บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 9 ใครจะหลอมใคร

เรือเหาะลงจอดเทียบท่าบนหอสูงเก้าชั้น ซึ่งที่นั่นยังมีเรือเหาะเช่นนี้อยู่อีกหลายลำ เมื่อเท้าเหยียบลงพื้น ปิงปิงรับรู้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในผลึกใต้ฝ่าเท้าได้เป็นอย่างดี ที่แท้แล้ว ผลึกที่นำมาสร้างอาคารบ้านเรือนเหล่านี้ ก็มีพลังเซียนไหลเวียนอยู่ พอนึกได้เช่นนั้น ปิงปิงถึงได้รู้ว่า หินปราณที่อยู่ในกระเป๋ามิติของนางที่แท้ก็ไร้ค่า 

"เสี่ยวไป๋"

"หืม?"

"เหตุใดไม่บอกข้า ว่านอกจากผลึกปราณแล้วยังมีผลึกเซียนอยู่อีก ไม่เช่นนั้น ข้าจะได้เรียกผลึกเซียนจากผู้นำตระกูลโหลวแทน"

"อ่า โทษที ข้าลืมไป แต่ความจริง ต่อให้เจ้าเรียกผลึกเซียนไป โหลวฟางเหมี่ยนก็ไม่มีจ่ายหรอก ผลึกเซียนเหล่านี้ ห้ามสามัญชนมีเก็บไว้ หากได้มา ต้องนำส่งเข้าเมืองหลวงเท่านั้น"

"อ้อ มิน่าเล่า จักรพรรดิเหลิ่งผู้นี้ ถึงได้มีพลังเซียนระดับสูงกว่าคนอื่น"

"มันต้องแน่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะปกครองเซียนด้วยกันได้อย่างไร ผู้ใดจะยอมเชื่อฟัง"

"แล้วเรื่องที่เอาสตรีมาเป็นเตาหลอมพลังนั่นอีก คนที่นี่ช่างมีตรรกะความคิดชั่วช้าสิ้นดี คงลืมกันไปหมดแล้ว ว่าตนเองก็กำเนิดมาจากสตรี"

ประโยคนี้ของปิงปิง เล่นเอาเสี่ยวไป๋ใบ้กิน ขนบนร่างลุกตั้งชัน เสียวสันหลังวาบ จนต้องบินหนีเข้าไปซุกอยู่ในทรวงอก 

หลังจากที่ทั้งกลุ่มเดินลงมาถึงพื้นด้านล่าง อุปราชโหลวก็เอ่ยขึ้น "ข้าจะให้คนพาเจ้าไปส่งที่จวนก่อนก็แล้วกัน จะได้เตรียม......." โหลวเย่าโฉวยังเอ่ยไม่ทันจบ องครักษ์นายหนึ่งก็มาปรากฏกายเบื้องหน้า พร้อมกับค้อมกายรายงาน

"ท่านอุปราช องค์จักรพรรดิมีบัญชาให้ท่านพาแม่นางน้อยท่านนี้ไปเข้าเฝ้าโดยด่วนขอรับ" 

ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของอุปราชโหลว ก็แลดูไม่ดีสักเท่าไหร่ ขนาดปิงปิงยังต้องนิ่วหน้า "ฮึ! ไอ้เด็กนี่ ช่างรีบร้อนที่จะตายดีเหลือเกิน!" กระทั่งน้ำเสียงเย้ยหยันของเสี่ยวไป๋ดังขึ้นในหัว ใบหน้างามถึงได้กลับมาเป็นปกติ ผิดกับโหลวเย่าโฉว หลังจากที่องครักษ์ผู้นั้นจากไป สีหน้าของท่านอุปราชก็เปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง เพราะภายในวัง คงมีคนคิดเอาความดีความชอบชิงรายงานองค์จักรพรรดิตัดหน้าไปแล้ว 

"เจ้าคงได้ยินแล้วกระมัง ข้าจะให้คนดูแลสัตว์เลี้ยงของเจ้าไว้ก่อน" 

ปิงปิงหันไปมองเจ้าหมาน้อยด้านหลัง เห็นมันกำลังถูกทหารรุมล้อมด้วยความเอ็นดู จึงพยักหน้ารับ 

"รีบไปกันเถิด หากชักช้าจะไม่ดี" อุปราชโหลวเอ่ยจบก็พาปิงปิงเดินตรงไปยังปราสาทหลังใหญ่ 

"ระดับพลังขององค์จักรพรรดิกำลังเหยียบเข้าเซียนขั้นเจ็ด ถือว่าสูงที่สุดในดินแดน ข้าขอเตือนเอาไว้อย่าง ต่อหน้าพระองค์ ห้ามเจ้าทำท่าหยิ่งยโสเป็นอันขาด"

ตลอดทางที่เดิน โหลวเย่าโฉวยังเอ่ยเตือนปิงปิงอีกหลายประโยค นางทำเพียงแค่รับฟังอย่างเงียบๆ ไม่ได้คิดโต้ตอบ เพราะเวลนี้ ในหัวของนางกำลังปรึกษาหารือกับเสี่ยวไป๋ เสี่ยวเฮ่ย

"เสี่ยวไป๋ พลังต่างกันมากขนาดนี้ ข้าจะสู้เจ้าจักรพรรดินั่นได้อย่างไร"

"เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร ทักษะทุกอย่างย่อมมีจุดอ่อน ทักษะเตาหลอมพลังพวกนี้ก็เช่นกัน ข้าจะอธิบายให้ฟัง"

"การที่จะใช้หญิงสาวมาหลอมพลังได้นั้น ต้องใส่พลังของตนเองเข้าไปในร่างของสตรีนางนั้น เพื่อหลอมให้เข้ากัน ก่อนจะสูบคืนออกมา หญิงสาวหลายคนที่มีพลังขั้นต่ำกว่าเซียน จะต้องทนทรมาณกับการถูกพลังของผู้หลอมกัดกินจนทนไม่ไหว แต่ในทางกลับกัน หญิงสาวเหล่านั้น ก็สามารถหลอมพลังแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างเป็นพลังของตัวเองได้เช่นกัน เพียงแต่พวกนางไม่เคยรู้ แม้แต่พวกบุรุษที่ใช้ทักษะนี้ก็ไม่รู้ เจ้าคิดอย่างไรล่ะ?"

ปิงปิงได้ยินเช่นนั้น มุมปากก็เหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้ม

"อีกอย่างนะ นอกจากจะหลอมพลังของผู้ใช้ทักษะมาเป็นของตนเองแล้ว ยังสามารถขโมยอายุขัยของอีกฝ่ายมาด้วยได้ อย่างเจ้าเหลิ่งตี้นั่น เวลานี้ มีอายุไขอยู่ที่สองพันปี เจ้าจะคงความเป็นสาวไปอีกนานเลยเชียว" เสี่ยวเฮ่ยเอ่ยเสริม

ยิ่งได้ฟังจากทั้งสอง รอยยิ้มของปิงปิงก็ยิ่งกว้างขึ้น ไม่ใช่ว่านางดีใจเรื่องที่จะได้อายุขัย แต่นางดีใจที่จะได้แก้แค้นให้สตรีที่ถูกกดขี่ข่มเหง นางจะทำให้หญิงสาวในโลกใบนี้รู้ว่า ทุกคนก็เท่าเทียม

เดินมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดคนทั้งสองก็มาถึง ปิงปิงมองไปยัง ปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ตัวปราสาทสร้างจากผลึกสีแดงเข้ม ประตูใหญ่อยู่เหนือบันไดราวสามสิบขั้นขึ้นไป 

เพียงแค่ฝ่าเท้าเหยียบลงไปบนขั้นที่หนึ่ง ปิงปิงก็สัมผัสได้ถึงพลังเซียนที่ค่อยๆ เลื้อยพันข้อเท้าขึ้นมา ทุกๆ ย่างก้าวจะเป็นเช่นนี้ 

"ปราสาทหลังนี้ มีแต่ผู้มีพลังขั้นเซียนเท่านั้น ที่จะเหยียบขึ้นไปได้ องค์จักรพรรดิคงรู้เรื่องของเจ้าอย่างละเอียด ถึงได้ให้ข้าพาเจ้ามาเข้าเฝ้าที่นี่ นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว" ขณะก้าวขึ้นบันได โหลวเย่าโฉวก็หันมาเอ่ยกับปิงปิงด้วยรอยยิ้ม และครั้งนี้ ก็เป็นครั้งแรกที่ปิงปิงเอ่ยวาจา หลังจากที่เดินมาเงียบๆ ตลอดทาง

"หึหึ ใช่แล้ว มันเป็นวาสนาของข้า" และรอยยิ้มของนางก็ทำเอารอยยิ้มของท่านอุปราชถึงกับแข็งค้าง ขนบนร่างลุกชัน จนต้องรีบกระแอมกระไอไล่ความรู้สึกอึดอัด "อะแฮ่ม ดะ..ดีแล้ว เจ้ารู้เช่นนั้นก็ดีแล้ว"

เมื่อทั้งสองก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นมา ก็ถูกองครักษ์หน้าประตูตรวจสอบอีกครู่ใหญ่ กว่าจะก้าวพ้นประตูบานใหญ่เข้าไปถึงท้องพระโรง 

ความใหญ่โตโอ่อ่าและแรงกดดันจากคนด้านใน หากเป็นคนธรรมดาคงหายใจไม่ออก แต่สำหรับปิงปิงกลับไม่ใช่ปัญหา

เด็กสาวร่างกายบอบบาง เดินก้มหน้าตามหลังอุปราชโหลวหนึ่งก้าวอย่างมีมารยาท ราวกับเด็กน้อยขี้กลัว ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียว จนกระทั่งทั้งสองเดินผ่านพรมแดงมาได้หนึ่งในสี่ส่วน โหลเย่าโฉวก็หยุดลง พร้อมทั้งนั่งคุกเข่า ปิงปิงกำลังจะนั่งตาม แต่เสียงของคนผู้หนึ่งดังขัดขึ้นเสียก่อน 

"ท่านอุปราช ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้รีบพาแม่นางน้อยเข้ามาโดยเร็ว ไม่ต้องมากพิธี"

โหลวเย่าโฉว รีบลุกขึ้นพาปิงปิงเข้าไปด้านในตามรับสั่ง ยิ่งเข้าใกล้แท่นสูงเท่าไหร่ แรงกดดันก็ยิ่งมีมาก ผู้คนที่ยืนอยู่สองฟากข้าง ไม่มีใครยอมละสายตาจากเด็กสาวเลยสักคน จนกระทั่ง ทั้งสองห่างสิบสิบก้าวจะถึงบัลลังก์ อุปราชโหลวถึงได้หยุดลง 

"สาวน้อย เงยให้เราดูหน้าเจ้าชัดๆ หน่อย" น้ำเสียงทุ้มนุ่ม ฟังดูอบอุ่นอ่อนโยนดังก้องท้องพระโรงทันทีที่ปิงปิงมาถึง แม้ปิงปิงจะก้มหน้า แต่ก็รับรู้ถึงสายตาคมกริบของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ได้เป็นอย่างดี 

ใบหน้างามค่อยๆ เงยขึ้นช้าๆ ดวงตากลมโตไหวระริก ราวกับกระต่ายน้อยหวาดกลัว เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้น เมื่อทุกคนเห็นใบหน้าของปิงปิง 

แท้จริงแล้ว ความงดงามของอวี้ถิงก็หาใช่ธรรมดา ยิ่งตอนนี้มีพลังขั้นเซียน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตายิ่งงามหมดจด ไม่มีใครที่เห็นแล้วจะไม่ตกตะลึง แต่ก็อย่างว่า เมื่อมาอยู่ในโลกที่ให้ค่ากับการมีอายุขัยยืนยาว ความงดงามใดๆ ก็เลยล้วนแต่ว่างเปล่า

ปิงปิงมองร่างสูงบนบัลลังก์อย่างสำรวจ จักรพรรดิเหลิ่งตี้ผู้นี้ รูปร่างหน้าตา น่าจะบรรลุเซียนตอนอายุราวสี่สิบเหมือนโหลวเย่าโฉวแต่ดูหล่อเหลาสง่างามกว่าโหลวเย่าโฉวอยู่มาก 

"ยอดเยี่ยม ตั้งแต่เราเกิดมา พึ่งเคยเห็นหญิงสาวที่ทั้งงดงามและมีพลังถึงขั้นเซียนอย่างเจ้าเป็นคนแรก นับถือๆ" จักรพรรดิเหลิ่งยกยิ้มด้วยความพอใจ

"ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่า พระองค์ควรจะมอบตำแหน่งสนมให้นางดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"

"แม้ ท่านเสนาบดี ข่าวว่านางมีพลังสูงเทียบเท่าท่านอุปราชเลยเชียวนา จะให้นางเป็นแค่สนมแน่หรือ"

"ใช่ๆ นางสามารถรับตำแหน่งนายพลได้สบายเลยด้วยซ้ำ"

"เฮอะ! พวกเจ้าช่างไม่มีหัวคิด หากยกตำแหน่งนายพลให้นาง แล้วจะมีทหารคนใดเชื่อฟัง"

บรรดาขุนนางขั้นสูงที่อยู่สองฟากข้าง พากันเสนอความคิดเห็น โดยไม่สนใจผู้ที่พาปิงปิงมาอย่างอุปราชโหลว จนอีกฝ่ายทนไม่ไหว โหลวเย่าโฉวสะบัดชายชุดคลุม คุกเข่าลงอย่างแรง

"ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องขอประทานอภัยโทษ ที่พาแม่ทัพปิงมาถึงที่นี่ล่าช้า เพราะมัวแต่ตามหาปีศาจหมาในตนนั้น ขอฝ่าบาทประทานอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

"ลุกขึ้น! เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องความผิดของเจ้า!"

"พ่ะย่ะค่ะ โหลวเย่าโฉวลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าย่ำแย่ เพราะแค่นี้ก็รู้อนาคตตัวเองแล้ว" 

ระหว่างที่บุรุษในห้องโถงกำลังพูดกันถึงเรื่องของปิงปิง แต่เจ้าตัวกลับลอบมองสตรีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รองลงมาจากองค์จักรพรรดิด้วยความสงสัย กระทั่งเผลอไปสบตากับนางเข้า 

"ปิงเอ๋อ! อย่าจ้องตานาง!" ยังดีที่เสียงของเสี่ยวไป๋ดังขึ้นในหัว มิเช่นนั้นห้วงวิญญาณของปิงปิงคงถูกแทรกแซงไปแล้ว

"เฮอะ! นางพญาจิ้งจอกบัดซบ! คิดจะแทรกแซงห้วงวิญญาณของข้า อยากกลายเป็นปีศาจตาบอดกระมัง" เสี่ยวเฮ่ยแค่นเสียงอย่างดูถูก เพราะมันกับปิงปิงมีห้วงวิญญาณร่วมกัน เมื่อปีศาจจิ้งจอกพยายามจะเจาะเข้ามา ย่อมไม่ผ่านเสี่ยวเฮ่ย 

ปีศาจพวกนี้ขั้นพลังไม่สูงส่งก็จริง แต่กลับมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทั้งยังชอบใช้วิธีต่ำช้า แต่จะว่าไป เมื่อมาอยู่เบื้องหน้าราชามารอย่างเฉิงชิว ปีศาจพวกนี้ก็เป็นได้แค่ฝุ่นใต้ฝ่าเท้า จะไม่ให้เสี่ยวเฮ่ยนึกดูถูกได้อย่างไร 

"นางพญาจิ้งจอก?" 

"อืม ปีศาจจิ้งจอกสายพันธุ์ตัวต่อ"

ปิงปิงได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะมองกลับไปยังสตรีที่นั่งข้างบัลลังก์อีกครั้งไม่ได้ หญิงสาวผู้นี้อยู่ในชุดวาบหวิวสีแดงสด ตัดกับผิวขาวจัดอย่างชัดเจน ริมฝีปากและขอบตาของนางเป็นสีดำสนิท คล้ายวาดด้วยดินสอเขียนคิ้ว หว่างคิ้วมีสัญลักษณ์บางอย่าง จะว่างามก็ไม่ใช่ น่าเกลียดก็ไม่เชิง ต้องเรียกว่าดูแปลกตาจะดีกว่า

"เจ้ามีนามว่าปิงปิงใช่ไหม เจ้าพร้อมจะรับใช้เราผู้เป็นจักรพรรดิหรือไม่"

จนกระทั่งชายบนบัลลังก์เอ่ยถาม ปิงปิงถึงได้ชักสายตากลับ ก่อนจะยอบกายอย่างสวยงาม "หม่อมฉันพร้อมจะเป็นข้ารับใช้ฝ่าบาทเพคะ"

"ดี!ๆ " คำตอบของปิงปิงสร้างความพอพระทัยให้จักรพรรดิเหลิ่งเป็นอย่างมาก จักพรรดิเหลิ่งตี้ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ค่อยๆ ก้าวลงบันไดสิบขั้น มายืนเบื้องหน้าปิงปิง 

"เราจะมอบพลังที่ยิ่งใหญ่ให้เจ้า เจ้าเต็มใจจะรับมันหรือไม่"

"หม่อมฉันยิ่งกว่าเต็มใจอีกเพคะ" ปิงปิงตอบออกไปโดยไม่ต้องคิด ดวงตาคู่งามทอประกาย เมื่อมองสบตากับจักรพรรดิเหลิ่ง ขุนนางในท้องพระโรงเห็นนางตกหลุมพรางก็พากันยกยิ้ม จะมีก็แต่องค์ราชินีที่นั่งเงียบมาตลอดเท่านั้น ที่เวลานี้ ยิ้มไม่ออก มิหนำซ้ำยังนั่งหน้าซีด เหงื่อซึมหน้าผาก เพราะพึ่งสัมผัสกับกลิ่นอายของราชามารเฉิงชิวได้ 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel