บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5

“บิดาของเจ้ามีนามว่าอันใด มีตำแหน่งอะไรในกองทัพ”

“ท่านพ่อเป็นเพียงทหารที่ถูกเกณฑ์ขอรับ มิได้มียศมีตำแหน่ง” ประโยคนี้ลั่วซูเป็นคนเอ่ยตอบ

เส้าสูพึ่งจะสังเกตว่าเด็กทั้งสองรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน “พวกเจ้าเป็นฝาแฝดหรือ?”

สองพี่น้องหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพากันพยักหน้า “ขอรับ”

นายกองเส้าพิจารณาทั้งคู่ซ้ำอีกครั้งอย่างละเอียด ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกสนใจเด็กแฝดคู่นี้นัก

“ท่านนายกองขอรับ ท่านแม่ทัพให้ข้าน้อยมาถามว่ามีปัญหาอันใดหรือไม่” นายทหารผู้หนึ่งควบม้าย้อนกลับมาแจ้งแก่เส้าสู เขาจึงมิได้ซักถามเด็กทั้งสองต่อ เพียงหันไปสั่งทหารใต้บังคับบัญชา “พาพวกเขาไปด้วย”

ชิวเยี่ยค่อยๆ ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดนางก็ได้เดินทางไปพร้อมกับกองทัพ

ความที่ทัพใหญ่มิได้หยุดรอ พวกเขาจึงต้องวิ่งตามไปให้ทัน นายกองเส้าเร่งฝีเท้าม้าขึ้นไปหน้าขบวนรวมกับนายกองคนอื่น ส่วนชิวเยี่ยกับลั่วซูเดินรั้งท้ายไปพร้อมทหารคุ้มกันท้ายขบวน

ทหารของทัพหลวงค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบ ในขบวนจึงไม่มีเสียงพูดคุย ทหารแต่ละนายล้วนแต่มองตรงไปเบื้องหน้า เดินแผ่นหลังตั้งตรง ก้าวเท้าอย่างมั่นคงพร้อมเพรียง พลอยให้ชิวเยี่ยและลั่วซูที่ร่วมขบวนมา ต้องทำตามไปโดยปริยาย

แสงแดดในยามเที่ยงวันร้อนแรงยิ่ง สมแล้วที่เป็นหน้าร้อน บรรยากาศอบอ้าวเช่นนี้ คืนนี้ฝนคงตกแน่ กองทัพมิได้หยุดพักทานมื้อเที่ยง ชิวเยี่ยยังสังเกตได้อีกว่า พวกเขากำลังเร่งรีบ หรือว่าชายแดนกำลังเกิดสงคราม?

นางเก็บความสงสัยนี้ไปจนกระทั่งเย็น ถึงได้รู้ว่าที่แท้ขบวนที่นางติดตามมายังเรียกมิได้ว่ากองทัพ เพราะกองทัพที่แท้จริง คือค่ายเบื้องหน้านี้ต่างหาก พวกเขาถึงได้เร่งฝีเท้าเพื่อมาให้ถึงทัพใหญ่ก่อนฟ้ามืด

“พวกเจ้าตามข้ามา” ผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกองเส้าหันมากล่าวกับสองพี่น้อง หลังจากที่มีคำสั่งให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน

ที่แท้ในค่ายแห่งนี้ มิได้มีเพียงชิวเยี่ยและลั่วซูที่เป็นเด็ก หากแต่ยังมีเด็กอยู่อีกหลายคน มิน่าพวกทหารถึงได้แลดูไม่แปลกใจที่เห็นพวกนาง

“พวกเจ้าสามารถติดตามขบวนไปได้ แต่ต้องช่วยทำงาน หรือหากว่าอยากจะเข้าไปฝึกเป็นทหาร ก็ให้มาแจ้งแก่ข้า ข้าชื่อฟู่โฉว เป็นทหารใต้บังคับบัญชาของนายกองเส้า กระโจมของข้าจะอยู่ในส่วนที่ปักธงสีน้ำเงิน” ฟู่โฉวกล่าวพลางชี้นิ้วไปยังธงที่กำลังโบกสะบัดอยู่บนยอดเสา “ตรงนั้น เห็นหรือไม่”

ชิวเยี่ยกับลั่วซูพากันหันมองไปตามนิ้วมือของเขา ชิวเยี่ยยังมองเลยไปยังธงอีกหลากหลายสีที่กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ นางเดาว่าธงนั่นคงจะเป็นจุดแสดงที่พักของแต่ละกองเช่นกัน ในขณะที่กำลังจะดึงสายตากลับ นางเผอิญไปเห็นธงสีดำคุ้นตาเข้าพอดี จึงหยุดมอง

ฟู่โฉวมิทันสังเกตว่าเด็กอีกคนไม่ได้เดินตามมา เพราะมัวแต่สนใจข้าวของที่ลั่วซูสะพายอยู่บนหลัง เขาดึงลูกธนูในกระบอกออกมาดู “ศรหัวไม้? น่าสนใจดี พวกเจ้าเอามาจากที่ใด”

“ข้ากับพี่ใหญ่ทำขึ้นมาเองขอรับ” ลั่วซูตอบไปตามความจริง ก่อนจะเหลียวหลังกลับไปมองพี่สาว ครั้นเห็นว่านางไม่เดินตามมา พลันหยุดฝีเท้าลง ฟู่โฉวเห็นเขาหยุด จึงหันกลับไปมองบ้าง ก่อนจะมองตามสายตาของเด็กอีกคนไป

“ธงสีดำนั่นเป็นธงประจำพระองค์ขององค์ชายสาม หากไม่จำเป็นจริง ห้ามพวกเจ้าเดินเฉียดเข้าไปใกล้บริเวณนั้นเป็นอันขาด เพราะหากทำองค์ชายไม่พอพระทัย ผู้ใดก็ช่วยพวกเจ้ามิได้” ฟู่โฉวกล่าวเสียงเข้มงวดผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ

ชิวเยี่ยดึงสายตากลับมา รีบเดินตามมาให้ทันคนทั้งสอง

พอสองพี่น้องมายืนคู่กัน ทำให้ฟู่โฉวต้องมองพวกเขาสลับกันไปมาอยู่หลายครา ดูอย่างไรก็แยกไม่ออก “ระหว่างพวกเจ้า คนไหนคือชิวเยี่ย คนไหนคือลั่วซูหรือ?”

“ข้าคือชิวเยี่ย ส่วนเขาคือลั่วซู” ชิวเยี่ยชี้นิ้วหัวแม่มือมาที่อกของตนสลับกับชี้ไปทางลั่วซู

ฟู่โฉวพยักหน้า ยังคงพยายามหาจุดสังเกตเพื่อแยกแยะสองพี่น้อง แต่สุดท้ายแล้วยังคงแยกไม่ออกอยู่ดี จึงกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ข้าว่าต่อไป พวกเจ้าอย่าได้สวมอาภรณ์เหมือนกันจะดีกว่า” ฟู่โฉวพูดแล้วก็เสียบลูกธนูใส่คืนเข้าไปในกระบอกของลั่วซู จากนั้นพาทั้งสองตรงไปยังกระโจมคนงาน

ชิวเยี่ยยังคงติดใจเรื่องธงสีดำ นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตนต้องเคยเห็นมาก่อนแน่ แต่เคยเห็นที่ไหนนั้น นางยังคิดไม่ออก

กระโจมคนงาน มีอยู่สามหลัง แบ่งเป็นส่วนของคนครัว กับคนงานใช้แรงงานทั่วไป

ชิวเยี่ยกับลั่วซูถูกพาไปพักยังกระโจมพักของเด็กๆ กระโจมหลังนั้น แออัดไปด้วยเด็กกว่าสามสิบคน ชิวเยี่ยยืนมองห่อผ้ามากมายที่วางไว้เกือบเต็มพื้นที่อย่างนึกประหลาดใจ คงเป็นไปมิได้แน่ที่เด็กทุกคนจะวางของระเกะระกะเช่นนี้ ถ้าให้นางคาดเดา น่าจะเป็นการจับจองพื้นที่เสียมากกว่า

“พวกเจ้าหาที่ว่างแล้วเอาของไปวางไว้ก่อน เพราะข้ายังต้องพาพวกเจ้าไปแนะนำกับหัวหน้าคนงาน”

อย่าว่าแต่หาที่ว่างเลย แม้แต่ที่จะให้เดินยังไม่มี ชิวเยี่ยกับลั่วซูได้แต่มองหน้ากันไปมา หากแต่มิได้เดินเข้าไป

“มีปัญหาอะไรหรือ?” ฟู่โฉวเห็นพวกเขายืนนิ่งก็เอ่ยถาม

สองพี่น้องหันมามองหน้าเขาเป็นตาเดียว

ฟู่โฉวยิ้มอย่างจนใจ “ข้ารู้ แต่จะทำอย่างไรได้ พวกเจ้าเป็นแค่คนงาน หากอยากมีที่พักสะดวกสบายกว่านี้ ต้องเข้าร่วมกองทัพ”

ลั่วซูมีความสนใจเข้าร่วมกองทัพอยู่บ้าง หากแต่เขามิอาจตัดสินใจลำพัง สำคัญที่สุดเลยคือ พี่สาวของเขาเป็นหญิง นางมิอาจเข้าไปร่วมได้ และเขาเองก็ทิ้งนางมิได้เช่นกัน

“พวกเราหนีออกจากบ้านย่อมไม่คิดหวังหาความสะดวกสบาย เอาไว้รอให้ผู้อื่นกลับมาก่อนก็ได้ขอรับ” ชิวเยี่ยคิดว่าคงไม่เป็นการดีแน่ที่จะทิ้งข้าวของไว้ส่งเดช โดยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ เกิดไปแย่งที่ผู้ใดเข้า อาจสร้างศัตรูโดยใช่เหตุ

“แล้วแต่พวกเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็ตามมา” ฟู่โฉวมิได้ว่าอันใด เพียงเดินนำเด็กๆ ตรงไปยังโรงครัว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel