บท
ตั้งค่า

มีแต่คนที่ล่วงเกินไม่ได้

ต้าเหนิงลุกขึ้นไปดึงชายเสื้อของซูกวนเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาต่อปากต่อคำกับกลุ่มของเว่ยซีหมิ่น

“พวกท่านกล่าวไม่ผิด ข้าเดินทางไปแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ ท่านย่าครั้งนี้ลำบากไม่น้อยเลย ร่างกายจะผ่านผอมลงไปก็เห็นจะไม่แปลก ที่แปลกคงเห็นจะเป็นความคิดของพวกเจ้า ที่ไม่เอาเวลาไปสนใจอ่านตำรา แต่กลับสนใจเรือนร่างของผู้อื่น” แววตาของนางเรียบเฉยเสียงที่ปรับให้ทุ่มต่ำ กังวานไพเราะกว่าเสียงของเสิ่นเฉิงมากนัก

ใบหน้าของทุกคนที่ได้ยินเริ่มบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าดู เป็นจริงที่เสิ่นต้าเหนิงพูด นางกำลังพูดว่าพวกเขา เอาแต่เวลามายุ่งเรื่องของผู้อื่นไม่สนใจอ่านตำรา เพื่อเตรียมตัวสอบ

“หึหึ วาจาของคุณชายเสิ่นช่างเฉียบขาดนัก ตัวข้าซื่อจื่อ ก็เพิ่งเคยได้ฟังเป็นคราแรกเช่นกัน” เสียงตบมือของหลี่ตงฟู่ ซื่อจื่อตำหนักสู่อ๋องดังขึ้นทันทีที่ต้าเหนิงพูดจบ

ตงฟู่ ยืนฟังอยู่นานแล้ว เขาเองก็อยากจะเห็นว่าเสิ่นเฉิงที่สูงส่งไม่สนใจผู้ใด คิดจะตอบโต้เว่ยซีหมิ่นกลับหรือไม่ ยามที่อ้าปากตำหนิเว่ยซีหมิ่นออกมา ตงฟู่ที่ไม่ค่อยเห็นเสิ่นเฉิง แสดงอารมณ์มากนักก็แปลกใจมากเช่นกัน

หากพิจารณาตามที่เว่ยซีหมิ่นว่า ร่างกายของเสิ่นเฉิงก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลย แต่ความสูงตงฟู่ไม่แน่ใจ ด้วยไม่เคยเทียบกันจริงๆ จังๆ สักครั้ง

ต้าเหนิงทำได้เพียงโค้งคำนับหลี่ตงฟู่ตามธรรมเนียม โดยที่สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศกับพวกเขาเท่านั้น

“ขอบคุณซื่อจื่อที่เอ่ยชมข้าจากใจจริง”

“แต่ร่างกายของเจ้าก็ซูบผอมจริงเช่นที่เว่ยซีหมิ่นว่า หรือว่าสองท่านผู้เฒ่าเสิ่นล้มป่วยหรือ”

“ท่านปู่ ท่านย่าสบายดี เพียงแค่ข้าเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง จึงมิค่อยได้ดื่มกินอันใดมากนัก” ไม่รู้จะถามอะไรนางมากมาย

“ดี ไม่เป็นอันใดก็ดี เพียงแต่ว่า...เหตุใด น้องสาวเจ้าต้องเร่งรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงด้วยเล่า ปีนี้นางต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้วมิใช่หรือ หรือว่า...สองผู้เฒ่าเสิ่นจะจัดการเรื่องงานแต่งให้นาง”

ต้าเหนิงได้แต่เม้มปากแน่น เป็นจริงเช่นที่ตงฟู่ว่า ปีนี้นางอายุสิบเจ็ดหนาวแล้ว อย่างไรก็ต้องออกเรือนในปีนี้ หากล่าช้ากว่านี้เกรงว่าจะหาบุรุษตบแต่งนางได้ยากแล้ว

เมื่อต้าเหนิงไม่คิดสนใจคำพูดของเขาต่อ แต่ดูเหมือนว่าหลี่ตงฟู่จะไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้นาง ทั้งยังไล่คนที่นั่งติดกันให้หลบไปนั่งที่อื่นแทน

