ปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบไม่ได้หรือ
กว่าอาจารย์ตู้จะเลิกชั้นเรียน ต้าเหนิงนางก็แทบจะประคองร่างของนางเอาไว้ไม่ไหวแล้ว นางไม่สนใจเสียงเรียกของสหายหรือว่าองค์ชายคนใดอีก นางเร่งฝีเท้าหนีออกจากลานซ้อมอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้กลับไปที่จวนเสียที
เนื้อตัวของนางเหนียวเนอะไปหมด ต้าเหนิงไม่สนใจอาหารที่แม่นมถิงเตรียมไว้ให้ นางเอ่ยปากขออาบน้ำก่อนทันที แม้แต่จะเข้าไปหามารดาเพื่อรายงานเรื่องที่เข้าเรียนวันแรก นางก็ไม่มีกระจิตกระใจจะไป หาไปทีเดียวตอนมื้อเย็นเลย
“ข้าอยากอาบน้ำ”
“ได้เจ้าค่ะ”
แม่นมรู้เวลากลับจวนของต้าเหนิงจึงให้สาวใช้เตรียมน้ำไว้ให้นางเรียบร้อยแล้ว ภายในห้องอาบน้ำก็มีเพียงแม่นมที่อยู่ดูแลนาง
“คุณหนูของบ่าว” แม่นมถิงลูบมือที่บวมแดงของต้าเหนิงอย่างปวดใจ
“ข้าไม่เป็นอันใด ท่านอย่าได้ทำหน้าเช่นนี้” ต้าเหนิงยิ้มกว้างให้แม่นมถิง
“ทนอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ คุณชายจะกลับมาในเร็ววันอย่างแน่นอน”
“อืม” นางก็หวังให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ต้าเหนิงนางมีสหายที่เป็นสตรีอยู่ไม่น้อยเลย ด้วยนางเป็นคนสดใสร่าเริง ผู้ใดอยู่ใกล้ก็มักจะสนุกสนานไปกับนางด้วย พอสหายของนางรู้ว่านางเดินทางไปซีเจียงอย่างเร่งรีบ ต่างก็ส่งจดหมายมาถามไถ่นางอย่างกังวล
วันนี้ที่ออกไปที่เหลาอาหาร นางยังกลัวเลยว่าจะพบสหายของนางเขา จึงเอาแต่เดินก้มหน้าไปมองไปทางอื่น จดหมายที่ควรจะส่งไปที่ซีเจียง แต่ตอนนี้กลับวางอยู่บนโต๊ะในห้องนอนของนาง
เกาซีม่าน หลินอวี้ กงเหยี่ยน และอีกหลายคนที่ส่งมา ต้าเหนิงนางเขียนตอบกลับไปทั้งหมด เพียงแต่ยังมิได้ส่งออกไป ต้องรอเวลาอีกหลายวันทำให้ดูเหมือนว่าจดหมายถูกส่งมาจากเมืองซีเจียง
เพียงแค่ตอบจดหมายของทุกคนเสร็จ นางก็เหนื่อยล้าจนหนังตาแทบจะปิดแล้ว จึงได้ล้มตัวนอนพักก่อนที่จะต้องตื่นมาทำงานที่อาจารย์ฟ่านสั่งเอาไว้
ต้าเหนิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ นายท่านกับฮูหยินรอรับมื้อเย็นอยู่เจ้าค่ะ”
“ยามใดแล้ว”
“ต้นยามซวีเจ้าค่ะ” (ประมาณ19.00น.)
“เช่นนั้นก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด” ต้าเหนิงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะไปหาบิดามารดาที่เรือนหลัก
จื่อหาน เมื่อรู้จากบ่าวว่าต้าเหนิงนั่งรออยู่ในห้องโถง จึงได้วางมือจากงานในห้องตำรา แล้วออกมาหานาง
“ลำบากเจ้าแล้ว” เขามองใบหน้าของบุตรสาวอย่างปวดใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดเสี่ยวชุนรายงานให้ฟังแล้ว
“ไม่เป็นอันใดขอรับ ข้าทนได้” นางยิ้มออกมาเพื่อให้บิดาคลายความกังวลใจ
“แต่แม่ปวดใจยิ่งนัก” จินเหรินมองหนาบุตรสาวแล้วก็ลอบปาดน้ำตาไปด้วย
สามคนพ่อแม่ลูกกินข้าวไปสอบถามเรื่องราวอย่างละเอียดที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาไปด้วย
“ต่อไปก็หลีกเลี่ยงองค์ชายสี่กับองค์ชายห้าเสีย ซื่อจื่อก็อย่าได้ไปข้องเกี่ยวมากนัก”
“เจ้าค่ะ” นางก็อยากจะหลีกเลี่ยง แต่จนใจที่วันนี้นางหลบไม่พ้น
พอกินอาหารเรียบร้อยแล้ว แม่นมถิงก็ถือกาสุราเข้ามาตามคำสั่งของจื่อหาน
“ท่านพ่อ” นางรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่บิดากำลังเทส่งมาให้นางคือสิ่งใด
วันนี้นางเพิ่งจะถูกฤทธิ์ของสุรานารีแดงทำให้เข็ดขยาด จึงไม่อยากจะรับจอกสุราที่บิดายื่นส่งมาให้
“เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะดื่มมัน พ่อไตร่ตรองไม่ดีเอง จึงทำให้เจ้าขายหน้าในวันนี้”
“แม่เองก็ไม่ได้สั่งสอนเจ้าให้เตรียมรับมือตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าแข็งใจดื่มหน่อยเถิด ต่อไปจะได้เตรียมรับมือจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้” จินเหรินลูบหลังบุตรสาวอย่างปลอบโยน
“มิใช่ความผิดของพวกท่าน ผู้ใดจะคิดว่าองค์ชายห้าจะ...” นางกลืนคำว่าต่ำช้าลงคอไป ถึงแม้ภายในห้องโถงจะไม่มีผู้ใดอยู่ แต่ก็ไม่ควรเอ่ยออกมา
“ดื่มเถิด ต่อไปนี้เจ้าต้องดื่มทุกวัน โดยเพิ่มขึ้นวันละหนึ่งจอก”
ต้าเหนิงกลืนน้ำลายลงคออยากยากลำบาก ใบหน้างามบิดเบี้ยวไม่ชวนมอง แต่ก็จำต้องกระดกแล้วรีบกลืนลงคอไปอย่างรวดเร็ว
“แค่ก แค่ก” นางไอจนตัวโยน จื่อหานก็เข้ามาช่วยลูบหลังให้อย่างใส่ใจ
“ไม่ต้องรีบ สุราจะดื่มเช่นที่เจ้าทำไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะสำลักออกมา”
“เจ้าค่ะ” นางกลั้นไอจนใบหน้าแดงก่ำ
ต้าเหนิงดื่มสุราไปสองจอก นางก็เริ่มประคองสติไม่ได้แล้ว แม่นมถิงที่เตรียมน้ำแกงสร่างเมาเอาไว้ ยื่นส่งไปให้ถึงปากของนางอย่างใส่ใจ
“ข้ายังต้องทำงานของอาจารย์ฟ่านอีก แล้วจะทำไหวได้อย่างไร”
“แล้วเหตุใดไม่พูดให้เร็วกว่านี้เล่า” จื่อหานตกใจไม่น้อย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับไปพักก่อน ข้าไม่ไหวแล้ว แม่นมประเดี๋ยวท่านเรียกข้าด้วยก็แล้วกัน ข้าจะได้ลุกขึ้นมาทำงาน” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะให้แม่นมช่วยประคองกลับไปที่เรือนพัก
จื่อหาน และจินเหรินมองตามแผ่นหลังของต้าเหนิงที่ถูกแม่นมถิงประคองออกไปอย่างปวดใจ สองสามีภรรยากอดกันร่ำไห้เบาๆ ได้แต่ภาวนาขอให้พบข่าวของเสิ่นเฉิงในเร็ววัน
แม่นมถิงเห็นว่าต้าเหนิงนอนหลับสนิท นางจึงได้เรียกอีกครั้งตอนยามอิ๋น (03.00-04.59) ต้าเหนิงรีบสลัดความมึนงงออก ก่อนจะลงมือทำงานทันที
ข้าวเช้าต้าเหนิงเพียงกินโจ๊กรองท้องไปได้ไม่กี่คำ นางก็ต้องรีบเดินทางไปสำนักศึกษาแล้ว ทั้งนอนไม่เต็มอิ่มและกินไม่เต็มท้อง ต้าเหนิงจึงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ใบหน้าของนางจึงบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา
“อาเฉิง เจ้าไม่สบายหรือ” ซูกวนเห็นใต้ตาที่ดำคล้ำของต้าเหนิงจึงเอ่ยถามออกมาอย่างเป็นห่วง
“เปล่า” นางเดินต่อโดยไม่ใส่ใจ
“แล้วเหตุใดสภาพเจ้าถึงเป็นเช่นนี้เล่า” เขายื่นมือออกมาจะแตะลงที่ใบหน้าของต้าเหนิง แต่ถูกเสี่ยวชุนจับรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ข้านอนน้อย เจ้าอย่าได้ใส่ใจ” นางโบกมือให้เสี่ยวชุนถอยออกไป ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปอยู่ในห้องเรียน
ต้าเหนิงหยิบของออกมาจากถุงผ้า ความคิดของนางก็นึกถึงแต่เตียงนอน ผ้าห่มนุ่มๆ ที่จวน จึงไม่ได้สนใจเสียงของสหายร่วมชั้นที่เข้ามาภายในห้อง
“อาเฉิง!!! ข้าเรียกเจ้านานแล้ว ไม่ได้ยินหรือ” ตงฟู่พองแก้มมองนางอย่างไม่พอใจ เขาจะถามเสียหน่อยว่าเมื่อวานกลับไปที่จวนเป็นเช่นใดบ้าง ได้ฟ้องเสนาบดีเสิ่นเรื่องที่พวกเขากลั่นแกล้งหรือไม่
“ซื่อจื่อมีสิ่งใดต้องการพูดกับข้าน้อยหรือ” นางเอ่ยถามโดยไม่หันไปมองตงฟู่
“เฮ้ยย เจ้าเป็นอันใด เหตุใดตาเจ้าถึงได้ดำเช่นนี้”
ต้าเหนิงได้แต่กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ก็เป็นเพราะพวกท่านที่ลากข้าไปเมื่อวาน นางจะเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร จึงได้แต่ก้มหน้าหยิบของขึ้นมาวางเตรียมตัวเข้าเรียน
ตงฟู่เห็นนางไม่สนใจ เขาจึงเริ่มจะมีโทสะเสียแล้ว แต่เสียงของเต๋อซิ่วกับมู่เฉียงก็ดังขึ้นมาเสียก่อน จึงหลีกทางให้ทั้งคู่
“สภาพเจ้าวันนี้ดูไม่ได้เสียเลย” เต๋อซิ่วเบ้ปากอย่างดูแคลน เขายื่นหน้ามามองใบหน้าของนางใกล้ๆ
ด้านข้างของเขายังมีมู่เฉียงที่มองใต้ตาของ ต้าเหนิงอย่างขบขันอยู่ด้วย นางเริ่มจะหมดความอดทนกับเจ้าพวกหน้าหนาพวกนี้แล้ว แต่ก่อนที่ต้าเหนิงจะระเบิดอารมณ์ออกมา เสียงด้านหลังก็ดังขึ้น
“อาเฉิง!!!”
“อันใดอีก!!! พวกท่านเป็นอันใดกับข้า ปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบไม่ได้หรือไร” นางลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังจนมือคู่งามบวมแดงทันที
“...”
เสียงรอบข้างเงียบสนิท ต้าเหนิงไม่เข้าใจว่าบุรุษที่ล้อมนางอยู่ตอนนี้เหตุใดต้องมองนางเหมือนมองคนเสียสติด้วย ซูกวนเดินเข้ามาดึงแขนเสื้อของนางให้มองไปด้านหลัง เพื่อดูว่าคนที่นางตวาดออกไปเมื่อครู่เป็นผู้ใด
