บท
ตั้งค่า

อยากตรวจสอบบางสิ่ง

เมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่คิดเริ่มจะไม่ถูกต้อง เต๋อซิ่วก็หงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อย เขาตั้งใจไว้แล้วว่า เมื่อเสิ่นเฉิงกลับมาเรียนอีกครั้ง เขาจะเลิกสนใจเด็ดขาด แต่ยามนี้เพิ่งรู้ว่าเขามิอาจทำได้เช่นที่คิดเอาไว้ เขาเลิกหันไปสนใจตำแหน่งที่ต้าเหนิงยืนอยู่ แล้วใช้การยิงธนูเพื่อระบายอารมณ์แทน

“พี่สี่ คืนนี้ท่านไปหอเลี่ยงอวี้เป็นเพื่อนข้าหน่อย”

“น้องห้า!!! เจ้าว่าจะไปที่ใดนะ” มู่เฉียงร้องถามเสียงหลง

“ท่านได้ยินไม่ผิด”

“สวรรค์ ตายแน่ หากเสด็จพ่อ เสด็จแม่รู้ เจ้ากับข้าตายแน่” มู่เฉียงส่ายหน้าอย่างไม่ยินยอม

“ก็อย่าให้รู้ อาฟู่ เจ้าเองก็ต้องไปด้วย”

ตงฟู่ถึงกับสะดุ้ง เขาถอยห่างออกมาแล้ว ยังถูกลากไปด้วยได้อย่างไร

“ไม่ได้ ไม่ได้ คืนนี้ข้าต้องอยู่ทบทวนตำรา”

“หากเจ้าไม่ไป เรื่องที่เจ้าแอบหนีไปเที่ยวบ่อยๆ ข้าจะฟ้องเสด็จอา” ตงฟู่สะดุ้งสุดตัว เขาแอบไปเที่ยวผู้เดียวแล้วแท้ๆ แต่เต๋อซิ่วล่วงรู้ได้อย่างไร

“อาซิ่ว แต่ไหนมาเจ้าก็ไม่เคยคิดจะไป เหตุใดวันนี้ถึงอยากจะไปได้เล่า” ตงฟู่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ต้องถามมาก ข้าอยากไปก็คืออยากไป” เขาเพียงต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างก็เท่านั้น

เต๋อซิ่วมองไปยังตำแหน่งที่เสิ่นเฉิงยืนอยู่ ยามนี้หลิวเพ่ยเข้าไปช่วยสอนยิงธนูอีกครั้งแล้ว เขายิ่งไม่สบอารมณ์เพิ่มขึ้น แม้แต่มู่เฉียงและตงฟู่ที่อยู่ข้างกายยังสัมผัสได้

“อาฟู่ เจ้าทำเช่นใดก็ได้ ลากเสิ่นเฉิงไปให้ได้ แล้วข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง”

“เพ้ย มันไม่ง่ายเช่นที่เจ้าคิด เจ้าก็รู้เสิ่นเฉิงสนใจเรื่องพวกนี้เสียที่ไหน”

“ข้ารู้มาว่า ท่านแม่ของเจ้า เป็นกังวลเรื่องคู่ครองของเจ้านัก ข้าไปขอให้เสด็จพ่อช่วยดีหรือไม่”

“เจ้าหยุดความคิดชั่วช้าของเจ้าเสีย ข้าจะลากเสิ่นเฉิงไปเอง”

ต้าเหนิง นางไม่รู้เรื่องของอีกฟากลานยิงธนูเลย นางกำลังสนุกไปกับการสอนของหลิวเพ่ย และแข่งกันกับสหายอีกสองคน

“อาเหนิง...” หลิวเพ่ยเหลือบมองไปที่อู๋หลางกับซูกวนว่าได้ยินสิ่งที่เขาพูดหรือไม่

แต่ทั้งคู่ก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจฟังหลิวเพ่ยกับ ต้าเหนิงคุยกันนัก อีกทั้งหลิวเพ่ยยังซ้อนอยู่ด้านหลังของต้าเหนิง เสียงที่ออกมาจึงดูเหมือนกระซิบอยู่ที่ข้างหูของนางแทน คงมีเพียงต้าเหนิงที่สะดุ้งจนเกือบจะปล่อยมือที่จับลูกธนูออก