“ซื่อจื่อเช่นข้าจะนั่งข้างเจ้าก็แล้วกัน หวังว่า...เจ้าจะชี้แนะข้าด้วย”

ต้าเหนิงยังคงไม่ตอบ นางนั่งลงที่ตำแหน่งของนางอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่จะมีผู้ใดเอ่ยคำถามออกมาอีก อาจารย์ฟ่านก็เดินเข้ามาภายในห้อง ทุกคนจำต้องเดินกลับไปนั่งตามตำแหน่งของตน

“อาเฉิงเดินทางครั้งนี้ลำบากมากเลยหรือ” อาจารย์ฟ่านมองศิษย์รักด้วยสายตาเป็นห่วง ทุกครั้งที่สำนักศึกษาหยุดพักการสอนนับเดือน เสิ่นเฉิงจะเดินทางไปเยี่ยมท่านปู่ ท่านย่า เรื่องนี้ผู้ใดล้วนแต่รู้ดี

“ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ห่วงใยศิษย์ ศิษย์เดินทางลำบากเล็กน้อยขอรับ” นางลุกขึ้นกุมมืออย่างนอบน้อม น้ำเสียงที่กดให้ต่ำลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้อาจารย์ฟ่านยิ่งมองนางด้วยความห่วงใยเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

“ดูแลสุขภาพด้วย อีกเพียงสามเดือนจะสอบ เจ้าก็อย่าได้กดดันตนเองจนล้มป่วยเล่า” เขาโบกมือให้ต้าเหนิงนั่งลง

ต้าเหนิงยิ่งกังวลเพิ่มขึ้นกว่าเดิม นางรู้ดีว่าอาจารย์ฟ่านคาดหวังผลการสอบของพี่ชายนางมากเพียงใด

เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบด้านหลัง พร้อมกับเสียงฝีเท้าอีกคู่ที่เดินอย่างเออระเหยดังขึ้นก่อนที่อาจารย์ฟ่านจะร้องสั่งให้เปิดตำรา

“เห็นหรือไม่ ยังไม่เริ่มเรียน” เสียงเฉยชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวดังขึ้น ราวกับจะบอกชายหนุ่มที่เร่งรีบด้านหน้า แต่เสียงของเขาก็ดังมากพอให้ทุกคนที่อยู่ในห้องได้ยิน

“องค์ชายสี่ องค์ชายห้า พระองค์มายามนี้ก็นับว่าสายแล้ว ทั้งสองพระองค์คัดตำราเพิ่มจากเดิมอีกห้าแผ่น” เสียงสั่งของอาจารย์ฟ่าน บ่งบอกว่าเขาไม่พอใจอย่างเต็มที่ แต่ก็มิอาจลงโทษไปได้มากกว่าสั่งให้ทำงานเพิ่ม

“น้องห้า ข้าบอกเจ้าแล้ว ครั้งหน้าข้าไม่รอเจ้าแน่” องค์ชายสี่ หลี่มู่เฉียงเดินกระทืบเท้าเข้ามานั่งตำแหน่งของตนเองอย่างไม่พอใจ ขันทีข้างกายทำได้เพียงแค่นำสิ่งของมาวางให้เขาแล้วกลับออกไปรอด้านนอก

แต่หลี่เต๋อซิ่ว ทำเพียงแค่นเสียงอยู่ในลำคอ ก่อนจะรับสิ่งของมาจากขันทีแล้วเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามานั่งอย่างไม่สบอารมณ์ หากไม่ใช่ว่าถูกองค์รัชทายาทที่เป็นพี่ชายร่วมอุทรของตน รั้งตัวเอาไว้เพื่อสอบถามเรื่องที่เขาทำให้เสด็จแม่โกรธ ก็คงไม่ต้องมาสายถึงเพียงนี้

ต้าเหนิงมิได้หันมาสนใจผู้ที่เพิ่งมาถึงทั้งสองคน นางนั่งหลังตรงก้มหน้าลงสนใจเพียงแค่ตำราที่อยู่ตรงหน้า แต่แผ่นหลังของนางกลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เกิดจากความเคร่งเครียด ในห้องเรียนนี้ ไม่มีผู้ใดที่นางสามารถหาเรื่องได้สักคน ทุกการกระทำของนางจะต้องทำไปด้วยความระมัดระวัง

พออาจารย์ฟ่านเริ่มท่องบรรยายตามตำรา หัวใจที่เต้นระรัวของนางก็ผ่อนคลายลง รับฟังและจดตามสิ่งที่อาจารย์ฟ่านสอนอย่างตั้งใจ วันหนึ่งนางต้องใช้เวลาอยู่ที่สำนักศึกษาสองชั่วยามในช่วงเช้าเพื่อเรียนตามตำรา ช่วงบ่ายต้องไปเรียนขี่ม้า ยิงธนูอีกสองชั่วยาม

“พรุ่งนี้ นำงานที่สั่งมาส่งก่อนเข้าชั้นเรียนครึ่งชั่วยาม วันนี้พวกเจ้าไปพักได้แล้ว” ราวกับเสียงสวรรค์ ต้าเหนิงได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของหลายคนที่ได้รับการปลดปล่อยเสียที

นางรีบเก็บข้าวของใส่ถุงผ้าที่แม่นมถิงเย็บให้ใหม่อย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้หลบออกไปหาเสี่ยวชุนที่รออยู่ด้านนอกเสียที

“อาเฉิงจะรีบไปไหน พวกข้ากำลังจะไปเหลาอาหาร ไปด้วยกันดีหรือไม่ ประเดี๋ยวจะได้ไปเรียนกระบี่กับท่านอาจารย์ตู้ต่อได้เลย” ซูกวนดึงรั้งแขนของต้าเหนิงที่กำลังจะออกจากห้องเรียนเอาไว้

“เอ่อ...ข้าเตรียมมื้อกลางวันมาเอง ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว” นางตั้งท่าจะเดินออกไป ก็ถูกโจวอู๋หลางรั้งเอาไว้อีกคน

“ข้าอยากรู้เรื่องที่เมืองซีเจียง อยากจะให้เจ้าเล่าให้ฟัง อาหารที่เตรียมมา เจ้าก็ยกให้บ่าวของเจ้าไปเสีย”

“ตะ แต่ว่า...”

“ไม่ต้องพูดแล้ว” ซูกวนกับอู๋หลางคล่องแขน ต้าเหนิงคนละข้าง ก่อนจะลากนางออกไปจากห้อง

สีหน้าของนางแตกตื่นไม่น้อย ด้วยบุรุษและสตรีมิอาจจะถูกเนื้อต้องตัวกันได้ นางเองก็ไม่เคยมีสหายที่เป็นบุรุษมาก่อน นอกจากพี่ชายของนาง แม้จะอยู่ในนามของเสิ่นเฉิงแล้ว แต่มันก็ยังไม่คุ้นชินเสียที

เสี่ยวชุนที่เห็นบัณฑิตร่วมชั้นของผู้เป็นนายเดินออกมากันแล้ว จึงได้มายืนรออยู่ด้านข้างเพื่อรอรับ ต้าเหนิง พอเห็นสายตาของนางที่ส่งมาให้เขาเข้าช่วยเหลือ จึงเดินเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าของทั้งสามทันที

“คุณชายเหอ คุณชายโจว ปล่อยมือจากคุณชายของบ่าวด้วยขอรับ” เสี่ยวชุนเอ่ยเสียงเรียบออกมา แต่เสียงของเขาก็ทำให้สหายของเสิ่นเฉิงสะดุ้งจนยอมปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว

ต้าเหนิงเดินปรี่เข้าไปอยู่ข้างเสี่ยวชุนทันที ก่อนจะส่งของในมือให้เขาถือเอาไว้ นางยังส่งสายตาขอบคุณไปให้เสี่ยวชุนอีกด้วย

“ไม่เห็นจะต้องทำเช่นนี้เลย คุณชายเจ้าเป็นสตรีหรืออย่างไร” เสียงเย้ยหยันแกมหยอกล้อขององค์ชายห้า หลี่เต๋อซิ่ว ทำให้ต้าเหนิงอดที่จะสะดุ้งไม่ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel