ตอนที่ 6
ที่นั่นชิวเยี่ยได้พบกับหัวหน้าคนงานเป็นชายวัยราวสี่สิบ นามว่ามู่ตง
ฟู่โฉวกล่าวกับเขาว่า “พี่มู่ท่านนายกองให้ข้าพาเด็กสองคนนี้มาส่ง พวกเขาแซ่หลิว คนพี่ชื่อ ชิวเยี่ย คนน้อง ชื่อลั่วซู รบกวนท่านช่วยจัดการด้วย”
“โอ้ ดีเลย ข้ากำลังจะไปแจ้งท่านแม่ทัพว่าคนงานไม่พออยู่พอดี” มู่ตงกล่าวพลางมองสำรวจเด็กทั้งสอง ครั้นเห็นว่าทั้งคู่ยังสะพายของพะรุงพะรัง พลันนิ่วหน้าเล็กน้อย หันไปถามฟู่โฉว “เจ้ายังมิได้พาพวกเขาไปที่กระโจมหรือ?”
“ไปมาแล้ว แต่พวกเขาไม่กล้าวางข้าวของทิ้งไว้ ท่านคงทราบเหตุผลกระมัง” ฟู่โฉวตอบ
มู่ตงฟังแล้วกระจ่างแจ้งทันที เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่ากระโจมแออัด จึงมิได้ให้ความสนใจเรื่องนั้นอีก “ช่างเถิด พวกเจ้ารีบเอาของไปวางแล้วไปล้างไม้ล้างมือ ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ข้าจะให้พวกเจ้ายกสำรับมื้อเย็นไปส่งกระโจมใหญ่”
ชิวเยี่ยกับลั่วซูทำตามที่สั่งอย่างว่าง่าย ทั้งสองหาที่เหมาะๆ ข้างกระโจมเก็บของวางสัมภาระของตนลง จากนั้นไปตักน้ำล้างหน้าล้างตา
ผิวพรรณของทั้งคู่ดียิ่ง พอมีใบหน้าสะอาดสะอ้าน ยิ่งชวนมอง องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้า มองปราดเดียวยังรู้ว่าหากเติบโตมาต้องดูดีมากแน่ ตอนที่ทั้งสองกลับมา มู่ตงกับฟู่โฉวที่กำลังพูดคุยกันอยู่ยังเผลอมองซ้ำอยู่หลายรอบ
มู่ตงพิจารณาสองพี่น้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกถาดสำรับมาส่งให้ลั่วซู “เจ้าเห็นธงสีแดงแล้วใช่ไหม นำสำรับนี้ไปส่งให้กระโจมใหญ่ที่นั่น”
“ขอรับ” ลั่วซูรับมา มองหน้าพี่สาวปราดหนึ่ง ค่อยหมุนตัวเดินตรงไปยังพื้นที่ในธงสีแดง
หลังจากลั่วซูไปแล้ว มู่ตงก็ยกถาดใหญ่กว่าส่งมาให้ชิวเยี่ย “นี่ของเจ้า นำไปส่งที่นั่น” เขาชี้นิ้วไปยังธงสีดำ
ทั้งฟู่โฉวและชิวเยี่ยต่างพากันตกตะลึง
“พี่มู่ ไม่เหมาะกระมัง เด็กคนนี้ยังไม่ได้รับการอบรม หากว่า..” มู่ตงไม่รอให้ฟู่โฉวเอ่ยจบพลันเอ่ยขัด “เจ้าไม่เชื่อสายตาการมองคนของข้าตั้งแต่เมื่อใด”
ฟู่โฉวจำต้องหุบปาก อย่าเห็นว่าฐานะตอนนี้ของมู่ตงเป็นเพียงผู้ดูแลคนงาน จะอย่างไรในอดีต คนผู้นี้ก็เคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ความน่าเกรงขามย่อมต้องมีอยู่ สุดท้ายชิวเยี่ยต้องเป็นผู้นำสำรับไปส่งให้องค์ชายสามตามคำสั่งของมู่ตง
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งสำหรับชิวเยี่ย เพราะนางกำลังข้องใจธงสีดำนั่นอยู่พอดี
หลังจากรับถาดสำรับมาแล้ว นางถือถาดตรงไปยังกระโจมที่ว่านั่นอย่างระมัดระวัง กระทั่งมาถึงหน้ากระโจม
ทหารองครักษ์ที่เฝ้าประตู เปิดฝาพิศดูกับข้าวในถาดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เลิกม่านให้นางผ่านเข้าไป
ภายในกระโจมนับว่าหรูหราไม่น้อยเลยทีเดียว สมกับเป็นกระโจมของเชื้อพระวงศ์จริงๆ ชิวเยี่ยคิด ก่อนจะถอดรองเท้า เดินเข้าไปในเสื่อนำสำรับไปจัดวางบนโต๊ะ ขณะนั้น ร่างที่อยู่หลังฉากก้าวออกมาพอดี ทันทีที่ชิวเยี่ยหันไปเห็นคนผู้นั้น ใบหน้าพลันชะงักงัน
“ฉีซื่อหมิ่น!!!”
แม้ว่าเครื่องหน้าของอีกฝ่ายจะยังเยาว์ผิดกับในฝัน ทว่านางกลับจดจำเขาได้ชัดเจน
ฉีซื่อหมิ่นเลิกคิ้วมองนางอย่างสงสัย เมื่อครู่เขาแน่ใจว่าตนฟังไม่ผิด เด็กคนนี้พึ่งจะเอ่ยนามของเขาออกมาตรงๆ
ชิวเยี่ยเห็นเขามองมาจึงรีบตั้งสติ ขยับกายนั่งคุกเข่า โขกศีรษะลงกับพื้น “กระหม่อมหลิวชิวเยี่ย คารวะองค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีซื่อหมิ่นมิได้สั่งให้เด็กน้อยลุกขึ้น เพียงสาวเท้าไปลงนั่งข้างโต๊ะ
“มิใช่ว่า เมื่อครู่ เจ้าพึ่งจะเอ่ยนามของข้าออกมาหรอกหรือ ไฉนตอนนี้ถึงเปลี่ยนมาเรียกองค์ชายสามเสียแล้วเล่า” เขากล่าวเสียงเนิบนาบ น้ำเสียงไม่บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ใด พลางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารทาน
หากแต่ชิวเยี่ยยังพอจะเดาได้ ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจ จึงยังคงหมอบอยู่กับพื้น แน่นอนว่าถ้าเขาไม่สั่ง นางไม่มีทางขยับ
สุดท้ายกลับเป็นฉีซื่อหมิ่นที่ทนไม่ไหว “ลุกขึ้นได้แล้ว”
ชิวเยี่ยขยับลุกมานั่งตัวตรง ทว่ายังคงอยู่ในท่าคุกเข่า ใบหน้าเล็กเฉยเมยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดเช่นกัน ถึงนางจะมิใช่หลิวชิวเยี่ยในฝัน แต่การกระทำของฉีซื่อหมิ่นก็ทำให้นางรู้สึกเกลียดชังมิใช่น้อย
