ตอนที่ 2
ราวๆ หกเดือนก่อน อยู่ๆ พี่ใหญ่ก็มาขอให้เขาสอนยิงธนู ทั้งยังสั่งให้ไปเรียนรู้การล่าสัตว์จากพ่อของอาโกวเอามาสอนนาง เขายังต้องไปเรียนการใช้ทวนและฟังเรื่องศึกสงครามจากท่านลุงอดีตทหารขาขาดในหมู่บ้าน เอามาสอนนางอีกด้วย จนถึงตอนนี้ พี่ใหญ่แทบจะเก่งกว่าเขาไปเสียทุกอย่างแล้ว เขาถึงยกให้นางเป็นผู้นำ
จากระยะทางตรงนี้ เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้ขึ้นเขา จึงมิค่อยพบเจอสัตว์ใหญ่ ใช้เวลาอีกราวครึ่งชั่วยาม ทั้งสองเดินมาถึงจุดที่เคยมาเก็บหน่อไม้และผักป่า ชิวเยี่ยพาน้องชายเดินลึกเข้าไปอีกเล็กน้อย เพื่อมิให้ชาวบ้านพบเห็น จากนั้นหาโพรงต้นไม้เข้าไปพัก
เดิมทีโพรงรากต้นไม้เหล่านี้เป็นของสุนัขจิ้งจอกใช้จำศีลตอนหน้าหนาว แต่เพราะช่วงนี้เป็นหน้าร้อน การพักในโพรงจึงนับว่าปลอดภัยที่สุด พวกสุนัขจิ้งจอกจะไม่เข้ามาใช้โพรงในช่วงนี้เป็นเด็ดขาด ด้วยกลัวว่าหากฝนตกน้ำจะเข้าไปขังในโพรง ซ้ำกลิ่นอายของพวกมันที่เหลือทิ้งไว้ ยังช่วยขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่มีพิษได้ชะงัดนัก แน่นอนว่าไม่รวมถึงงู
ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่แม้แต่เด็กห้าขวบในหมู่บ้านยังรู้ เพราะมันคือวิถีการเอาตัวรอดในการดำรงชีพ จะมีก็แต่ชิวเยี่ยผู้มาจากโลกอนาคตที่พึ่งจะรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ครานั้น นางยังเผลอคิดไปว่าตนเองเป็นคนโง่เขลาไปแล้วด้วยซ้ำ
ลั่วซูออกไปหาเก็บฟืน ส่วนชิวเยี่ยออกไปหาเก็บสมุนไพร การจะใช้ชีวิตอยู่ในป่าอย่างน้อยต้องเตรียมยาเอาไว้ให้พร้อม เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
สำหรับผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรศาสตร์อย่างหวังชิวเยี่ย เรื่องที่นางพอใจที่สุดตั้งแต่มาเกิดใหม่ในร่างนี้ เห็นจะมีแค่เรื่องของสมุนไพรนี่แหละ ไม่น่าเชื่อว่าสมุนไพรล้ำค่ามากมายสามารถพบเห็นได้เพียงเดินไม่กี่ก้าว อย่างต้นชิงฮาว เป้ย์หมู่ หวงเหลียน หังไป๋จื่อ หรือแม้กระทั่งโสมคน ถ้าเป็นอีกสองพันปีข้างหน้า บางชนิดแทบจะไม่มีให้เห็นด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ ในตอนที่ชิวเยี่ยกลับมาถึงที่พัก ตะกร้าสะพายหลังจึงเต็มไปด้วยต้นไม้ ลั่วซูที่กำลังถลกหนังกระต่ายอยู่ข้างโพรงเห็นพี่สาวเดินมาก็เอ่ยถาม “พี่ใหญ่ เก็บสิ่งใดมาหรือ”
“สมุนไพรน่ะ” ชิวเยี่ยตอบพลางวางตะกร้าลงไม่ห่างจากเขา ค้นหาต้นเทียนขาวออกมายื่นให้ลั่วซูใช้หมักเนื้อกระต่าย จากนั้นเดินไปกอบเอาใบไม้แห้งกองสุมไว้ด้านข้าง ก่อนจะล้วงเข้าไปหยิบไม้กับแผ่นไม้ตากแห้งที่นางกับลั่วซูทำเตรียมไว้ขึ้นมาจุดไฟ
ก่อนหน้านี้ ชิวเยี่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะสามารถใช้การหมุนไม้จุดไฟให้ติดได้ แต่หลังจากที่ลองทำหลายครั้งจนมันติด นางกลับรู้สึกชอบ จนตอนนี้ไม่ต้องพึ่งลั่วซูแล้ว
ขณะรอหมักเนื้อกระต่าย ชิวเยี่ยนำสมุนไพรบางชนิดขึ้นมารนไฟแทนการตากแห้ง กระทั่งลั่วซูเสียบกระต่ายใส่ไม้เรียบร้อยถึงได้นำกระต่ายมาย่าง
หากเป็นชาติก่อน ชิวเยี่ยไม่มีทางกินเนื้อกระต่ายแน่นอน แต่หลังจากที่มาเกิดใหม่ อย่าว่าแต่เนื้อกะต่ายเลย แม้แต่เนื้องูยังถือเป็นอาหารเลิศรสไปแล้วด้วยซ้ำ
ในสภาวะสงคราม แคว้นต่างๆ ไม่เพียงเกณฑ์ผู้คนไปเป็นทหาร ยังขูดรีดภาษีอย่างหฤโหด ชาวนาชาวไร่ต้องส่งข้าวสารและพืชผักที่เก็บได้ให้หลวงมากถึงสามในสี่ส่วน แม้แต่อาชีพล่าสัตว์ยังไม่เว้น เป็นเหตุให้บางแคว้นเกิดสภาวะอดอยาก ยิ่งกับแคว้นที่มีผู้นำโง่เขลายิ่งแล้วใหญ่
แคว้นฉีนับว่าดีหน่อย เพราะที่ตั้งแคว้นมีความอุดมสมบูรณ์ ปัญหาราษฎรอดอยากจึงไม่มีให้เห็นบ่อยนัก หากไม่เกิดภัยธรรมชาติจริงๆ ราษฎรระดับล่างยังพอใช้ชีวิตอยู่ได้
หลังจากกินเนื้อกระต่ายย่างกับหมั่นโถวเป็นมื้อกลางวันไปเรียบร้อยแล้ว ลั่วซูเข้ามาช่วยพี่สาวบดสมุนไพร นี่นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พี่สาวผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจ พี่ใหญ่บอกว่าไปเรียนรู้เรื่องสมุนไพรจากหมอตำแยท้ายหมู่บ้าน แต่เขาเคยไปถามมาแล้ว หมอตำแยผู้นั้นกลับมีความรู้เรื่องสมุนไพรเพียงน้อยนิดเท่านั้น แล้วพี่ใหญ่ของเขาไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ใด ถึงแม้ว่าลั่วซูจะสงสัย หากแต่เขาไม่เคยคิดจะถาม ในความคิดของเขานั้น มีพี่สาวที่มีความสามารถย่อมดีกว่าพี่สาวโง่เขลา
สมุนไพรที่บดเสร็จ ชิวเยี่ยจะใช้ใบไผ่ห่อไว้อย่างดีคล้ายการห่อขนมจ้าง ยุคนี้น่าจะยังไม่มีเทศกาลตวนโหงว เพราะช่วงนี้เป็นหน้าร้อนนางยังไม่ได้ยินชาวบ้านกล่าวถึงเลย
“อาซู ไปหาไม้มาเหลาทำลูกธนูเพิ่มเถิด เดี๋ยวข้าบดเอง อย่าลืมหาไม้เนื้ออ่อนที่เหนียวทนทานมาเหลาเป็นหอกด้วยเล่า เผื่อต้องใช้” ชิวเยี่ยหันไปสั่งน้องชาย หลังจากที่รนสมุนไพรเสร็จ
“ขอรับ” ลั่วซูรับคำ คว้ามีด คว้ากระบอกธนูขึ้นมาสะพาย เดินเข้าไปในป่าอีกรอบ
คืนนี้หลังจากโรยผงสมุนไพรไว้รอบรากต้นไม้เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายจำพวกงูแล้ว สองพี่น้องถึงได้พากันพักผ่อน พวกเขาจะผลัดกันอยู่ยามคนละครึ่งคืนเหมือนที่เคยทำ โดยที่ชิวเยี่ยเลือกอยู่ครึ่งคืนแรก เพราะนางไม่อยากถูกปลุกกลางดึก
คืนแรกในป่า ผ่านไปอย่างไร้กังวล ชิวเยี่ยยังคงเคยชินที่จะลุกขึ้นมาออกกำลังกายตอนเช้าเพื่อฝึกฝนร่างกาย ยังดีว่าชาติก่อนนางเป็นคนหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ จึงเข้าคอร์สฝึกอยู่หลายแขนง นางจึงนำศิลปะการต่อสู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ ทั้งยังนำมาสอนลั่วซู คิดว่าน่าจะพอเอาตัวรอดได้บ้าง หากต้องประสบกับเหตุร้ายจริง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเดินป่ายิ่งกว่าสัตว์ร้ายคืออันใด” ชิวเยี่ยหันไปถามลั่วซูขณะเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะมองเข้าไปในป่าลึก
“หลงป่า” ลั่วซูตอบกลับมาสองคำโดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด ชิวเยี่ยต้องหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ไม่นึกว่าเด็กแปดขวบจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ด้วยความที่ชิวเยี่ยเคยเป็นลูกคนเดียว อยู่ๆ ได้มามีน้องชายฝาแฝด นางเลยค่อนข้างพอใจ มิหนำซ้ำลั่วซูยังเป็นเด็กฉลาดเฉลียว จิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ จึงมิใช่เรื่องยากที่อดีตศาสตราจารย์อย่างชิวเยี่ยจะเอ็นดูเขา นางเคยมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากมาย ทว่ากลับเทียบมิได้กับเด็กแปดขวบอย่างลั่วซู
บางทีอาจเป็นเพราะวิถีการดำรงชีวิตต้องดิ้นรน เด็กในสมัยโบราณถึงได้โตเร็ว ชิวเยี่ยคิดเช่นนี้
