ข้าป่วยหนักแล้วใช่หรือไม่
จินเหรินให้แม่นมถิง เร่งฝีเท้าไปที่เรือนของต้าเหนิงก่อน เพื่อจะเข้าไปดูด้านในว่าเรียบร้อยแล้วหรือไม่ ส่วนนางเดินนำทางไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“องค์ชายห้าเชิญเพคะ” เมื่อเห็นแม่นมพยักหน้ารับแล้ว จินเหรินก็พาเต๋อซิ่วเข้าไปด้านใน
ต้าเหนิงนางยังคงหลับตานิ่งอยู่บนที่นอน ผ้าห่มยังคลุมอยู่ที่ตัวของนางอย่างหนาแน่น มีเพียงส่วนหัวเท่านั้นที่โผล่ออกมาให้เห็น ใบหน้างามยังซีดขาวด้วยพิษไข้อยู่ ยิ่งทำให้คนที่พบเห็นอดจะสงสารนางไม่ได้
เต๋อซิ่วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง เขาเอาแต่จ้องมองร่างที่คลุมผ้าห่มหนาขึ้นมาถึงคางอย่างไม่เข้าใจ ผมดำราวกับเส้นไหมที่สยายเต็มหมอน ช่วยขับใบหน้างามในงามขึ้นอีกหลายส่วน หากว่า...คนตรงหน้าเป็นสตรี ไม่ใช่บุรุษเช่นที่เขาคิดจะดีมากเพียงใด
เหมือนจะรู้ว่าความคิดตัวเองเหลวไหล เต๋อซิ่วจึงสะบัดหน้าหนีไล่ความคิดของตนเองออกอย่างรวดเร็ว
“อ่อนแอ” เขาพึมพำออกมาเบาๆ
ราวกับเหมือนว่าต้าเหนิงได้ยินเสียงของเต๋อซิ่ว นางปรือตาขึ้นมามองตามเสียงอย่างงัวเงีย เมื่อเห็นว่าผู้ใดที่นั่งอยู่ข้างเตียงนาง นางก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ จนเกือบจะกระโดดหนีลุกขึ้นออกมาจากเตียง ยังดีที่แม่นมถิงกับจินเหริน รวบผ้าห่มที่อยู่บนร่างของนางเอาไว้ได้ทัน
นางไม่ได้รัดหน้าอกนอน หากผ้าห่มหลุดออกจากร่าง เต๋อซิ่วจะต้องล่วงรู้ความลับของนางอย่างแน่นอน
“คุณชายยังไม่หายดี นอนนิ่งๆ เถิดเจ้าค่ะ” แม่นมถิงส่งสายตาเตือนนางไม่ได้ลุกขึ้นเช่นเมื่อครู่อีก
“เอ่อ...องค์ชายห้า พระองค์มาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“มาดูว่าเจ้าเป็นเช่นใด อย่างไรคนที่ทำให้เจ้าถูกลงโทษก็เป็นตัวข้า” เต๋อซิ่วเลื่อนสายตาไปมองที่แม่นมถิงและจินเหรินที่ปกป้องเสิ่นเฉิงเอาไว้อย่างแน่นหนา เหมือนกลัวว่าเขาจะบีบคอหากพวกนางเผลอ
“ก็จริง หากมิใช่พระองค์ กระหม่อมก็คงไม่ต้องล้มป่วยหนักเช่นนี้” นางอดจะมองตำหนิเขาไม่ได้
แต่สายตาที่เต๋อซิ่วเห็น ดวงตาคู่นั้นของเสิ่นเฉิง เหมือนสตรีกำลังน้อยใจ เสียใจที่เขาเป็นฝ่ายทำให้เจ็บตัว
“เหอะ เจ้าร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เต๋อซิ่วถลึงตากลับไป ด้วยกลัวจะเผยให้เห็นแววตาประหลาดของตนยามที่จ้องมองคนป่วยตรงหน้า
“คุกเข่าถึงชั่วยาม ทั้งยังต้องทนเรียนตลอดช่วงบ่าย กระหม่อมจะทนทานไว้ได้อย่างไร ก็เห็นอยู่ว่าร่างกายของกระหม่อมเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองซีเจียงอย่างยากลำบาก”
“เอาละ อย่างไรข้าก็ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้คนส่งของบำรุงร่างกายมาให้ เจ้าจะได้ไม่เสียการเรียน” เต๋อซิ่วไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว เขาไม่อาจทนมองสายตาตำหนิของเสิ่นเฉิงได้ ทั้งยังรู้สึกวูบโหวงในอกอย่างประหลาด ด้วยคิดว่าตนกำลังติดไข้จากเสิ่นเฉิงแล้ว จึงได้ขอตัวกลับออกไป
“องค์ชายห้า เสด็จมาที่จวนกระหม่อม น่าจะแจ้งล่วงหน้าเสียหน่อย” จื่อหานมาทันตอนที่เต๋อซิ่วกำลังจะกลับพอดี
“เสนาบดีเสิ่น ข้าเพียงมาเยี่ยมสหายก็เท่านั้น จะต้องบอกกล่าวให้วุ่นวายเพื่ออันใด” เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ตอนนี้พระองค์ต้องอยู่ที่สำนักศึกษามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ อาเฉิงมิเป็นอันใดมากแล้ว อีกไม่กี่วันก็กลับไปเรียนเช่นเดิม ตอนนี้เชิญพระองค์กลับไปที่สำนักศึกษาก่อนมิดีกว่าหรือ หากฝ่าบาท...”
