
บทย่อ
ใต้เงาซาตาน เป็นนิยายภาคต่อจากสปีดพิศวาสค่ะ เป็นเรื่องราวของอนลกับไรวา ผู้หญิงที่มีหน้าตาเหมือนสมิตาราวกับฝาแฝด ไม่มีใครแทนที่ใครได้ แต่หัวใจรักที่เกิดขึ้นถูกปลุกขึ้นด้วยรักเชกเช่นเดียวกัน... หัวใจรักของอนลตายไปกับเธอในวันนั้น แต่อยู่ๆ มันก็กลับมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่บุคลิกห้าวๆ เลือดร้อน ดื้อรั้นและเอาแต่ใจ เธอคนนั้นเหมือนสมิตามาก มากจนชายหนุ่มและทุกคนที่รู้จักคิดว่าเป็นคนคนเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงสองคนแตกต่างกัน...” “ถ้าคุณใช้หัวใจมองความรักที่ผมมีให้ คุณจะรู้ว่าหัวใจของผมยังคงเต้นในจังหวะเดิม แต่คนที่ทำให้มันกลับมาเต้นได้แบบนี้ไม่ใช่เงาในอดีต แต่เป็นผู้หญิงเจ้าทิฐิแสนดื้อรั้นคนหนึ่งไรวา” อนลสบตากลมโตหวานซึ้ง ไรวายิ้มให้เขาแล้วยืดกายขึ้นไปจุมพิตแก้มสากอย่างแสนรัก อนลกอดกระชับร่างบอบบางแนบอกและเอ่ยคำรักที่กลั่นออกมาจากหัวใจ “แม้เงาที่ไร้ตัวตนของใครอีกคนจะอยู่ในหัวใจดวงนี้มาตลอด” เธอวางมือบางลงบนอกซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจเขา “แต่หัวใจของคุณกับไรก็จะประสานเป็นหนึ่งตราบนิรันดร์ค่ะ” นั่นคือคำตอบที่เธอกลั่นออกมาจากใจ เพราะหัวใจของคนในอดีตและเธอเป็นหัวใจดวงเดียวกัน นั่นก็คือ…หัวใจรักที่มีให้กับเขาคนนี้…
1.จับโจร
*** ทักทายคร้า***
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรีกาล ตำรวจสิบนายซึ่งนำโดยสารวัตรมือปราบชื่อดังของกองปราบปราม เบญจกุล อัครเสนา กำลังซุ่มดูการลักลอบขนย้ายอะไหล่รถจักรยานยนต์ออกจากโกดังเก็บของของบริษัทไทม์กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตสินค้าส่งให้กับบริษัทผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ยี่ห้อดังในเมืองไทย ดวงตาคมกริบของสารวัตรกวาดมองและสั่งลูกน้องบันทึกภาพไว้ทุกนาทีเพื่อเอาผิดกับคนร้าย
“ขนกันง่ายๆ แบบนี้คนในมีเอี่ยวชัวร์ครับสารวัตร”
ดาบชีพเอ่ยขึ้นมาลอยๆ แต่สายตายังจับจ้องชายฉกรรจ์หลายสิบคนที่กำลังช่วยกันแบกรังไม้ขึ้นรถสิบล้อที่จอดอยู่
“ทั้งของทั้งคนอยู่กันครบ รวบตัวเลยไหมครับสารวัตร” จ่าชูชัยที่หลบอยู่อีกข้างหันไปถาม
เบญจกุลยกริมฝีปากขึ้น ใบหน้าคมสันเรียบเฉย หากในความเงียบนั้นดาบชีพและจ่าชูชัยรู้ดีว่า แผนการทุกอย่างถูกประมวลผลอย่างดีด้วยประสบการณ์ของสารวัตรหนุ่ม
“พวกนี้แค่ปลาเล็กปลาสร้อยแหละดาบ รอสักพักเผื่อคนที่เราคาดไม่ถึงจะมาร่วมวงด้วย”
และเป็นไปตามคาด ไม่ถึงสิบนาทีรถกระบะสีดำไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนก็เข้ามาจอดเลยประตูทางเข้าไปไม่ไกล ชายร่างสูงใหญ่ใส่แว่นตาดำสามคนเดินลงมาจากรถ สารวัตรเบนหยิบกล้องส่องทางไกลที่ใช้งานได้ดีในช่วงกลางคืนออกมาจากกระเป๋ากางเกง จับภาพชายทั้งสามคนเอาไว้ได้ คิ้วหนาขมวดขึ้นอย่างสงสัยเพราะหนึ่งในสามเขารู้สึกคุ้นหน้าชอบกล ก่อนที่จะลดกล้องลงสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาดำที่วูบไหวอยู่ข้างกำแพงอีกด้านหนึ่งของโกดังเก็บของ มือใหญ่ยกกล้องขึ้นมองอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งสวมชุดดำรัดรูป ปิดบังใบหน้าด้วยหมวกไหมพรมสีเดียวกับชุด มีเพียงดวงตาคมสวยเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมาให้เห็น
“มีอะไรครับสารวัตร” เมื่อเห็นเจ้านายมองกำแพงอีกด้านนานผิดปกติ จ่าชูชัยจึงถามออกมาอย่างใคร่รู้
“มีคนชุดดำอีกคนแอบอยู่ข้างกำแพงฝั่งโน้น” เบญจกุลบอกพลางส่งกล้องคืนให้ดาบชีพแล้วให้สัญญาณเคลื่อนกำลังเข้าไปใกล้ แต่สายตาคมยังจับจ้องการเคลื่อนไหวของคนชุดดำที่มาใหม่อย่างไม่ให้คลาดสายตา
และร่างสูงโปร่งที่เรียกความสนใจของสารวัตรหนุ่มแท้จริงแล้วคือ กัณหา พงษ์เทวา ผู้บริหารไทม์กรุ๊ปที่ได้ข่าวการลักลอบขโมยของออกจากโกดังจากสายที่อยู่ในโรงงาน ดังนั้นคืนนี้เธอจึงแจ้งไปที่กองปราบเพื่อขอกำลังมาจับกุม ส่วนตัวเองก็แอบเข้ามาสังเกตการณ์เช่นกัน
“ใหญ่กันจริง ขโมยกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลยเหรอ”
หล่อนพึมพำกับตัวเองอย่างเคียดแค้น สามปีที่บริษัทขาดทุนเพราะลูกค้าลดออร์เดอร์ลงเนื่องจากสินค้าที่ส่งไปไม่ได้คุณภาพ ทำให้สินค้าหลายตัวถูกตีกลับมา ทั้งๆ ที่สินค้าทุกล็อตฝ่ายตรวจสอบยืนยันว่าสินค้าทุกชิ้นได้มาตรฐาน
เมื่อออร์เดอร์ลดลงรายได้ของบริษัทก็ลดลงและการขาดสภาพคล่องก็ตามมา แต่กัณหาก็พยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าและโปรโมตสินค้าของบริษัทอยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายไทม์กรุ๊ปก็มาถึงทางตัน เมื่อแหล่งเงินทุนถอนหุ้นออกไปเพราะไม่มั่นใจในการบริหารงานของผู้บริหารคนปัจจุบันซึ่งก็คือเธอ ทำให้นายตรัยและกัณหาต้องหาคนมาร่วมทุนใหม่ แต่จนแล้วจนรอดคนที่นายตรัยไปเสนอให้ก็ปฏิเสธการช่วยเหลือ มีเพียงทางเอลตาโน่เท่านั้นที่ยังขอศึกษารายละเอียดและรอให้ทายาทอีกคนกลับมาจากเมืองนอกเสียก่อน
“คุณการันต์ร่วมมือกับพวกนี้เองหรอกหรือนี่”
กัณหาตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เมื่อมองเห็นการันต์ผู้จัดการแผนกตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ของบริษัทเดินเข้ามาพร้อมชายแปลกหน้าอีกสองคน ครั้นพอร่างโปร่งระหงขยับตัว เท้าเล็กก็ถอยไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเสียงดังแกร๊ก และเสียงนั้นก็เรียกความสนใจจากพวกมันได้เป็นอย่างดี
“เฮ้ย! มีคนอยู่ตรงนั้น เร็ว! จับตัวมันมาให้ได้” การันต์ตะโกนบอกอย่างตกใจ ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่รีบตามไปทันที
“จับให้ได้ ไม่อย่างนั้นได้บรรลัยกันแน่งานนี้”
เท้าเล็กวิ่งไปยังบันไดซึ่งพาดกำแพงไว้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ชายร่างใหญ่สบถออกมาแล้วเล็งปืนไปที่ร่างเล็กที่กำลังปีนป่ายกำแพงออกไปข้างนอก เบญจกุลมองเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ชั่วครู่จึงตะโกนออกไปสุดเสียง
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบและยอมมอบตัวแต่โดยดี” สิ้นเสียงตะโกนบอก พวกมันต่างกระโดดหาที่หลบ จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว ส่วนพวกที่วิ่งตามจับตัวกัณหาก็วิ่งหาที่บังกายและยิงตอบโต้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ปังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“อ๊าก!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของชายฉกรรจ์หลายคนดังขึ้นประสานกับเสียงปืน หลายคนล้มตายราวใบไม้ร่วง การันต์มองเพื่อนอีกสองคน ทั้งสามพยักหน้าให้กันแล้วถอยไปด้านหลังของโกดัง เบญจกุลเห็นจึงยิงเข้าใส่ คมกระสุนเจาะเข้าศีรษะคนที่วิ่งตามหลังการันต์แม่นราวจับวาง
การันต์หน้าซีดหันไปมองเพื่อนอย่างตกใจ เหงื่อเม็ดโตซึมออกมาเต็มใบหน้าอย่างกลัวๆ พอจะขยับขาออกวิ่งไป ก็ต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อคมกระสุนเจาะทะลุต้นขาเลือดแดงฉาน
“โอ๊ย” การันต์ร้องอย่างเจ็บปวดและทรุดกายลงกับพื้น แต่ก็ยังรวบรวมกำลังกระเสือกกระสนหาที่ซ่อนกาย กัณหาหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างกำแพง มองจ้องไปที่ร่างของผู้จัดการแผนกของบริษัท
เสียงปืนดังอยู่ประมาณสามสิบนาทีก็เงียบลงอย่างยอมแพ้ เมื่อเห็นว่าไม่มีทางรอดคนร้ายหลายคนยกปืนขึ้นเหนือศีรษะเดินออกมามอบตัว เบญจกุล จ่าชูชัยและดาบชีพพาตำรวจอีกหลายนายเข้าจับกุมแล้วเคลียร์พื้นที่ ใบหน้าคมสันกวาดตามองไปรอบๆ อย่างประเมินความเสียหายของฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะมองคนร้ายถูกดันไปยืนเรียงแถวขึ้นรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเป็นระเบียบ สารวัตรหนุ่มกวาดตามองรอบๆ อีกครั้งเมื่อไม่เห็นใครอีกคนที่เข้ามาร่วมแจมในคืนนี้ ร่างสูงเดินไปยังจุดที่เห็นร่างโปร่งสวมชุดดำยืนแอบอยู่เมื่อสักครู่
***