“ทะ ท่าน” นางจะหันไปมองด้านหลัง

“ไม่ต้องหันมา ข้ารู้...แต่จะไม่พูดออกไป ท่านปู่ก็คงรู้ มิเช่นนั้นคงไม่ส่งเสี่ยวชุนมาให้เจ้า เจ้าจะไปหาท่านปู่บ้างหรือไม่”

“ข้าก็อยากไป แต่ข้าเพิ่งจะหายไข้ วันหยุดครั้งหน้าข้าคงต้องไปรบกวนให้ท่านช่วยสอนขี่ม้าด้วย”

“ได้...ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านอาเขยถึงได้ทำเช่นนี้ แต่เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก เข้าใจหรือไม่”

“ขอรับ” นางพยักหน้ารับเบาๆ

หลิวเพ่ยเป็นเพียงรองแม่ทัพน้อยในเมืองหลวง วันนี้ที่มาสอนแทนอาจารย์ตู้ได้ ก็เพราะถูกขอร้องเอาไว้ ต่อไปคงไม่มีโอกาสจะมาสอนมากนัก จึงอดเป็นห่วงญาติผู้น้องเช่นต้าเหนิงไม่ได้

พอเลิกเรียน ต้าเหนิงที่เหงื่อไคลเต็มตัวก็บอกลาสหายทั้งสองเพื่อเตรียมตัวกลับจวน แต่ก็ถูกตงฟู่เข้ามาขวางทางเอาไว้เสียก่อน

“เสิ่นเฉิง พวกข้ามีนัดจะออกเที่ยวไปเล่นกัน เจ้าก็ไปด้วยกันเถิด”

“ไม่ ข้าต้องทบทวนตำรา” นางมองตงฟู่อย่างหวาดระแวง เมื่อมองหาเสี่ยวชุนก็ไม่เห็นร่างของเขาอยู่ในตำแหน่งเดิมที่รอนางอยู่ตลอด ก็ยิ่งกังวลขึ้นมากกว่าเดิม

“เจ้าก็หยุดสักวันจะเป็นอันใด ไม่อยากไปก็ต้องไป เจ้ามิอาจปฏิเสธข้าได้”

“ไปที่ใด” นางคิดว่า หากกลับไปที่จวนแล้ว พวกเขาก็คงไม่อาจบังคับสิ่งใดจากนางได้

“หอเลี่ยงอวี้”

“ห๊ะ!!! ไม่ ไม่มีทาง” นางหมุนตัวเดินหนีทันที ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

แม้จะไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปใกล้มาก่อน แต่นางก็รู้ดีว่าหอเลี่ยงอวี้คือสถานที่ใด มันไม่ใช่สถานที่ที่สตรีเช่นนางจะเข้าไปได้ แต่ต้าเหนิงก็หนีไม่พ้นเมื่อถูกมือหนาของตงฟู่คว้าแขนดึงกลับมา จนนางเกือบจะเสียหลักล้ม

“เจ้ากลัวสิ่งใด หรือว่า...เจ้าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ (ชายรักชาย) ” ตงฟู่มองประเมินต้าเหนิงอย่างจับผิด

“บ้า!!! หัวเจ้ามีเรื่องใดอยู่บ้างกันแน่ ข้าไม่ไปก็คือไม่ไป ต้องมีเหตุผลใดด้วยหรือ” นางโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ

ตงฟู่ร้อนใจจนกระทืบเท้าอยู่กับพื้น เขามิใช่คนพูดจาชวนฟัง จึงไม่รู้จะหาถ้อยคำใดมาเอ่ยพูดกับนาง เต๋อซิ่วก็มองออกเช่นกัน ว่าตงฟู่คงจะไม่ได้เรื่องแน่ จึงส่งพี่สี่ของตนมาช่วยพูดอีกคน

“คุณชายเสิ่น เพียงไปนั่งฟังฉินดื่มสุราเท่านั้น เจ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย”

“กระหม่อมไม่อยากฟัง บัณฑิตที่ดีจะไม่เหยียบเข้าไปสถานที่เช่นนั้น” นางจ้องมองมู่เฉียงอย่างไม่เกรงกลัว

“นับถือ นับถือ แต่ว่า...เจ้าคงไม่อยากให้พรุ่งนี้เกิดข่าวลือในเมืองหลวงเรื่องที่เจ้าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อใช่หรือไม่”

ไร้ยางอาย ต้าเหนิงจ้องมองมู่เฉียงอย่างมีโทสะ มู่เฉียงยังคงมีรอยยิ้มอยู่น้อยๆ บนใบหน้า เขาไม่สนว่าจะต้องใช้วิธีใดเพื่อให้เสิ่นเฉิงไปให้ได้ ด้วยตนก็ถูกน้องชายข่มขู่มาอีกที

“พวกท่านอยากทำสิ่งใดก็ทำไป ข้าไม่สน” หากนางยอมมิใช่ว่าครั้งหน้าก็ต้องยอมหรือ

“ดี สหายทั้งหลาย คุณชายเสิ่น...” ต้าเหนิงตะครุบปิดปากมู่เฉียงเอาไว้ ก่อนที่เขาจะตะโกนบอกสหายร่วมชั้นเรื่อง เสิ่นเฉิงเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ

“หากข้ายอมไปหนนี้ พวกท่านจะเลิกยุ่งกับข้าใช่หรือไม่” ดวงตาของนางแดงก่ำไปด้วยโทสะ มือของนางยังปิดปากของมู่เฉียงเอาไว้แน่น

มู่เฉียงเหลือบไปมองเต๋อซิ่ว เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้ารับ ตนจึงได้พยักหน้าให้ต้าเหนิงอย่างจำยอม

“แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไร” ยามนี้นางลืมแม้แต่จะใช้คำเรียกขานตามฐานะ

เต๋อซิ่วทนมองเสิ่นเฉิงใช้มือปิดปากพี่สี่ของตนเองไม่ได้ เขาจึงเดินเข้ามาดึงมือออก

“หึหึ ข้าให้ความเมตตากับเจ้าเพียงนี้ ยังมิสำนึก ในเมืองหลวงมีผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่ต้องการเป็นสหายกับพวกข้า”

ก็ข้านี่ไง ต้าเหนิงถลึงตามองเต๋อซิ่วอย่างไม่พอใจ ต่อให้นางไม่ไปพวกเขาก็ทำอันใดนางไม่ได้ ต่อให้เข้าไปจับตัวในจวนก็ต้องดูก่อนว่าจะเข้าไปได้อย่างไร เพียงแต่...นางกลัวว่าชื่อเสียงของพี่ชายที่สั่งสมมาจะจบลงด้วยข่าวลือชั่วช้าที่พวกเขาเอามาขู่นาง

“เก็บความเมตตาขององค์ชายไปมอบให้ผู้อื่นเถิด ขอเพียงนับจากนี้อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับกระหม่อมก็พอ” นางสะบัดชายเสื้อเดินไปหาเสี่ยวชุนที่เพิ่งจะปรากฏตัวออกมา

ต้าเหนิงกลับถึงเรือนด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด นางมิได้บอกบิดาหรือมารดาเรื่องที่จะไปหาเลี่ยงอวี้ เพียงแต่บอกว่าสหายชวนไปหารือเรื่องงานประชันบทกลอนที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

“อืม...อาเฉิงมีชื่อเสียงด้านบทกลอนไม่น้อย ย่อมมีแต่คนอยากให้เขาช่วยเหลือ เจ้าก็อย่าได้กลับดึกนักเล่า แล้วระวังตัวด้วย เสี่ยวชุน อย่าได้ห่างจากนางเด็ดขาด” จื่อหานและจินเหรินไม่เคยสงสัยในคำพูดของบุตรสาวอยู่แล้ว จึงปล่อยให้นางไปข้างนอกอย่างวางใจ

ต้าเหนิงแบกร่างที่ห่อเหี่ยวหลังจากกินมื้อเย็นกลับมาเตรียมตัวที่เรือนอย่างไร้ชีวิตชีวา

นางออกไปด้านนอกอีกครั้งพร้อมด้วยเสี่ยวชุน ต้าเหนิงนั่งรถม้าด้วยความกลัดกลุ้ม รถม้าเคลื่อนมาจนถึงหน้าหอสุรา ที่อยู่ไม่ไกลจากหอเลี่ยงอวี้มากนัก

“คุณชาย ท่านจะไปที่ใด ไม่เข้าไปด้านในหรือขอรับ” เสี่ยวชุนคิดว่าต้าเหนิงใจลอยจนเดินผิดทิศ

“ไม่ใช่ที่นี่ เสี่ยวชุน พวกเขานัดข้าที่หอเลี่ยงอวี้” ต้าเหนิงเม้มปากแน่นอย่างเคร่งเครียด

“...” เสี่ยวชุนเองก็เคร่งเครียดไม่แพ้กัน “ข้าน้อยจะไปแจ้งนายท่าน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel