เข้าเรียนวันแรก
เสิ่นต้าเหนิงยังต้องคัดตำราและทบทวนตำราก่อนนอนอีกสองชั่วยาม ไม่ว่าอย่างไรตัวอักษรของนางก็ไม่อาจสู้เสิ่นเฉิงได้ ทำได้เพียงแค่คล้ายคลึงสามส่วนเท่านั้น
สองมือของนางเท้าอยู่ที่แก้ม แววตาของนางเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างจากไร้จุดหมาย นางคัดตัวอักษรโดยมีตำราที่เสิ่นเฉิงเคยคัดลอกเอาไว้วางอยู่บนโต๊ะ มาได้เกือบชั่วยามแล้ว
“หากเหนื่อยแล้ว เข้านอนดีหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมถิงเอ่ยถามอย่างเห็นใจ แม้คุณหนูจะต้องเรียนคู่กับคุณชายมาตั้งแต่เล็ก แต่นางก็ไม่เคยต้องทนคัดตำรา อ่านตำรามากเพียงนี้มาก่อน
“ไม่ได้ ข้ายังไม่อาจเขียนได้เหมือนท่านพี่จะหยุดมือมิได้ แม่นม...ข้ากลัว กลัวว่าข้าไม่อาจสุขุมได้เหมือนท่านพี่ แล้วจะถูกจับได้” นางอดที่จะสั่นสะท้านออกมาไม่ได้ เมื่อนึกถึงความลับของพวกนางสองพี่น้องถูกเปิดเผยออกไป
“อย่าเพิ่งกังวลไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวยังไม่เกิดขึ้น คุณแม่ของบ่าวรู้ดีว่าควรทำเช่นไร” ฝ่ามือที่อบอุ่นของแม่นมถิงปลอบประโลมนางไปด้วย
“แต่ข้าไม่คุ้นชินกับสหายของท่านพี่เลยสักคน”
“สหายของคุณชายที่สนิทก็มี คุณชายเหอ คุณชายโจว ท่านเพิ่งแค่พูดคุยกับทั้งสองเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”
เสิ่นต้าเหนิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เหอซูกวนกับโจวอู๋หลาง สองคนนี้นับว่าเป็นสหายสนิทของพี่ชาย เคยมาเที่ยวเล่นอยู่ที่จวนหลายหน นางยังเคยเห็นทั้งสองจากที่ไกลๆ นับว่ายังไม่เคยได้สนทนาสักครั้ง แต่ฟังจากปากของพี่ชาย ก็นับว่าทั้งสองนิสัยดีไม่น้อย
ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่อาจสงบใจได้ จนล้มตัวลงนอนอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง ดวงตาของนางเหม่อมองอยู่ที่ม่านมุ่งสีครามพลางทอดถอนใจหลายหน
หน้าประตูห้องนอน นางยังเห็นร่างของเสี่ยวชุนที่ยืนเฝ้าไม่ห่างอยู่รางๆ พอได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของต้าเหนิง เสี่ยวชุนก็กลับไปที่ห้องพักที่แม่นมถิงจัดเตรียมไว้ให้เขาอยู่ไม่ห่างจากห้องของต้าเหนิง
ความจริง เสี่ยวชุนอยากจะนอนเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องต้าเหนิง แต่มีแม่นมอยู่เฝ้านางแล้ว เขาจึงยอมกลับไปนอนห้องที่ถูกจัดเอาไว้ให้อย่างเชื่อฟัง
คงเป็นเพราะเมื่อคืนกว่านางจะฝืนตาหลับไปก็ดึกมากแล้ว พอรุ่งเช้าแม่นมถิงต้องงัดนางขึ้นมาจากเตียง นางจึงได้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“คุณหนู สาวใช้กำลังเข้ามาเจ้าค่ะ” แม่นมถิงกระซิบเตือนนางที่กำลังขยี้ผมอยู่
“...” ต้าเหนิงตาตื่นเต็มที่ ก่อนจะขยับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วนั่งหลังตรงเลียนแบบเสิ่นเฉิง
ท่าทางของเสิ่นเฉิงนางเลียนแบบได้อย่างไร้ที่ติ สองพี่น้องมักจะคลุกคลีอยู่ด้วยกัน ต้าเหนิงนางก็ชอบเลียนแบบท่าทางที่เคร่งขรึมของพี่ชายอยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะทำออกมาได้คล้ายเสิ่นเฉิงถึงเจ็ดส่วน
สาวใช้เริ่มเข้ามาปรนนิบัติต้าเหนิงล้างหน้า นอกจากล้างหน้า ทุกสิ่งล้วนเป็นแม่นมถิงที่จัดการให้ต้าเหนิง สาวใช้คนอื่นจะถูกไล่ออกไปจากห้อง เมื่อนางต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
วันนี้เป็นวันแรกที่นางจะต้องไปสำนักศึกษาหลวง หลังจากรับมื้อเช้าเรียบร้อย ต้าเหนิงนางก็ขึ้นรถม้าออกไปพร้อมกับเสี่ยวชุนที่ทำหน้าที่ติดตามนาง
“เสี่ยวชุน เจ้าคงไม่อาจเข้าไปได้ เจ้ารอข้าอยู่แถวนี้ได้หรือไม่” ต้าเหนิงมองประตูสำนักศึกษาอย่างร้อนรน
“คุณชายอย่าได้กังวล ข้าน้อยจะเฝ้าท่านไม่ห่าง หากเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าน้อยย่อมช่วยเหลือท่านเอาไว้ได้ทัน”
“เจ้าจะไม่ทิ้งข้าใช่หรือไม่” นางหันไปมองเสี่ยวชุนอย่างจริงจัง
“ขอรับ” เขาตอบรับด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเช่นเดิม
ต้าเหนิงสูดลมหายใจเข้าหลายหน ก่อนที่นางจะทำใจเดินเข้าไปด้านในได้ แต่ก็ยังคงเหลียวกลับมามองที่เสี่ยวชุนอยู่บ่อยครั้งอย่างเป็นกังวล
นางไม่ได้ร่ำเรียนพร้อมกับคุณชายในเมืองหลวงเท่านั้น ยังมีองค์ชายและซื่อจื่ออีกหลายคน จะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร ชื่อเสียงของพี่ชายนางก่อนหน้านี้ก็เป็นที่เลื่องลือ หากนางที่มีเพียงความรู้ตื้นเขินแสดงความโง่เขลาออกมาจนเป็นที่ขบขัน นางจะต้องทำเช่นไร
แววตาของต้าเหนิงมีแต่ความกังวล ท่าทางที่แสดงออกมาจึงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด นางเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียนด้านหลังสุด เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นที่โดดเด่นมากนัก แต่เหมือนสวรรค์จะไม่เข้าข้างนาง เมื่อเหอซูกวนและโจวอู๋หลางมาถึง ก็เดินเข้ามาหานางอย่างแปลกใจ
“อาเฉิง เหตุใดถึงไม่ไปนั่งที่ของเจ้าเล่า” เหอซูกวนเอ่ยถามออกมาอย่าแปลกใจ
ทุกครั้งเสิ่นเฉิงจะนั่งอยู่แถวหน้าสุด เขาเป็นคนที่ตั้งใจเรียนไม่น้อย ทั้งยังตอบคำถามของอาจารย์ได้อย่างเฉลียวฉลาด
“อ้อ...” นางหลบสายตาของพวกเขา ต้าเหนิงจะรู้ได้อย่างไรว่าที่นั่งของพี่ชายนางอยู่ที่ใด
โจวอู๋หลางดึงแขนเสิ่นต้าเหนิงให้ลุกตามเขาไปยังที่นั่งของนาง
ความตื่นตกใจที่อยู่ๆ ถูกบุรุษแตะเนื้อต้องตัวเช่นนี้ ต้าเหนิงนางสะบัดมือออกอย่างรวดเร็ว ทำให้สหายทั้งสองจ้องมองเขาด้วยความแปลกใจ แม้นางจะรักษาท่าทีที่สุขุมเช่นพี่ชายเพียงใด แต่ก็ยังไม่อาจปิดบังความกังวลในแววตาเอาไว้ได้
“ดะ ได้ ข้าเดินไปเอง” นางก้มหน้าเก็บสี่สิ่งล้ำค่า (พู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก) ของตนเองอย่างลนลาน
“เจ้าเป็นอันใดไป มา...ข้าช่วย” ซูกวนก้มลงช่วยนางเก็บอย่างแปลกใจ
เดิมเสิ่นเฉิงก็สุขุมจนเกือบจะเรียกได้ว่าเยือกเย็นอยู่แล้ว เมื่อเห็นคนต้องหน้ามือไม้สั่น เก็บของไม่ได้ก็อดจะแปลกใจไม่ได้
“อาเฉิง เดินทางไปเมืองซีเจียงเกิดสิ่งใดขึ้นหรือไม่” โจวอู๋หลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ สหายของเขาเปลี่ยนไปมากนักเมื่อกลับมาจากเมืองซีเจียงในครั้งนี้
ต้าเหนิงรีบปรับอารมณ์ที่ตื่นกลัวของนางให้สงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเจอคำพูดสงสัยของอู๋หลาง หากนางยังตื่นตระหนกเช่นนี้ต่อไป ผู้อื่นจะต้องจับได้แน่นอนว่านางไม่ใช่เสิ่นเฉิง
เพียงไม่นาน คนอื่นก็เริ่มเข้ามาภายในห้องเรียน ต้าเหนิงยืดแผ่นหลังตั้งตรงโดยที่นางก็ไม่รู้ตัว เมื่อเสียงพูดคุยภายในห้องเรียนดังขึ้นเรื่อย ๆ เนื้อตัวของนางก็แข็งแกร่งอย่างน่าสงสาร
“หึ คุณชายเสิ่นเจ้าแปลกไปไม่น้อยเลย” เสียงดูแคลนที่ดังอยู่ด้านหลัง ทำให้ลมหายใจของเสิ่นต้าเหนิงยุ่งเหยิงไปใหญ่
“แปลกที่ใด เจ้าก็เห็นอยู่ว่าตรงหน้าก็เป็นอาเฉิง” ซูกวนปรายตามองเว่ยซีหมิ่นอย่างไม่ชอบใจ
“พวกเจ้าดูไม่ออกจริงรึ คุณชายเสิ่นเตี้ยลงกว่าเดิมต้องหลายชุ่น (ประมาณ3.33 เซนติเมตร) ทั้งยังบอบบางราวกับสตรี” เว่ยซีหมิ่นใช้สายตาดูแคลนกวาดขึ้นมองเรือนร่างของต้าเหนิงอย่างโจ่งแจ้ง
“เพ้ย!!! อาเฉิงเพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อวาน ระหว่างทางคงลำบากไม่น้อย ถึงได้ซูบผอมเช่นนี้ หากไม่มีสิ่งใดจะพูด ก็หุบปากของเจ้าไปเสีย” อู๋หลางกระโดดออกมาแยกเขี้ยวอย่างไม่พอใจ
ต้าเหนิงยังคงนั่งนิ่งเช่นเดิม นางมิได้ตอบโต้หรือหันไปสนใจว่าเมื่อครู่เป็นผู้ใดที่เอ่ยขึ้นมา ต้าเหนิงไม่สนใจมิใช่ว่าซูกวนและอู๋หลางจะไม่สนใจ ทั้งสองโกรธจนหน้าดำคล้ำ เต้นเร่า ๆ ชี้หน้าตำหนิคนที่เอ่ยปากดูแคลน ต้าเหนิง
"เห้อ...ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ" เว่ยซีหมิ่นยิ้มเยาะออกมา จากสายตาของเขาก็เห็นอยู่ว่าเสิ่นเฉิงเปลี่ยนไปจนน่าประหลาดใจ
“จะ เจ้า...”
