บท
ตั้งค่า

อาจารย์สอนยิงธนูคนใหม่

“ป่วยครั้งนี้ คุณหนูซูบไปเยอะเลยเจ้าค่ะ” แม่นมถิงช่วยต้าเหนิงแต่งตัว

“ข้าเป็นสตรีผอมลงเช่นนี้ถึงจะงาม” แต่รอยยิ้มของต้าเหนิงก็หายไป ตอนนี้นางอยู่ในชุดของบุรุษ จะแต่งตัวไปอวดรูปโฉมผู้ใดได้

“อาเหนิง เจ้าทนอีกไม่นาน พี่ชายของเจ้าคงจะกลับมาในเร็ววัน” จินเหรินเอ่ยปลอบใจบุตรสาว เมื่อนางเดินเข้ามาดูต้าเหนิงแต่งตัว วันนี้นางจะกลับไปเรียนหลังจากที่นอนพักรักษาตัวถึงห้าวัน

“เจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ ให้มารดา

ต้าเหนิงเดินลงจากรถม้า มองป้ายสำนักศึกษาอย่างห่อเหี่ยว นางมีความสุขที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่พักรักษาตัวอยู่ที่จวน

“เจ้ากลับมาเสียที ข้าไปเยี่ยมเจ้าที่จวน ก็ไม่ได้พบหน้า คิดว่าอาการของเจ้าจะเป็นหนักเสียอีก” ซูกวนเร่งฝีเท้าเข้ามาหาพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นสหายใบหน้าสดใสขึ้น

“ท่านพ่อบอกข้าแล้ว ว่าเจ้ากับอู๋หลางไปเยี่ยมข้า ขอบใจพวกเจ้ามาก” นางยิ้มขอบคุณให้ซูกวน

“ไม่เป็นอันใดมากก็ดีแล้ว อาเฉิง อาจารย์ฟ่านรู้สึกผิดที่ลงโทษเจ้ายิ่งนัก หลายวันที่ผ่านมา พวกข้าแทบไม่มีผู้ใดกล้าพูดคุยในชั้นเรียนเลย หากเขาเห็นหน้าเจ้าคงจะอารมณ์ดีไม่น้อย”

“เช่นนั้นหรือ ข้าทำผิดอาจารย์จะลงโทษก็ถูกแล้ว” นางเกาแก้มอย่างเก้อเขิน อย่างน้อยก็มีสหายและอาจารย์ฟ่านที่เป็นห่วงนาง

“ข้าคิดว่าจะได้ฟังข่าวร้ายของจวนเสิ่นแล้วเสียอีก” เสียงนี้จะเป็นผู้ใดไปได้ หากไม่ใช่ตงฟู่ ซื่อจื่อปากร้ายแห่งเมืองหลวง

“เกรงว่าจะทำให้ซื่อจื่อต้องผิดหวังแล้ว” นางอมยิ้มมองเขา แต่ดวงตาของนางไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย

“เหอะ” ตงฟู่แค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

ตงฟู่ ต้องการพูดยั่วเพื่อให้ต้าเหนิงนางตอบโต้เช่นครั้งก่อนๆ แต่ดูเหมือนวันนี้จะยั่วไม่ขึ้น เขาจึงได้เดินเห้องเรียนไปอย่างไม่สบอารมณ์

“อาเฉิง เจ้าคงยังไม่รู้ อีกสามวันจะมีงานประชันบทกลอน เจ้าต้องช่วยข้าด้วยเล่า” อู๋หลางเอ่ยออกมาอย่างกังวล

การมีสหายเช่นเสิ่นเฉิงนับว่าเป็นเรื่องดี เขาสามารถช่วยเรื่องเรียนและเขียนกลอนให้ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้สหายเช่นเขาเสียหน้าต่อหน้าบัณฑิตคนอื่น

“เอ่อ...ขะ ข้าว่า ข้าจะไม่เข้าร่วม” จะให้นางแต่งกลอนต่อหน้าทุกคน นางหนีเสียดีกว่า

“ได้อย่างไร อาจารย์ฟ่านคาดหวังกับเจ้าไม่น้อย เจ้าจะไม่ไปได้อย่างไร”

ต้าเหนิงอยากจะกรีดร้องออกมา เหตุใดนางถึงต้องมาพบเจอเรื่องบ้าเช่นนี้ด้วย นางจะแต่งออกมาได้อย่างไร นางไม่ได้เก่งเช่นพี่ชายของนางเสียหน่อย

ต่อให้แต่งออกมาได้ แต่ก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับพี่ชายได้ สงสัยคงต้องกลับไปค้นหาบทกลอนที่พี่ชายเคยแต่งทิ้งไว้เมื่อตอนเวลาว่างเสียแล้ว

“อาเฉิง เจ้าหายดีแล้วรึ” อาจารย์ฟ่านเดินเข้ามาสำรวจศิษย์รักอย่างยินดี เมื่อเห็นว่าเขากลับมาเรียนได้แล้ว

“ขอรับท่านอาจารย์” นางประสานมืออย่างนอบน้อมให้อาจารย์ฟ่าน

“ดีๆ เช่นนั้น...เข้าห้องเรียนเถิด”

ทั้งสามเดินตามอาจารย์ฟ่านเข้าไปในห้องเรียน แต่ที่ทำให้ต้าเหนิงแปลกใจ คงเป็นเต๋อซิ่วกับมู่เฉียงที่นั่งรออย่างเรียบร้อยอยู่ด้านในแล้ว แม้เขาจะรู้ว่านางก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียน ก็ไม่คิดจะปรายตามองนางสักครั้ง

“ดีแล้ว เช่นนี้ดีแล้ว” ต้าเหนิงได้แต่ลอบยินดีในใจ นางอยากให้เป็นเช่นนี้ไปตลอดเลย

หลังจากเรียนช่วงเช้ากับอาจารย์ฟ่าน วันนี้ช่วงบ่ายมีเรียนวิชายิงธนู อาจารย์ที่มาสอนให้พวกเขาเป็น หลิวเพ่ย ญาติผู้พี่ของต้าเหนิง นางไม่ได้ไปจวนท่านตามานาน ย่อมจะยินดีที่ได้พบญาติผู้พี่ของนางเช่นนี้

“อาจารย์ตู้มีงานด่วน ข้าจึงมาสอนพวกเจ้าแทน” เขาส่งสายตามามองที่ต้าเหนิงอย่างยินดี แต่เรื่องที่นางเปลี่ยนตัวกลับเสิ่นเฉิง หลิวเพ่ยย่อมไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ตัวเขาและเสิ่นเฉิง แม้ไม่ได้สนิทสนมกันด้วยเส้นทางสายบุ๋นและบู๊ที่พวกเขาเลือกขัดแย้งกัน แต่เมื่อพบเจอก็ยังพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม

ทุกคนต่างเดินไปเลือกธนูที่เหมาะกับตน ต้าเหนิงเองก็เช่นกัน หลิวเพ่ยรู้ได้รับคำสั่งมาจากท่านตาให้เตรียมธนูมาให้เสิ่นเฉิงโดยตรง ในตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้เลือกธนูที่มีน้ำหนักเบามือ เหมาะสำหรับสตรีเช่นนี้ให้เขาด้วย

“อาเฉิง ธนูคันนี้ท่านตาให้ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า น้ำหนักมิได้มาก เจ้าคงจะเหนี่ยวสายไม่ลำบากมากนัก” เขาหยิบธนูที่เตรียมไว้ส่งไปให้

“ขอบคุณท่านอาจารย์หลิว” นางอมยิ้มมองเขาอย่างหยอกล้อ

หลิวเพ่ย ชะงักไปครู่ แววตาแปลกใจกับท่าทีของญาติผู้น้องที่เปลี่ยนไปปรากฏออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“อา...” เขาจะเอ่ยเรียกอีกนามออกมา แต่ก็กลืนคำพูดลงไป ก่อนจะหันไปเรียกทุกคนมาแล้วเริ่มสอนพวกเขา

ต้าเหนิงตั้งใจเรียนวิชายิงธนูอย่างหาได้ยาก นางไม่ชอบแดด ไม่ชอบให้เหงื่อออก แต่ในเมื่อเป็นญาติผู้พี่ของนางสอน นางจึงได้สนใจเรียนเป็นพิเศษ

บัณฑิตแต่ละคนเริ่มออกไปที่ลานยิงธนู ต่างก็เข้าจับจองที่ยิง บางคนแข่งขันกันว่าผู้ใดจะยิงเข้าเป้าได้มากที่สุด

ต้าเหนิงนางหลบไปอยู่มุมที่ห่างจากคนอื่น พร้อมกับสหายทั้งสองคน แม้ธนูที่ต้าเหนิงนางได้มาจะเบากว่าของผู้อื่น แต่มันก็ยังหนักมากอยู่ดีสำหรับนาง ต้าเหนิงใช้แรงในการเหนี่ยวสายธนูจนร่างกายของนางสั่นสะท้าน เหงื่อซึมออกมาเต็มหน้าผากของนาง

“อาเฉิง เจ้าไหวหรือไม่” ซูกวนที่ปล่อยลูกธนูออกไปแล้วสองดอกหันมามองสหายที่ยังเหนี่ยวสายธนูให้ตึงไม่ได้

ด้วยเห็นใจที่สหายเพิ่งจะหายจากเจ็บป่วย แล้วต้องมาออกกำลังเหนี่ยวสายธนูกลางแดดร้อนๆ อีก

“ข้าไม่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์สักอย่างจริงๆ” นางปาดเหงื่อทิ้งอย่างลวกๆ สหายทั้งสองพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เสิ่นเฉิงที่เอาแต่เก็บตัวอ่านตำราจะมีความสามารถเรื่องวรยุทธ์ได้อย่างไร

หลิวเพ่ยสอนผู้อื่นแล้ว จึงได้เดินเข้ามาดูต้าเหนิงที่วางธนูลงกับโต๊ะไม้ตรงหน้า

“มาข้าสอนเจ้าเอง”

ต้าเหนิงได้ยินเสียงของญาติผู้พี่ นางก็ยิ้มแย้มอย่างยินดี ก่อนจะหยิบธนูขึ้นมาถืออีกครั้ง

หลิวเพ่ยยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มือของเขาจับลงที่มือน้อยของต้าเหนิงที่จับลูกธนูเอาไว้

“เจ้าสนใจเพียงเป้าข้างหน้าก็พอ”

“อืม” นางพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง

นางกลั้นหายใจอย่างรอคอย เมื่อลูกธนูถูกปล่อยออกจากสายไปแล้ว ดวงตาคู่งามหรี่มองตามลูกธนูที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยใจจดจ่ออย่างยิ่ง

“ขะ เข้า เข้าเป้าเลย” นั่งกระโดดดีใจอย่างลืมตัว

“หึหึ เห็นหรือไม่ว่าไม่ได้ยากอย่างที่เจ้าคิด หากเจ้าฝึกกำลังแขนบ่อยๆ ต่อไปการยิงธนูจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้า” เขาลูบผมของนางอย่างเอ็นดู

ภายในใจของหลิวเพ่ยแน่ชัดแล้วว่า คนตรงหน้าของตนต้องเป็นต้าเหนิง คุณหนูเสิ่นอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังไม่รู้เหตุผลว่าเหตุใดนางถึงต้องปลอมตัวเป็นเสิ่นเฉิงด้วย

“อาจารย์หลิว ท่านจะสนใจเพียงแค่คุณชายเสิ่นไม่ได้นะขอรับ ข้าเองก็รอให้ท่านมาสอนอยู่” เมื่อมีลูกศิษย์ตะโกนออกมาเช่นนี้ หลิวเพ่ยจำต้องไปสอนเขา ปล่อยให้ต้าเหนิงนางลองยิงอีกครั้งด้วยตนเอง

ทุกการกระทำของหลิวเพ่ยและต้าเหนิงล้วนอยู่ในสายตาของเต๋อซิ่ว และทุกคน บางคนค่อนขอดเรื่องที่นางยิงเข้าเป้าแล้วดีใจราวกับสอบจิ้นซื่อผ่าน เต๋อซิ่วเพียงแค่แค่นเสียงดูแคลนออกมาเท่านั้น มันจะยากอันใดนักหนาตัวเขาก็สอนให้ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel