บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8

ทุกถ้อยคำวาจาที่ฉีซื่อหมิ่นกล่าวออกมาล้วนแล้วแต่โกหก สายตาของเขายามที่เอ่ยคำสาบานมีแต่ความเคียดแค้นชิงชัง แม้กระทั่งในตอนหลับนอนกับหลิวชิวเยี่ยแววตาของเขายังดูราวกับสาแก่ใจ คล้ายว่าที่เขาทำไปทั้งหมด ก็เพื่อแก้แค้น

ในเมื่อหลิวชิวเยี่ยกำลังจะไปเป็นเจ้าสาวของอู๋เหอจี้ ฉะนั้น ตามความคิดของนาง คือฉีซื่อหมิ่นจงใจพรากความบริสุทธิ์ของหลิวชิวเยี่ยเพื่อต้องการแก้แค้นอู๋เหอจี้ ให้อีกฝ่ายรับกากเดนจากตนเอง ต้องมีจิตใจต่ำทรามเพียงใดถึงได้ทำเช่นนั้นได้ จะไม่ให้นางรังเกียจฉีซื่อหมิ่นได้อย่างไร

“เรื่องนั้นเจ้ามิต้องกังวล ข้าจะคอยสอนเจ้าเอง” มู่ตงกล่าวประโยคนี้จบ ก็โบกมือไล่เด็กทั้งสอง “พวกเจ้าไปพักเถิด ฟ้าจะมืดแล้ว หากชักช้า ประเดี๋ยวจะหาที่พักในกระโจมมิได้”

ชิวเยี่ยกับลั่วซูจำต้องค้อมกายให้เขา พากันเดินออกจากโรงครัวด้วยใบหน้าห่อเหี่ยว

ฟู่โฉวกลับไปที่พักของตนเองแล้ว ทั้งคู่จึงต้องเดินกลับกระโจมคนงานตามลำพัง

“พี่ใหญ่ พวกเราหนีไปดีหรือไม่” ลั่วซูเอ่ยเสียงเบา หลังจากที่เดินออกมาจากโรงครัวได้ระยะหนึ่ง

ชิวเยี่ยส่ายหน้า “ไม่ได้ พวกเรายังต้องพึ่งกองทัพ ไม่ต้องห่วง ข้ารับมือไหว”

ลั่วซูได้แต่พยักหน้า หากแต่ในใจกลับไม่คลายความกังวลลงเลยสักนิด

เด็กหลายคนเริ่มทยอยกลับเข้ามาในกระโจม ชิวเยี่ยพาลั่วซูหยุดยืนรออยู่ด้านนอก เพื่อให้ทุกคนมาครบก่อน จะได้รู้ว่ายังพอมีที่ว่างเหลือให้ตนเองหรือไม่ นางมิอยากมานั่งทะเลาะกับเด็กๆ เรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างเรื่องการแย่งที่นอน

ไม่นานในกระโจมก็เต็มไปด้วยผู้คน ชิวเยี่ยหันไปมองเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาหยุดยืนอยู่กับพวกนางตั้งแต่เมื่อใด เด็กคนนั้นหันมามองนางเช่นกัน

ชิวเยี่ยเห็นเขายังสะพายห่อผ้าจึงถามไปว่า “เจ้าเองก็พึ่งมาหรือ?”

“อืม” เขาพยักหน้า “ข้าชื่ออิ๋งเจิ้ง”

“ข้าชิวเยี่ย นี่น้องชายข้า ลั่วซู”

อิ๋งเจิ้งมองสองพี่น้องด้วยความสนใจใคร่รู้ เขาไม่เคยเห็นเด็กแฝดมาก่อนจึงค่อนข้างสนใจทั้งคู่อยู่ไม่น้อย “พวกเจ้าหน้าตาเหมือนกันยิ่ง”

ชิวเยี่ยกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ข้ากับน้องชายเป็นฝาแฝด”

“ฝาแฝดต้องรูปร่างหน้าตาเหมือนกันเช่นนี้หรือ?” อิ๋งเจิ้งมองทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างนึกทึ่ง หากให้เขาแยกว่าใครเป็นใครตอนนี้ คงจะแยกไม่ออกแน่ การมีฝาแฝดช่างดียิ่งนัก คิดแล้วอิ๋งเจิ้งพลันรู้สึกอยากให้ตนมีฝาแฝดบ้าง

“มิใช่เช่นนั้นเสมอไป ข้าเองก็อธิบายไม่ถูก บอกได้แค่ว่า ไม่ใช่แฝดทุกคู่จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน”

“อ้อ เป็นเช่นนั้นเองหรือ ข้าเข้าใจแล้ว”

อิ๋งเจิ้งปีนี้อายุแปดขวบเท่ากับชิวเยี่ยและลั่วซูจึงให้ความสนิทกับพวกเขาง่ายกว่าเด็กคนอื่น

ชิวเยี่ยเองรู้สึกเอ็นดูเขาเช่นกัน เพราะอิ๋งเจิ้งน่าตาน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง ผิวพรรณยังขาวสะอาดสะอ้าน อีกทั้งการพูดการจายังดูอ่อนน้อมถ่อมตน เด็กคนนี้น่าจะถูกอบรมมาดี

กว่าที่เด็กทุกคนจะเข้าไปในกระโจมจนครบ ฟ้าก็มืดพอดี นับว่ายังโชคดีที่ยังพอมีที่ว่างเหลือให้พวกเขาทั้งสาม เป็นที่ว่างติดทางเข้า

ชิวเยี่ย ลั่วซู และ อิ๋งเจิ้ง มิใช่คนเรื่องมาก แค่มีที่ให้หลบน้ำค้างพวกเขาก็พอใจแล้ว ถึงจะต้องนั่งหลับก็ยังดีกว่า พวกเขาจึงลงนั่งตรงที่ว่าง

เทียนไขถือเป็นของมีราคา แน่นอนว่าในกองทัพย่อมมิได้นำมาแจกจ่ายส่งเดช หลังจากฟ้ามืดทุกคนจึงจำต้องล้มตัวนอนเลย

ทั้งสามวางของซ้อนกันให้เหลือที่ว่างพอจะนอนขดตัว ลั่วซูเลือกนอนริมติดกับเด็กชายอายุสิบเอ็ดสิบสองคนหนึ่ง ให้พี่สาวนอนกลาง ส่วนอิ๋งเจิ้งนอนรั้งท้ายเกือบติดม่านกระโจม

ฝนตกจริงดังคาด พายุฤดูร้อนพัดม่านกระโจมโบกสะบัด ทำให้ฝนสาดเข้ามา เด็กที่นอนติดทางเข้าจึงมิอาจนอนต่อไปได้

ชิวเยี่ยใช้แสงสว่างจากสายฟ้ามองเข้าไปในกระโจม เห็นว่าระหว่างตัวคนยังพอเหลือช่องว่าง จึงตะโกนบอกเด็กๆ ที่นอนอยู่ด้านใน “พี่ชายทั้งหลาย ฝนสาดเช่นนี้ หากพวกข้าป่วย พวกท่านต้องติดไข้ไปด้วยแน่ ถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ช่วยขยับนอนชิดกันอีกสักนิดได้หรือไม่”

นางเป็นถึงศาสตราจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย การรับมือเด็กๆ เหล่านี้ย่อมมิใช่เรื่องยาก ไม่มีใครอยากป่วยแน่เชื่อเถิด เป็นอย่างที่นางคาด เพียงแค่ได้ยินว่าตนเองจะป่วย คนด้านในพลันรีบขยับนอนชิดกันจนไม่เหลือช่องว่าง พาให้ด้านนอกเหลือพื้นที่เพียงพอให้หลบฝน

อิ๋งเจิ้งยังนำเชือกไปผูกม่านกระโจมมิให้สะบัด ฝนที่สาดเข้ามาจึงลดน้อยลง ที่เดิมของพวกเขาถูกฝนสาดจนเปียก ทั้งสามเลยขยับเข้ามานอนเบียดกันด้านใน

ชิวเยี่ยเห็นว่าผ้าห่มของอิ๋งเจิ้งใช้ห่มมิได้แล้ว จึงแบ่งผ้าห่มให้เขา ตอนที่นางห่มผ้าให้ อิ๋งเจิ้งมีท่าทีชะงักไปเล็กน้อยด้วยความไม่คุ้นชิน ในขณะที่กำลังจะคิดปฏิเสธ กลับถูกชิวเยี่ยพลิกตัวเข้ามากอด

อันที่จริงชิวเยี่ยเพียงรู้สึกสงสาร อีกทั้งยังเห็นว่าเขายอมเสียสละนอนติดทางเข้า นางรู้ว่าเขาจะต้องหนาวแน่ จึงตั้งใจจะนอนกอดเขาเพื่อบรรเทาความหนาว หากแต่อิ๋งเจิ้งกลับนอนตัวแข็งทื่อ

ที่ชิวเยี่ยไม่รู้ก็คือ เด็กในยุคโบราณมิได้โตเร็วแค่เพียงความคิดความอ่าน แต่ความรู้สึกด้านอื่นๆ ยังเติบโตเร็วอีกด้วย อิ๋งเจิ้งที่ทั้งชีวิตมิเคยตกอยู่ในอ้อมกอดผู้ใดมาก่อน แม้กระทั่งมารดา กลับมาถูกเด็กชายวัยเดียวกันนอนกอด ความรู้สึกดีอย่างประหลาดเริ่มผุดขึ้นในใจ เขาค่อยๆ พลิกกายหันหน้าเข้าหา ลองพาดแขนลงบนเอวของชิวเยี่ยดูบ้าง

เห็นอย่างนั้นชิวเยี่ยรู้สึกพึงใจยิ่ง พลันยิ่งกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ทำราวกับว่าตนเป็นมารดาคนหนึ่ง นางคงลืมไปเสียแล้ว ว่าตอนนี้นางอายุเพียงแปดขวบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel