ตอนที่ 4
จากความพยายามและความรอบคอบของชิวเยี่ย ผ่านไปราวหนึ่งเดือน ในที่สุดทั้งสองก็ออกมาพ้นชายป่า
ชิวเยี่ยเหลียวหลังกลับไปมองดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า
“ฟังจากที่พ่ออาโกวเล่า เดินผ่านทุ่งหญ้านี้ไปก็ถึงแล้ว” ลั่วซูกล่าว
ชิวเยี่ยดึงสายตากลับมามองทุ่งหญ้าสูงท่วมหัวเบื้องหน้า ครู่หนึ่งก็เอ่ยปาก “พวกเราควรก่อไฟพักค้างคืนที่นี่ ไว้ค่อยออกเดินทางตอนเช้า”
ลั่วซูมิได้คัดค้านอันใด เพียงเดินแยกไปหาไม้มาทำฟืน ส่วนชิวเยี่ยกอบใบไม้แห้งมาก่อกองไฟ
อันที่จริงในหัวของนางยังมีความกังวลอีกเรื่องหนึ่ง โลกข้างนอกนั่นหาใช่จะไม่มีอันตราย เพราะมีทั้งพ่อค้าทาส มีทั้งพวกชนเผ่าอดอยากที่ชอบกินเนื้อมนุษย์ และโจรป่า ตอนนี้นางยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าจะหาทางหลบเลี่ยงจากคนเหล่านั้นได้อย่างไร
คืนนี้ชิวเยี่ยฝันร้ายเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว หากแต่ครานี้ ในฝันกลับเป็นนางเองที่ถูกจับแขวนคอ ความรู้สึกทรมานจากการขาดอากาศหายใจยังติดตรึงมาจนกระทั่งสะดุ้งตื่น นางถึงกับยกมือลูบหน้าท้องของตนเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ราวกับมีทารกกำลังดิ้นรนถีบแข้งถีบขาอยู่ในนั้น
อู๋เหอจี้! ฉีซื่อหมิ่น! พวกเจ้ามันไม่ใช่คน! หวังชิวเยี่ยคิดอย่างแค้นเคืองก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง
“พี่ใหญ่ ฝันร้ายอีกแล้วหรือ” ลั่วซูเอ่ยถามขณะกำลังย่างเนื้อหมูป่าตากแห้ง เมื่อคืนเขาอยู่เวรยามดึก จึงเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของพี่สาวมาโดยตลอด
“อืม” ชิวเยี่ยตอบรับในลำคอเบาๆ ลุกขึ้นมาคว้ากระบอกไม้ไผ่ เทน้ำออกมาล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นยกขึ้นดื่มพลางเดินเข้าไปนั่งข้างกองไฟ
ลั่วซูส่งเนื้อย่างเสียบไม้มาให้ นางรับมาถือไว้พร้อมกับกล่าว “ข้างนอกนั่น อันตรายไม่แพ้ในป่า พวกเราคงต้องระวังหน่อย”
“ข้าทราบแล้ว” ลั่วซูตอบรับไปพลางกัดเนื้อย่างกินไปพลาง เขาชอบเนื้อย่างที่พี่สาวหมักเป็นที่สุด ขนาดเป็นเนื้อตากแห้งยังรสชาติดี
ชิวเยี่ยหันไปกัดของตนเองกินเช่นกัน นางมิอาจปล่อยให้เรื่องกังวลใจทั้งหลายเข้ามารบกวนจิตใจจนทำให้ตนขาดสติ คนเราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาถึงจะมีชีวิตรอด ความคิดของชิวเยี่ยเป็นเช่นนี้
หลังจากกินเสร็จ ทั้งสองพากันเก็บข้าวของขึ้นมาสะพาย
ด้านหลังเป็นตะกร้าใบเขื่อง กับกระบอกลูกธนู ข้างเอวคือกระบอกใส่น้ำกินและคันธนู ในมือของทั้งคู่ยังมีหอกไม้เช่นเดิม
ลั่วซูเป็นคนใช้หอกแหวกหญ้าเดินนำหน้าไปก่อน ส่วนชิวเยี่ยคอยเดิมตามหลังอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งเดินมาได้ราวครึ่งลี้ ที่สุดก็โผล่มาถึงเส้นทางใหญ่
“นี่คงจะเป็นเส้นทางตะวันออก พ่ออาโกวบอกว่ามีเพียงเส้นทางนี้ เส้นทางเดียว ที่จะไปถึงชายแดน” ลั่วซูกล่าวกับพี่สาวพลางเหลียวมองซ้ายมองขวา
ชิวเยี่ยยังมิได้กล่าวสิ่งใด ก็เห็นเขาชี้ไปทางทิศใต้ “ดูนั่น พี่ใหญ่ มีคนกำลังมา”
“หลบก่อนเร็ว!” ชิวเยี่ยรีบลากลั่วซูกลับเข้าไปหลบในทุ่งหญ้า
ไม่นานนัก ขบวนที่ว่าก็มาถึง กว่าที่ทั้งสองจะทันได้ตั้งตัว รอบด้านก็ถูกทหารล้อมเอาไว้หมดแล้ว สองพี่น้องลุกขึ้นยืนหันหลังชนกันตามสัญชาตญาณ พลางถือหอกในท่าเตรียมพร้อม
“ท่านนายกอง เป็นเพียงเด็กน้อยสองคนขอรับ” ทหารนายหนึ่ง ตะโกนกลับออกไป พลางมองเด็กชายสองคนด้วยสายตาสนใจใคร่รู้
“พาตัวออกมา!” ครั้นได้ยินเสียงดุดันตะโกนกลับเข้ามา ทหารนายนั้นจึงหันมาเอ่ยกับเด็กทั้งสอง “ไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล พวกเรามิได้จะทำร้ายพวกเจ้า แค่ต้องการตรวจสอบที่มาที่ไปเท่านั้น”
ชิวเยี่ยพิจารณาจากชุดเกราะที่ทหารเหล่านี้สวมใส่ เห็นว่าเป็นเกราะเหล็ก จึงคิดว่าทหารเหล่านี้มิใช่ทหารธรรมดา อาจเป็นไปได้ว่าขบวนข้างนอกนั่นจะเป็นขบวนของเชื้อพระวงศ์หรือไม่ก็เป็นเจ้าใหญ่นายโตระดับแม่ทัพผู้บัญชาการ ถึงได้มีความระมัดระวังสูงเพียงนี้
นางเชื่อว่าทหารผู้นี้พูดจริง พวกเขาเพียงต้องการตรวจสอบพวกนางเท่านั้น หากมิได้เป็นภัย ทหารระดับนี้ย่อมไม่เสียเวลาลงมือแน่นอน คิดได้ดังนั้น ชิวเยี่ยจึงลดหอกในมือลง ท่าทางเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย เมื่อพี่สาวทำเช่นนั้น ลั่วซูย่อมต้องทำตาม
เหล่าทหารที่รายล้อมทั้งสองคน พากันลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พวกเขาเองก็ล้วนแล้วแต่มีลูกรออยู่ที่บ้านด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดอยากลงมือกับเด็กตรงหน้า ในเมื่อทั้งสองยอมออกไปแต่โดยดี ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด
ชิวเยี่ยกับลั่วซูถูกคุมตัวมาหยุดยืนเบื้องหน้าบุรุษหลังอาชาสีดำตัวใหญ่
นายกองเส้าเห็นว่าเป็นเด็กจริงตามที่ทหารรายงาน คิ้วที่แต่เดิมขมวดมุ่นถึงได้ค่อยๆ คลายออก หากแต่ความดุดันบนใบหน้ากลับมิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย “พวกเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดเห็นกองทัพแล้วต้องรีบหลบซ่อน!”
ชิวเยี่ยยกมือประสานค้อมกายในท่านอบน้อม ตอบออกไปเสียงฉะฉาน “ข้าน้อยแซ่หลิว นามว่า ชิวเยี่ยขอรับ ส่วนน้องชายข้าน้อยมีนามว่า ลั่วซู ที่พวกข้าน้อยต้องรีบหลบ เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่าขบวนของพวกท่านเป็นใคร เกรงว่าจะเป็นขบวนของพ่อค้าทาสขอรับ”
เส้าสูพิจารณาเด็กชายตรงหน้าอย่างละเอียด สายตาคมปราบราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงจิตวิญญาณ เด็กสองคนนี้ ดูอย่างไรก็ไม่ธรรมดา ยิ่งมองไปเห็นธนูและหอกที่พวกเขาถืออยู่ เส้าสูยิ่งมั่นใจ เขามองเลยไปยังภูเขาราวกับรู้ว่าเด็กสองคนนี้พึ่งจะเดินออกมาจากทิศทางนั้น ก่อนจะดึงสายตากลับมา เอ่ยถามอีกครั้ง “พวกเจ้ามาจากที่ใด”
“ข้าน้อยมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่หลังเทือกเขานี้ไปขอรับ” ชิวเยี่ยเอ่ยตอบด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในหัวเริ่มคิดแผนการณ์เอาตัวรอดไปถึงชายแดนอย่างปลอดภัยได้แล้ว ไม่รอนายทหารบนหลังม้าถามต่อ นางก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเราพี่น้องพากันหนีออกจากบ้าน ตั้งใจจะไปหาบิดาที่เป็นทหารอยู่ชายแดนขอรับ เพราะที่บ้านนั้น แม่เลี้ยงของพวกเรา....” พูดได้แค่นั้น ชิวเยี่ยก็ทำท่าน่าสงสาร ราวกับเด็กที่พึ่งผ่านการถูกทารุณกรรมมาอย่างหนัก
