บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 เข้าทาง

ข่าวของตระกูลโหลวที่ถูกปีศาจหมาในฆ่าล้าง ยังไม่ทันข้ามวันก็ดังไปทั่วดินแดน ฟ้ายังไม่ทันสิ้นแสง อุปราชโหลวพร้อมกองกำลังทหารมือดีกว่าสามร้อยนายมาถึงเมืองฟั่นอย่างรวดเร็ว 

ห้องโถงรับรองในจวนเจ้าเมืองเวลานี้ มีบุคคลสำคัญมารวมตัวกันมากมาย รวมทั้งปิงปิงและทหารรับจ้างระดับนายพลก็อยู่ที่นั่นด้วย เจ้าเมืองฟั่นและผู้นำตระกูลโหลว ถึงกับนั่งตัวลีบ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่านอุปราช

โหลวเย่าโฉวผู้นี้ ตัดผ่านขั้นเซียนได้ตอนอายุสี่สิบกว่า รูปร่างหน้าตาจึงดูอ่อนเยาว์กว่าโหลวฟางเหมี่ยนอยู่มาก ทั้งที่เป็นพี่ชาย มิหนำซ้ำ ยังแลดูน่าเกรงขามกว่าผู้นำตระกูลโหลวไม่รู้กี่เท่า 

ร่างของท่านอุปราช แผ่อำนาจแรงกดดันจนทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นเย็นเหยียบ สายตาที่กวาดมองผู้คนในห้องโถง คบกริบราวกับใบมีด กระทั่งมาหยุดอยู่ที่เด็กสาวร่างบอบบาง ดวงตาที่เรียวเล็กอยู่แล้วหรี่ลงจนแทบจะปิด

"เจ้าใช่ไหม ที่เป็นคนช่วยชีวิตน้องชายข้า?"

"เป็นข้าเอง" ปิงปิงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงโทนเดียว ทั้งไม่อ่อนน้อมและไม่แข็งกระด้าง อีกทั้งยังไร้ซึ่งความหวาดกลัว ทำให้โหลวเย่าโฉวที่ใช้แรงกดดันมาข่มขู่ต้องเป็นฝ่ายชะงักไป แต่ก็เพียงครู่เดียว "ข้าอยากฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เจ้าจงเล่ามาให้หมด และอย่าได้คิดปิดบังเป็นอันขาด!"

ปิงปิงนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่มเล่าตั้งแต่ต้น 

"ตอนที่ข้าหลับอยู่ในเรือน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้นำตระกูลโหลวร้องขอความช่วยเหลือ จากนั้นข้าก็เร่งออกจากเรือน กระทั่งไปพบท่านโหลวกำลังวิ่งหนีสุนัขสามหัวที่มีหางคล้ายเม่น ข้าก็รีบเข้าไปช่วยเหลือ พอปีศาจตนนั้นเห็นข้า ก็รีบหนีไปทันที ส่วนคนทั้งหมดตกตายอย่างไรนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบ"

"อาเมี่ยน! เป็นเช่นที่นางเล่าหรือไม่!" อุปราชโหลวหันไปถามผู้เป็นน้องเสียงเข้ม ทันที ที่ฟังปิงปิงเล่าจนจบ จนทำให้โหลวฟางเหมี่ยนสะดุ้งโหยง "ปะ..เป็นเช่นนั้นขอรับ ทะ..ท่านพี่ กระทั่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าผู้คนในตระกูลและครอบครัวของเราตกตายได้อย่างไร ท่านต้องแก้แค้นให้ทุกคนด้วยนะขอรับ" โหลวฟางเหมี่ยนัยน์ตาแดงก่ำ น้ำตาแทบจะไหลอยู่รอมร่อ ไม่เหลือสภาพความเป็นผู้นำอีกต่อไป ส่วนอุปราชโหลว ยิ่งได้ฟังแรงกดดันในร่างก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนจะหันมาจ้องปิงปิงอีกครั้ง "แต่ข้ายังสงสัย เหตุใดเจ้าปีศาจนั่นต้องหนี ยามที่เจอเจ้า พลังของเจ้าอยู่ขั้นใดกันแน่!?"

คำถามของโหลวเย่าโฉว ทำให้คนทั้งห้องต้องหันมามองปิงปิงเป็นตาเดียว แต่นางกลับไม่สนใจ และไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่กลับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกขวาไขว่ห้าง ด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งยังเคาะนิ้วลงบนพนักวางแขนอย่างใจเย็น ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม "ท่านอุปราช แรงกดดันของท่านใช้กับข้าไม่ได้ แล้วท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?" 

สิ้นเสียงของปิงปิง เสียงฮือฮาในห้องโถงก็ดังขึ้น สายตาที่มองมายังนาง มีหลากหลายความรู้สึก แต่ที่มากที่สุด คงจะเป็น 'ไม่เชื่อ' บางคนถึงกับหลุดแค่นเสียงออกมาอย่างดูถูกด้วยซ้ำ

โหลวฟางเหมี่ยนเห็นเช่นนั้น ก็รีบเอ่ยสำทับ เพราะเกรงผู้เป็นพี่จะไม่เชื่อ "ข้าไม่รู้ว่านางมีพลังขั้นใด แต่พลังในร่างของนาง สามารถสร้างความกดดันให้เซียนระดับหนึ่งได้ขอรับ" ความจริงผู้นำตระกูลโหลวไม่ได้รู้สึกชื่นชมอันใดกับปิงปิง เพียงต้องการบอกให้พี่ชายรู้เท่านั้น และอีกฝ่ายก็เหมือนจะอ่านใจผู้เป็นน้องได้อย่างทะลุปรุโปร่ง "ยอดเยี่ยม! มิน่าเล่า ปีศาจหมาในหางเม่นถึงได้หนีไป เจ้ามีนามว่าปิงปิงใช่หรือไม่ หลังจากเสร็จเรื่องทางนี้แล้ว สนใจจะติดตามข้าเข้าวังไหม ข้ารับรองว่าตำแหน่งของเจ้าจะไม่ธรรมดา" 

"หากท่านอุปราชเต็มใจสนับสนุนข้า ข้าก็ยินดี" ปิงปิงยังตอบด้วยท่าทางสบายๆ เช่นเดิม โดยไม่สนใจสายตาเยาะเย้ยของผู้คน ส่วนในหัวกำลังปรึกษากับเสี่ยวไป๋อย่างขะมักเขม้น เดิมที ก่อนจะเข้ามานั่งอยู่ที่นี่ นางยอมรับว่านางรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย แต่เพราะมีเสี่ยวไป๋อยู่ ทำให้ความหวาดกลัวหายเป็นปลิดทิ้ง มิหนำซ้ำ ยังรู้สึกว่าคนพวกนี้เป็นเพียงมดปลวกใต้ฝ่าเท้าอย่างไรอย่างนั้น

"ปิงเอ๋อ ไม่ว่าเจ้านี่จะพูดอะไร เจ้าก็เออๆ ออๆ ไปก่อน จนกว่าจะได้พบจักรพรรดินั่น เข้าใจหรือไม่ พวกเราจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง"

"อืม"

แผนการของสองพี่น้องตระกูลโหลวคือการหลอกพาปิงปิงเข้าวังเพื่อนำไปถวายให้องค์จักรพรรดิ  และมันก็ช่างเข้าทางแผนการของราชามารเสียเหลือเกิน อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อย

หลังจากที่หาข้อสรุปกันได้แล้ว ปิงปิงก็ถูกเชิญมาพักยังจวนเจ้าเมือง ส่วนท่านอุปราชพากองกำลังไปไล่ล่าปีศาจหมาใน โดยไม่รู้เลยว่า เจ้าปีศาจที่ว่ากำลังนอนหัวเราะท้องขัดท้องแข็งอยู่ในจวนเจ้าเมือง

ฮ่าๆ เจ้าหมาน้อยนอนหัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ดีๆ ร่างของมันก็กระเด็นลอยออกนอกหน้าต่างไปไกลกว่าหลายร้อยลี้ ตามด้วยกระบี่สีดำ

เสี่ยวเฮ่ยโดนจนชิน จึงไม่แปลกใจ ผิดกับเจ้าเสี่ยวฮุย มันถึงกับยืนสองขา กระโดดหย็องแหย็งไปมา ท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม "ไอ่ย๊า! นายท่านๆ เตะข้าน้อยออกมาทำไม!!! ข้าน้อยทำผิดอันใด" กระทั่งเสี่ยวเฮ่ยเห็นแล้วรู้สึกรำคาญ "หุบปาก! เจ้าจะโวยวายอะไรนักหนา! นี่มันแค่เริ่มต้น อยู่ไปเดี๋ยวก็ชินเองแหละ เหมือนข้านี่ไง"