“ไม่ต้องเอาเสด็จพ่อมาขู่ข้า หึ...เสิ่นเฉิงข้ากลับก่อน เสนาบดีเสิ่น ฮูหยินเสิ่น พวกเจ้าไปต้องไปส่ง ข้ากลับเองได้”
“น้อมส่งองค์ชายห้า” จื่อหานเปิดทางให้เต๋อซิ่วเดินออกไปจากห้องนอนของต้าเหนิง
แต่อย่างไรจื่อหานก็ต้องไปส่งเต๋อซิ่วที่หน้าจวนอยู่ดี ด้วยไม่อาจละเลยหน้าที่ได้ เต๋อซิ่วได้แต่เบ้หน้าอย่างไม่พอใจ ก่อนจะยอมเดินออกไปจากห้องของต้าเหนิงเพื่อกลับไปที่สำนักศึกษา
“เสี่ยวจิ้ง เจ้าเข้าวังไปพบเสด็จแม่ บอกให้ส่งของบำรุงมาที่จวนเสิ่นเสียหน่อย อย่างไรเรื่องที่เสิ่นเฉิงล้มป่วยก็เป็นเพราะข้า...ข้าไปด้วยดีกว่า เหมือนรู้สึกจะติดไข้เจ้าเสิ่นเฉิงอย่างไรไม่รู้” เขาหันไปมองภายในจวนเสิ่นอีกครั้ง พอนึกถึงสายตาของเสิ่นเฉิง ก็อดจะสั่นสะท้านไม่ได้ ก่อนจะรีบร้อนขึ้นรถม้าจากไป
ต้าเหนิงเลื่อนผ้าห่มออกจากตัว นางพยุงตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงโดยมีแม่นมถิงเข้ามาประคองช่วยเหลือ
“ท่านพ่อ ท่านพูดกับองค์ชายห้าเช่นนั้น จะมิเป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่หรอก ว่าแต่องค์ชายห้ามีเหตุผลใดต้องมาดูเจ้าด้วย หรือว่า...” จื่อหานกลัวว่าองค์ชายห้าจะล่วงรู้เรื่องที่ต้าเหนิงเป็นสตรี
“ไม่ใช่เช่นที่ท่านคิด ที่ข้าล้มป่วยก็เป็นเพราะองค์ชายห้า” ต้าเหนิงจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เป็นบิดาฟัง
“เห้อ พ่อทำให้เจ้าได้รับความชอกช้ำแล้วอาเหนิง” จื่อหานนั่งลงลูบผมต้าเหนิงอย่างปวดใจ
“ข้าทนได้เจ้าค่ะ อย่างไรข้าก็เป็นบุตรสาวของท่าน ถูกรังแกเพียงเท่านี้ ข้าไม่เป็นอันใด” นางยิ้มน้อยๆ ให้บิดากับมารดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง
ยิ่งใบหน้างามซีดขาว จนไร้สีเลือด ผู้เป็นบิดาก็ได้แต่มองนางอย่างปวดใจ จินเหรินยังลูบใบหน้าของนางอยู่นานกว่าจะยอมปล่อยมือ แล้วให้ต้าเหนิงพักผ่อนต่อ
จื่อหานเร่งออกมาจากกรมการคลังอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้สั่งความสิ่งใดไว้ จำต้องรีบกลับไปทำงานต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ แม่นมถิงเห็นว่าต้าเหนิงนางฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงได้นำข้าวต้มใส่เกลือมาป้อนนางอย่างใส่ใจ ก่อนจะให้นางดื่มยาแล้วนอนพักต่อ
ต้าเหนิงไม่ได้ไปสำนักศึกษาถึงห้าวัน ซูกวนกับ อู๋หลางแม้จะมาเยี่ยมที่จวน แต่ก็ไม่ได้เข้ามาหาที่เรือนพัก ถูกขวางอยู่ที่ห้องโถงเรือนหลัง ต่างก็ทิ้งของบำรุงเอาไว้ให้อย่างมากมาย แต่ที่น่าตกใจที่สุดเห็นจะเป็นของบำรุงที่วังหลวงส่งมา
จื่อหาน ถึงกับหนวดกระตุกเมื่อรู้ว่าเป็นความประสงค์ขององค์ชายห้าที่ให้ฮองเฮาส่งของมาที่จวนตระกูลเสิ่น ขอเพียงคนไม่มา ทุกสิ่งที่ส่งมาอย่างไรก็ต้องรับเอาไว้
เต๋อซิ่วเมื่อกลับถึงวังหลวง ก็เรียกหมอหลวงให้มาตรวจอาการของตนทันที
“ข้าจะไม่เป็นอันใดได้อย่างไร ก็เห็นอยู่ว่าข้าป่วย” เต๋อซิ่วโวยวายออกมาอย่างไม่ยอมรับผลตรวจ
“เอ่อ...กระหม่อมไร้ความสามารถ องค์ชายห้าเชิญหมอกู้มาตรวจอาการให้พระองค์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ความ ไปเรียกตัวหมอหลวงกู้มา” เต๋อซิ่วแยกเขี้ยวไล่ขันทีข้างกายให้ไปตามหมอหลวงกู้มาตรวจอาการ
แต่เมื่อหมอหลวงกู้ตรวจอาการให้เต๋อซิ่ว ก็ไม่ต่างจากที่หมอหลวงที่ตรวจให้ก่อนหน้าว่าเอาไว้
“พระองค์มิได้เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“มีแต่คนไม่ได้ความ!!!” เขาคำรามออกมาอย่างหัวเสีย
“เอ่อ...องค์ชายห้าเล่าอาการให้กระหม่อมฟังอีกครั้งได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้า...ไม่ต้องแล้ว ออกไป!!! ข้าจะพักผ่อน” เต๋อซิ่วล้มตัวลงนอนอย่างหงุดหงิด หรือเขาเป็นโรคร้ายที่ใกล้ตาย
เห็นๆ อยู่ว่าเขาผิดปกติ ในอกยังสั่นสะท้านไม่หาย หากไม่ได้นึกถึงแววตาของเสิ่นเฉิงที่มองเขาอย่างตำหนิก็ไม่เห็นจะมีอาการ แต่พอนึกถึงเมื่อใด ก็เกิดความรู้สึกเช่นนั้นทันที และดูเหมือนจะยิ่งแย่ไปใหญ่ ยามนี้ราวกับมีม้าศึกนับพันวิ่งทะยานอยู่ในอกจนสับสนวุ่นวายไปหมด
“เจ้าว่าข้าใกล้ตายแล้วใช่หรือไม่ ฝูกงกง” เต๋อซิ่วเอ่ยถามขันทีที่ดูแลเขามาตั้งแต่เล็ก
“โถ่...องค์ชายห้า พระองค์มิได้ป่วยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์คงมิสตรีที่ชมชอบเสียแล้ว” ฝูกงกงอมยิ้มมองเต๋อซิ่ว ที่อายุสิบแปดหนาวแล้วเพิ่งจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ชายหญิง
“จะ เจ้า เจ้าว่าข้าพึงใจ....” เต๋อซิ่วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาไม่กล้าเอ่ยชื่อของเสิ่นเฉิงออกมา หากพูดออกมาฝูกงกงได้ว่าเขาเสียสติแน่
“...” ฝูกงกง เห็นเต๋อซิ่วหันหลังหนีเข้ามุมด้านในอย่างตื่นตระหนก ก็คิดว่าจะนำความเรื่องนี้ไปกราบทูลฮองเฮาแล้ว จะได้รีบไปสู่ขอคุณหนูผู้โชคดีนางนั้นให้เต๋อซิ่ว
