงพร้อมกับชูถุงข้าวสารในมือขึ้นมาอย่างพอใจ
“เที่ยงนี้พวกเราจะกินอะไรกันดี โจ๊กข้าวขาว หรือว่าจะกินอย่างอื่น…”
เสียงชายหนุ่มที่แฝงไปด้วยความหยอกล้อดังขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
“บ้าจริง… ใครให้ท่านมาพูดเรื่องแบบนั้นให้นางได้ยินกัน เดี๋ยวครั้งหน้าท่านก็หลอกใช้นางไม่ได้อีกหรอก”
เสี่ยวเมิ่งหนิงทำท่าตำหนิคนรัก พลางหันหลังกลับไปเยาะเย้ยไป๋ม่านหรง ที่นั่งน้ำตานองหน้า
“หึ! หลอกใช้อะไรกัน! เจ้าไม่เห็นหรือว่าแค่ข้าเอ่ยปาก นางก็รีบมาประเคนข้าวของให้ข้าเอง ข้าไม่ได้บังคับหรือฝืนใจนางเลยแม้แต่นิด”
ชายหนุ่มพูดจาอย่างกับว่าเขาสูงส่งยิ่งกว่าใครๆ
“แหม ก็พี่ฟางของข้ารูปงามขนาดนี้ ใครได้เห็น ก็ต้องตกหลุมรักเป็นธรรมดา”
หญิงสาวทำท่าออดอ้อนออเซาะ ทั้งยังกล่าวคำเยินยอคนรักจนเขายิ้มกว้าง
“เจ้านี่ปากหวานเสียจริง”
ฟางจางหลางใช้มือบีบคลึงสะโพกงามเบาๆ
“พี่ฟาง… รอให้ถึงบ้านของท่านก่อนสิเจ้าคะ ท่านจะมาหยอกล้ออะไรข้าในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ ข้าก็อายสายตาผู้คนเหมือนกันนะเจ้าคะ”
เสี่ยวเมิ่งหนิงทำท่าเอียงอาย แต่ก็กัดริมฝีปากอย่างเย้ายวนหยอกล้อ
“ก็เจ้าน่ากินขนาดนี้ ใครมันจะอดใจไหว เร็วเข้าเถอะ พวกเรารีบกลับบ้านกัน ข้าหิวจนทนไม่ไหวแล้วเนี่ย”
ฟางจางหลางหัวเราะในลำคอพลางส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้เสี่ยวเมิ่งหนิง
“ท่านรู้ตัวหรือไม่ ท่านดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ ในตอนที่ท่านกลืนกินข้า…ทั้งตัว!”
เสี่ยวเมิ่งหนิงพูดจาเนิบช้าประจบเอาใจชายหนุ่ม ทั้งยังหัวเราะคิกคักชอบใจ
ชายชั่วหญิงเลวเดินกอดกันกลมจากไป คนพ่ายแพ้อย่างม่านหรง ได้แต่มองตามหลังพวกเขาผ่านทางม่านน้ำตาที่เอ่อนองขึ้นมาอย่างช้าๆ
ไป๋ม่านหรงกำหมัดกัดฟันแน่น ‘ที่แท้ ทั้งอาหารและข้าวสาร พวกเขาล้วนตั้งใจล่อลวงข้า ข้าก็นึกว่าเขาจะรักข้าด้วยใจจริง ไม่มองที่ร่างกายเสียอีก’ ม่านหรงกลืนความชอกช้ำระกำใจก้อนโตลงคอไป
จะกลับบ้าน ก็กลัวว่าท่านพ่อจะตำหนิ จะก้าวขาไปข้างหน้า นางก็ไร้เรี่ยวแรงจะเดินต่อ
ไป๋ม่านหรงนั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดกล่าว นางลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วกระโดดลงสระน้ำ [1] ข้างๆ ทางเดินทันที
ต้ามมม!!
หลังจากที่ม่านหรงกระโดดลงสระน้ำของหมู่บ้าน ก็เกิดเสียงกระทบกันของผิวน้ำดังขึ้น
‘ในเมื่อบนโลกนี้ไม่มีใครต้องการข้า ท่านพ่อไม่ดีต่อข้า ท่านย่าไม่รักข้า ทุกคนเกลียดการมีอยู่ของข้า เช่นนั้น… ข้าจะจากพวกท่านไปเอง…’
เมื่อความคิดสุดท้ายของไป๋ม่านหรงดับลง จิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยความทุกข์ก็แตกสลาย ร่างเล็กๆ ที่ไร้วิญญาณของไป๋ม่านหรงค่อยๆ จมดิ่งลงไปในสระน้ำของหมู่บ้านอย่างช้าๆ
…
“หืมมมม!!!”
ไป๋ม่านหรงลืมตาขึ้นมาแล้วค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำสายหนึ่งไหลทะลักเข้ามาในหัวจนนางมึนงงและสลบไป
“ทางนั้นขอรับท่านลุงไป๋”
เด็กหนุ่มนามเสิ่นหมิงฮวนนำทางไป๋ต้าผางมายังที่เกิดเหตุ
“ม่านหรง!!”
ต้าผางเห็นร่างลูกสาวนอนสลบอยู่ข้างสระน้ำ จึงร้องเรียกนางด้วยความตื่นตระหนก และวิ่งเข้าไปใกล้ๆ เพื่อประคองนางขึ้นมาจากพื้นดิน
“ท่านลุงไป๋ขอรับ ม่านหรง นางแอบนำข้าวสารมาให้ฟางจางหลาง แต่ฟางจางหลางปฏิเสธความรักของนางอย่างไม่ไยดี ทั้งยังเย้ยเยาะว่านางนั้นไม่คู่ควร หลังจากนั้นม่านหรงนางจึงกระโดดลงสระน้ำของหมู่บ้าน คิดจะจบชีวิตตัวเอง โชคดีที่มีชายหนุ่มผู้หนึ่งผ่านทางมาช่วยเหลือนางไว้ได้ทัน ข้าจึงรีบไปเรียกท่านมายังที่เกิดเหตุ แต่ดูเหมือนชายผู้นั้นจะจากไปเสียแล้ว”
เสิ่นหมิงฮวนเล่าเรื่องราวแบบกระชับได้ใจความให้ไป๋ต้าผางฟัง
“ขอบใจนะหมิงฮวน หากเจ้าไม่ไปตามข้ามา บางทีนางอาจจะนอนหนาวตายอยู่ตรงนี้ก็เป็นได้ ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง ข้ารับปากว่าวันข้างหน้าจะหาสิ่งของมาตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”
ไป๋ต้าผางสวมกอดบุตรสาวไว้แน่น ก่อนจะหันไปบอกเสิ่นหมิงฮวนด้วยความหนักใจ
ตั้งแต่เกิดภัยแล้งมา ทุกหย่อมหญ้าก็แห้งแล้งไปเสียหมด การจะหาสิ่งตอบแทนในยามนี้คงจะเป็นการยาก แต่บุญคุณช่วยเหลือชีวิตก็ไม่อาจละเลยได้ ไป๋ต้าผางแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
ตั้งแต่เกิดมา ม่านหรงก็มักทำตัวต่างจากผู้อื่น นางเข้ากับคนไม่ได้ ทั้งยังมีปานสีแดงที่หางตาข้างซ้ายจนหลายๆ คนมองว่านางอัปลักษณ์ เหมือนกับว่าเกิดมาพร้อมกับคำสาปแช่งทั้งๆ ที่นางก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาทั่วไป
นานวันเข้า ม่านหรงก็ถูกผู้คนปฏิบัติไม่ดีใส่ บางคน เพียงแค่เห็นม่านหรงเดินผ่าน ก็ต่อว่าว่านางเป็นตัวอับโชค บางครั้งพวกเขายังปาข้าวของใส่นางเสียด้วยซ้ำ จากนั้นตั้งแต่นางรู้ความนางก็กลายเป็นคนเก็บตัวไม่พูดไม่จา
จะว่าไปมันก็แปลก หลังจากที่นางอายุได้เก้าปีเต็ม วันหนึ่ง นางโมโหให้เพื่อนบ้านที่ปาเศษอาหารใส่นาง นางจึงโพล่งปากพูดไปว่า ‘อาหารเป็นสิ่งหายาก ต่อไปอาหารดีๆ คงไม่มีให้ท่านกินอีกต่อไปแล้ว’ นับจากวันนั้นมา ภัยแล้งก็คืบคลานเข้ามาทีละนิด จนกระทั่งลุกลามใหญ่โต พูดได้ว่าพื้นดินในตอนนี้ทำการเพราะปลูกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับท่านลุงไป๋ ข้าเต็มใจทำเช่นนี้อยู่แล้ว”
ถึงปากของหมิงฮวนจะพูดไปแบบนั้น ทว่าในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความยินดี
“ข้าพูดแล้วจะไม่คืนคำหรอกนะ วันหน้าข้าจะหาสิ่งตอบแทนให้เจ้าหนึ่งอย่าง”
ไป๋ต้าผางถอดเสื้อตัวนอกของตัวเองมา แล้วคลุมร่างกายให้บุตรสาว เขาอุ้มนางกลับบ้านอย่างเร่งรีบ
“ต้าผางเจ้าว่าอะไรนะ! นางคิดจะจบชีวิตตนเองด้วยการกระโดดน้ำ สวรรค์!! เหตุใดไม่ปล่อยให้นางตายๆ ไปซะ ขืนนางตื่นขึ้นมาอีก นางต้องขโมยของในบ้านของข้าไปขายจนหมดเกลี้ยงเป็นแน่”
ไป๋ฟางเยว่ประกบมือสองข้างเข้าหากัน นางอ้อนวอนต่อสวรรค์และฟ้าดินด้วยความทุกข์ใจ
“ท่านแม่… เหตุใดท่านถึงได้กล่าวเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ม่านหรง …นางก็เป็นคนในครอบครัวของเรานะเจ้าคะ”
ยังไม่ทันที่สะใภ้คนโตจะได้พูดจบ ท่านย่าไป๋ก็ยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วกล่าวแทรกขึ้นมาว่า
“ครอบครัวรึ! เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่จากนี้ไปไม่ใช่แล้ว”
ไป๋ฟางเยว่พูดจบ นางก็ชายตามองไปทางร่างบางที่นอนสลบนิ่ง ในอ้อมแขนของบุตรชายคนเล็ก
“ท่านแม่ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ไป๋ต้าผางที่อุ้มบุตรสาวไว้ในอ้อมแขนเอ่ยถามมารดาผู้ให้กำเนิด
“ข้าจะตัดนางออกจากรายชื่อสกุล เพื่อไม่ให้นางมาอ้างสิทธิ์ใดๆ จากข้าได้อีก!”
ไป๋ฟางเยว่เชิดใบหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส
ในที่สุดท่านแม่ก็คิดได้เสียที ตัดๆ นางออกไป บ้านเราจะได้กินอิ่ม และไม่ต้องคอยระแวงเช่นนี้
ไป๋ซีหนิงภรรยาของไป๋ตงหัว (บุตรชายคนโตของไป๋ฟางเยว่) ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ
“ไม่ได้นะขอรับ หากท่านตัดชื่อนางออกจากสกุล แล้วนางจะใช้ชีวิตต่อได้อย่างไร?”
ไป๋ต้าผางวางบุตรสาวลงพื้นแล้วยืนขึ้นอย่างร้อนใจ
“ต้าผาง! ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้ดีกว่าข้าอีกหรือ ข้าว ผัก หรือแม้แต่เครื่องปรุงอาหาร เป็นบุตรสาวของเจ้าที่นำออกไปให้คนนอกทั้งนั้น ข้าเห็นว่านางเป็นหลานสาวและยังเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ้า ข้าจึงยอมทำเป็นหลับหูหลับตามองไม่เห็นมัน แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเก่า บ้านเราแทบจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว แต่นางยังกล้าที่จะขโมยข้าวสารที่มีเพียงน้อยนิดไปให้คนอื่นอีก เจ้าคิดว่าวิธีนี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ งั้นหรือ?”
ไป๋ฟางเยว่จ้องหน้าลูกชายคนเล็กเขม็ง ทั้งยังชี้ปลายนิ้วไปทางไป๋ม่านหรงที่นอนสลบนิ่งไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ
“เช่นนั้น… ท่านก็ตัดข้ากับภรรยาออกไปด้วยเลยเถอะ”
ไป๋ต้าผางถอนหายใจออกมาเสียงดัง
ถึงม่านหรงจะทำเรื่องไม่ดีมากแค่ไหน สุดท้ายเขาก็ต้องดูแลนางไปจนวันตาย แม้เขาจะต่อว่าลูกสาวอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางจริงๆ เลยสักครั้ง ครั้งนี้ ท่านแม่คงสุดจะทนแล้วจริงๆ แยกบ้านก็ดี จากนี้ท่านแม่จะได้เบาใจ
“…เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม”
ไป๋ฟางเยว่เพ่งมองบุตรชายฉงน
ถึงต้าผางจะแยกบ้านออกไป ข้าก็ยังมีตงหัวที่เป็นลูกชายอีกคนอยู่ดี หากเขารักนางตัวเสนียดนั่นมากนัก ข้าก็จะไม่ขวางทาง ดีซะอีก! จะได้ประหยัดอาหารไปตั้งหลายมื้อ
เมื่อไป๋ฟางเยว่คิดได้เช่นนั้น ในใจของนางก็พลันสัมผัสได้ถึงความสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน
หากไป๋ม่านหรงไม่อยู่ บ้านก็คงจะสงบสุขขึ้นมาไม่น้อย
“ขอรับ ข้าคิดดีแล้ว…”
ไป๋ต้าผางก้มหน้าลงแล้วมองไปทางบุตรสาว
“งั้นเจ้าก็ไปอยู่เชิงเขาด้านนู้นเถอะ ที่แปลงนั้นว่างอยู่ อยู่ห่างๆ จากชุมชนหน่อยถึงจะเป็นเรื่องดี! ทำแบบนั้นลูกสาวของเจ้าจะได้ไม่กลับมาก่อเรื่องได้อีก”
ไป๋ฟางเยว่แอบยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
[1] สระน้ำ เป็นแหล่งน้ำที่หมู่บ้านไท่ซางนำน้ำไปใช้สอย เช่น อาบน้ำ ซักผ้าฯ บ่อน้ำ เป็นบ่อขนาดกลางที่คนในหมู่บ้านนำไปดื่มกิน