"ปิงเอ๋อ" ภายในที่คุมขัง เสียงครางแหบพร่าดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางแสงสลัว ดวงตาที่สามค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ "บัดซบ! เมื่อไหร่ข้าจะได้ออกไปเสียที!" เฉิงชิวสบถเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะหลับตาปรับลมหายใจอีกครู่ใหญ่ อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านถึงได้ค่อยๆ คลายลง 

ที่ราชามารผู้ยิ่งใหญ่ต้องมาเป็นเช่นนี้ ล้วนเกิดจากการใช้ร่างจำแลงลวนลามผู้อื่นทั้งนั้น ร่างจำแลงเป็นเพียงแค่นกน้อยที่มีพลังเทียบเท่าปราณยุทธขั้นห้า อย่าว่าแต่ให้ไปต่อสู้กับผู้ใดเลย แค่อยากทำอะไรลึกซึ้งกับปิงปิงยังทำไม่ได้ ได้แต่อาศัยลูบๆ คลำๆ ไปตามประสา แต่การกระทำเช่นนั้น มันกับส่งผลกับอารมณ์และความรู้สึกของร่างจริงเป็นอย่างมาก ยิ่งในยามที่เฉิงชิวต้องส่งพลังข้ามผ่านฟ้าก็ยิ่งมีอารมณ์มากขึ้นเป็นเท่าตัว

เรื่องความทรมานของท่านจอมมารนั้น ปิงปิงหาได้รับรู้ ตอนที่นางตื่นมาตอนเช้า ทั้งสุนัขและกระบี่ก็กลับมาอยู่ในห้องจนครบหมดแล้ว จะมีก็แต่เจ้าหมาน้อย ที่เอาแต่ทำหน้ายุ่งอยู่ตลอดเวลาก็แค่นั้น 

"เสี่ยวฮุยเป็นอะไรไป?" 

"ปิงเอ๋อ อย่าไปสนใจมันเลย มันเป็นหมาสติไม่ดีน่ะ"

เสี่ยวฮุยยังไม่ทันได้ตอบ เสียงของเสี่ยวไป๋ก็ดังขึ้นเสียก่อน จนเจ้าหมาตาโปนต้องหรี่ตามมองผู้เป็นนาย "นายท่าน นี่ท่านกำลังมีความรักหรือ?"

"เฮอะ! ไอ้หมาหน้าโง่ เจ้าจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับความรัก!"

"แล้วท่านรู้หรือ?" คำถามนี้ของเสี่ยวฮุย ทำเอาเฉิงชิวชะงักไปชั่วขณะ เพราะแท้จริงแล้ว เจ้าตัวก็หาได้รู้เรื่องความรักไม่ ใช้ชีวิตอยู่มาหลายพันปี ก็พึ่งนึกอยากจะเข้าใกล้สตรีก็ตอนมาเจอปิงปิงเนี่ยแหละ

เพราะคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ จึงทำให้ทั้งหมาทั้งนกต่างก็หันไปจับจ้องร่างบอบบางเป็นตาเดียว  

"มีอะไรหรือ? เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้น" 

หัวดำหัวเทาส่ายไปมาพร้อมกันแทนคำตอบ เฮอะ! จนเสี่ยวเฮ่ยที่อยู่วงนอกเห็นแล้วต้องแต่แอบแค่นเสียงในใจ

ในขณะที่ทั้งสี่กำลังพักผ่อนกันอย่างสบายใจอยู่ในจวนเจ้าเมือง อีกด้านหนึ่ง อุปราชโหลวและกองกำลังทหารก็กำลังพลิกแผ่นดินตามหาปีศาจหมาในหางเม่นกันจ้าละหวั่น ส่วนโหลวฟางเหมี่ยนแยกไปจัดการศพของผู้คนในตระกูล 

การถูกฆ่าล้างตระกูลเช่นนี้ นับว่าตระกูลโหลวต้องสูญเสียครั้งใหญ่ ไม่เพียงจะเสียกองกำลังในมือ ยังไม่เหลือเยาวชนรุ่นหลังเอาไว้สืบทอด ทำให้อำนาจในมือของอุปราชโหลวถูกสั่นคลอน เพราะฉะนั้นการได้ตัวหญิงสาวที่เพียบพร้อมทุกอย่าง อย่างปิงปิง ไปถวายองค์จักรพรรดิ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ 

เพราะเวลานี้จักรพรรดิเหลิ่งติดอยู่แค่ครึ่งก้าวก็จะตัดผ่านเซียนระดับเจ็ดไปได้แล้ว และปิงปิงคือหญิงสาวที่เหมาะสมจะเป็นเตาหลอมให้องค์จักรพรรดิมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความงดงาม อ่อนเยาว์ และขั้นพลัง เรียกได้ว่าทั้งห้าดินแดนคงหาหญิงสาวเช่นนางไม่มีอีกแล้ว 

เรื่องที่ปิงปิงเคยสงสัย ว่าเหตุใดทหารขององค์จักรพรรดิถึงได้มาปรากฏตัวในตระกูลโหลว ก็คือเรื่องนี้ ทุกกองกำลัง แม้แต่ทหารรับจ้างระดับนายพลของทุกเมือง ได้รับคำสั่งให้ตามหาหญิงสาวที่มีพลังตั้งแต่ปราณยุทธขั้นแปดขึ้นไปเพื่อพาเข้าวัง ถวายแด่จักรพรรดิเหลิ่งที่กำลังต้องการเตาหลอมพลังมากมาย

สามเดือนผ่านไป 

ในที่สุดโหลวเย่าโฉวก็จำต้องถอนกำลังกลับเมืองหลวงเพราะมีบัญชาจากองค์จักรพรรดิ ท่านอุปราชเลยได้แต่เก็บความคับแค้นเอาไว้ เพราะเวลานี้ ตนเองไม่ได้มีกองกำลังในมืออีกแล้ว หากยังสร้างความขุ่นพระทัยให้นายเหนือหัวอีก เกรงว่าอนาคตคงจบสิ้น

ขบวนเรือเหาะของอุปราชโหลวใช้เวลาไม่ถึงวันก็มาถึงเมืองหลวง พอเรือเหาะลอยผ่านกำแพงกระจกเข้าไปด้านใน ก็ราวกับเป็นคนละโลก ปิงปิงที่ร่วมอยู่ในขบวนเห็นแล้วถึงกับอ้าปากค้าง ความกว้างใหญ่ไม่ต้องกล่าวถึง เพราะมันสุดลูกหูลูกตา แต่ความสวยงามนี่ต่างหากที่ทำให้ชวนตะลึง สิ่งปลูกสร้างในเมือง ล้วนสร้างมาจากผลึกหลากหลายสี 

"ปิงเอ๋อ ไม่ต้องตะลึงไปหรอก นี่ยังนับว่าธรรมดา ผลึกเซียนระดับต่ำพวกนี้ มีแต่ความสวยงามเท่านั้น รอให้เจ้าได้ขึ้นไปเหยียบสวรรค์เมื่อไหร่ จะรู้ว่าที่นี่ไร้ค่ามากเพียงใด" พอได้ยินเสียงของเสี่ยวไป๋ดังขึ้นในหัว ปิงปิงถึงได้สงบจิตสงบใจลงได้

อยู่ๆ ร่างสูงโปร่งในชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้มก็ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง "เป็นอย่างไร? งดงามใช่หรือไม่" ปิงปิงได้แต่พยักหน้ารับแทนคำตอบ โดยไม่หันไปมอง

โหลวเย่าโฉวเห็นเช่นนั้น มุมปากก็เหยียดขึ้นเล็กน้อย ลอบมองสำรวจเรือนร่างของปิงปิงอย่างหื่นกระหาย เพราะอีกไม่นาน หลังจากที่องค์จักรพรรดิหลอมพลังจากร่างของนางเสร็จ เด็กสาวก็ต้องถูกโยนให้เป็นรางวัลแด่พวกขุนนาง เอาไปใช้เป็นทาสบำเรอความใคร่ ยิ่งคิดอุปราชโหลวก็ยิ่งอยากจะให้ถึงเวลานั้นโดยเร็ว

ถึงแม้ปิงปิงไม่เห็นสายตาชั่วช้าของโหลวเย่าโหฉว แต่พวกตัวประหลาดทั้งสามข้างกายนางมีหรือจะไม่เห็น "นายท่าน ไอ้เด็กนี่มันแอบมองนายหญิงขอรับ ให้ข้ากัดมันเลยดีไหม?" เสี่ยวฮุยทำท่าแยกเขี้ยว ส่งเสียงขู่ แฮร่ๆ อย่างที่มันคิดว่าน่ากลัวที่สุด 

จนทำให้เสี่ยวไป๋แทบจะร่วงจากบ่า ส่วนเสี่ยวเฮ่ย แทบอยากจะลอยออกจากมือของปิงปิง ไปเคาะหัวเจ้าหมาโง่งมตัวนี้เสียเหลือเกิน   ในหัวของท่านจอมมารนึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าเหตุใดเจ้าหมาปัญญาอ่อนนี่ถึงได้รอดมาจากศึกครั้งนั้นได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel