๓ คลางแคลงใจ (๒)
ก่อนออกไปทำงานก็มีอาหารเช้าให้กิน โดยแม่ครับจำเป็นสวมผ้ากันเปื้อนเฝ้าหน้าเตาแต่เช้า พอร่างสูงเดินมานั่งยังโต๊ะอาหารก็เสิร์ฟกาแฟดำและขนมปังทาเนยถั่วกับอโวคาโด้ที่คว้าเนื้อวางซ้อนเรียงบนจานอย่างเป็นระเบียบ เขารับประทานอย่างเอร็ดอร่อยแล้วค่อยถามถึงธุระที่จิรัศยาจะทำในวันนี้
“เย็นนี้ว่างไหม พี่อยากชวนไปดินเนอร์แต่พี่น่าจะเลิกงานค่ำ...เอยไปถึงร้านก่อนแล้วพี่จะรีบตามไป” มือบางชะงักชั่วครู่ สบตาเขาแล้วค่อยถามด้วยความใคร่รู้ คบกันมาเดือนกว่าแล้วยังไม่เคยออกไปไหนกับหนุ่มคนดังสองต่อสอง เกรงว่าคนจะถ่ายภาพแล้วเอาไปลงข่าว ส่วนมากจึงทำกิจกรรมอยู่ในห้อง
หรือไม่อย่างนั้นก็ออกไปดูภาพยนตร์รอบสุดท้ายยามค่ำคืน แต่คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายชวนเธอก่อน
“ไม่กลัวคนอื่นเห็นเหรอคะ”
“ร้านไพรเวท ไม่มีใครสนใจกันหรอก” เมื่อได้ยินอย่างนั้นค่อยเบาใจ
“ได้ค่ะ” พยักหน้าตอบรับด้วยความยินดี กินอาหารเช้าเรียบร้อยก็ส่งเขาไปทำงาน ส่วนตนก็เริ่มทำงานของตัวเองจนถึงค่ำ ค่อยนึกได้ว่านัดเขาไปร้านอาหารจึงรีบลุกมาเลือกเสื้อผ้าที่ดูดีที่สุดของตัวเอง มีชุดเดรสที่พอจะสวมได้โดยไม่อายใครแค่ตัวเดียว จึงต้องหยิบมาใส่แล้วแต่งหน้าพองามถึงจะไม่ค่อยมั่นใจก็ตาม
หยิบกระเป๋าแล้วโบกแท็กซี่เพื่อไปยังร้านที่เขานัดเอาไว้ เธอรู้จักและคุ้นชินกับที่นี่เป็นอย่างดี ครั้งยังเป็นคุณหนูของบ้านนริศร์ธรก็ขับรถมากินอาหารที่นี่บ่อยครั้ง แต่เมื่อสิ้นเนื้อประดาตัวก็ไม่อาจใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ต้องประหยัดหมดทุกอย่างเพื่อหาเงินจ่ายหนี้
จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้ก้าวเข้ามาในร้านอาหารอิตาเลี่ยน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมคงความคลาสสิคและหรูหราเอาไว้ เพียงแค่บอกชื่อกับบริกรก็ถูกนำไปยังโต๊ะที่ติดริมหน้าต่าง ก่อนจะรับน้ำเปล่ามาดื่มระหว่างรอคนรัก
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นเขาเดินเข้ามาจนเริ่มเป็นกังวล กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายหรือเปล่า
“ทำไมยังไม่มาอีกนะ” พึมพำแล้วมองที่ประตูไม่เคลื่อนสายตาไปทางอื่น กระทั่งมีคนเดินผ่านแล้วคุ้นหน้าจนเธอต้องหันไปมอง จึงได้สบตากับชายที่ไม่ต้องการพบหน้ามากที่สุดในตอนนี้ หล่อนรีบผินหน้าหลบแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน
เพราะเขาเดินตรงเข้ามาทักทายเธอแล้ว...
“อ้าว นึกว่าใคร...ที่แท้ก็คุณหนูตกสวรรค์นี่เอง สวัสดีครับน้องเอย” นอกจากเรียกชื่อยังยกมือขึ้นมาวางบนไหล่บางจนเธอต้องขยับกายหนี ขนาดข้างกายของเขามีผู้หญิงมาด้วย ยังไม่วายกระทำรุ่มร่ามกับเธอโดยไม่สนใจคู่ควงสักนิด
ปกรณ์ ภพกรวรรณคือแฟนเก่าที่เคยคบหาช่วงสั้นๆ แต่ก็กลายเป็นเพียงคนรู้จักเมื่อได้เห็นธาตุแท้ของเขาวันที่ชายหนุ่มจงใจข่มเหงเธอ หากไม่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายคว้าโคมไฟฟาดเข้าที่ท้ายทอยจนชายหนุ่มสลบไป ตัวเองก็คงโดนย่ำยีร่างกายไปแล้ว
จึงเกลียดทุกครั้งยามเห็นหน้าเขา คนที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง...
ตอนนั้นไม่น่าทิ้งโมกข์ไปคบกับคนพรรค์นี้เลย!
“ค่ะ” ตอบอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่
“ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ เงินมีพอกินพอใช้หรือเปล่า อยากยืมพี่ไหมครับ...แต่พี่ไม่ให้คืนอย่างเดียวนะ ต้องเอาตัวมาแลกด้วย” เขาโน้มตัวลงมาใกล้เธอ สูดกลิ่นหอมที่คิดถึงแม้ว่าหญิงสาวจะตกต่ำแต่ความสวยก็ไม่สร่างจนอยากได้มาครอบครอง
น่าเสียดายที่วันนั้นเสียรู้จนต้องเจ็บตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล แล้วเธอก็หายหน้าหายตาไปหลายปีเพิ่งได้กลับมาเจอกันวันนี้
“พี่กายคะ อย่างน้อยเราก็เคยเป็นคนรู้จัก ช่วยให้เกียรติเอยหน่อยได้ไหม” จ้องเขาตาเขม็งเมื่อได้ยินคำพูดหยาบโลนที่น่ารังเกียจ นึกขยะแขยงกับมือหนาที่แตะต้องกายตนจนอยากลุกออกไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องรอแฟนหนุ่มเสียก่อน
“ทำไมต้องให้เกียรติด้วย เกียรติของคนเรามันไม่เท่ากัน แล้วที่ฉันแทนตัวเองว่าพี่ตอนคุยกับเธอก็ให้เกียรติมากพอแล้วนะ” แสยะยิ้มแล้วมองร่างบางแววตาพราว จนผู้หญิงที่มาด้วยเริ่มทนไม่ไหวคว้าแขนหนาแล้วดึงเข้ามาใกล้ตน
“อะไรคะกาย”
“เปล่าหรอก แค่เคยเจอคนรู้จักน่ะ แต่ตอนนี้...ไม่รู้จักแล้ว” หัวเราะในลำคอค่อยหันมามองคู่ควงของตัวเอง หญิงสาวที่ทนมองปกรณ์แทะโลมคนอื่นก็ไม่อาจทนไหว จำได้ว่าหญิงตรงหน้าเป็นใครจึงพูดออกมาอย่างไม่รักษามารยาท
“อ้อ คนนี้เหรอที่พ่อติดพนันแล้วฆ่าตัวตาย”
“นี่คุณ!” จิรัศยาลุกขึ้นแล้วเรียกคนพูดเสียงดัง โมโหจนใบหน้าแดงก่ำจำต้องระงับอารมณ์ไว้ไม่อยากสร้างปัญหาเดือดร้อนให้ร้าน แค่นี้คนก็หันมามองด้วยความสนใจมากแล้ว
“ไปกันเถอะค่ะ ไม่อยากเสวนากับคนแบบนี้ เดี๋ยวเกิดเจ้าหนี้มาเห็นว่าสนิทกันจะตามมาทวงเงินกับเรา” ทั้งสองควงกันออกจากร้านปล่อยให้เธอยืนมองด้วยแววตากรุ่นโกรธ กำหมัดแน่นแล้วบอกตัวเองให้คลายความโกรธลง ถึงมันจะทำได้ยากก็ตาม
“ใจเย็น ใจเย็น...”
ทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม ดวงตาแดงก่ำขณะที่น้ำตาคลอเบ้า ไม่ได้เสียใจแต่นึกโกรธที่โดนหยามเกียรติ ถูกเหยียบศักดิ์ศรีจนแทบจมดิน ยังดีที่เธอยืนหยัดมาได้ด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมกับคนพวกนี้สักที
ยังดีที่เธอได้พบโมกข์...จึงได้มีความสุขอีกครั้ง
กลับมานั่งรอคนรักด้วยการมองไปที่ประตูสลับกับมองโทรศัพท์ของตัวเอง อยากโทรหาหลายครั้งก็กลัวรบกวน จึงทำได้เพียงแค่รออย่างเดียวเกือบสองชั่วโมง จนบริกรต้องเดินมาถามหญิงสาวเมื่อเห็นว่าเธอดื่มน้ำหมดไปหลายแก้วแล้ว
“เอ่อ สั่งอาหารก่อนไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ส่ายหน้าแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย เธอเลือกจะรอเขาอยู่อย่างนั้นถึงท้องจะเริ่มประท้วงด้วยความหิว
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จึงรีบหยิบมาดูพบว่าเป็นชื่อของคนรักก็รีบอย่างรวดเร็ว กรอกเสียงถามอย่างว้าวุ่น กังวลว่าเขาจะเป็นอะไรระหว่างการเดินทางถึงไม่มาสักที เพราะโมกข์ค่อนข้างตรงต่อเวลาไม่เคยผิดคำพูดกับเธอสักครั้ง
“ฮัลโหล พี่โมกข์อยู่ไหน”
‘พี่ถ่ายละครยังไม่เสร็จเลย...น่าจะเสร็จดึกพี่ขอโทษที่ไม่ได้โทรบอก เอยสั่งอาหารกินเลยนะพี่คงไม่ได้ไปแล้ว’ เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยโล่งใจ แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ที่เขาให้เธอรอเกือบสี่ชั่วโมงไม่แม้กระทั่งจะส่งข่าวมาบอกกันบ้างเลย
“น่า...ไม่เป็นไรค่ะ เอยเข้าใจ” เปลี่ยนคำพูดไม่อยากกลายเป็นคนงี่เง่าในสายตาโมกข์
‘พี่ขอโทษนะครับ’ ยังย้ำคำเดิมจนเธอไม่อาจพูดอะไรได้ นอกจากเข้าใจที่อีกฝ่ายติดพันงานจนไม่อาจมาตามนัดของเรา
“ค่ะ” กดวางสายแล้วถอนหายใจ เสียดายที่อุตส่าห์แต่งตัวสวยเพื่อมารับประทานอาหารกับเขาข้างนอก ชายหนุ่มกลับติดงานมาไม่ได้ ส่วนตนก็เป็นแม่สายบัวแต่งตัวคอยเก้อ สุดท้ายก็จำต้องสั่งอาหารสองอย่างมารับประทานเพียงลำพัง
“น่าจะโทรมาบอกกันหน่อยสิ” พึมพำเสียงเบากับตัวเอง
