Chapter.4 แม่หม้าย พ่อหม้าย
“ทำไมไม่เรียนต่อให้จบ เธอตรอมใจถึงขนาดลาออกเลยเหรอ “อะไรของเขา เรื่องตรอมใจยอมรับว่ามีแต่คงไม่ถึงขั้นลาออกจากคณะที่ตนรัก สาเหตุไม่ใช่เพราะตรอมใจสักหน่อย รินรดายอมทิ้งความฝันเพื่อรักษาสิ่งมีชีวิตที่แสนน่ารักไว้ต่างหาก
“เปล่าค่ะ ดิฉันเรียนไม่ไหวก็เลยต้องออก “การโกหกคงช่วยให้เขาคลายสงสัย เธอจะรู้มั้ยว่าอัครพลไม่คล้อยตามสักนิด ตลอดเวลาที่คลุกคลีอยู่ด้วยกันเขารู้ว่าเธอหัวดีและใฝ่เรียนมากแค่ไหน
รินรดามีเหตุอะไร ทำไมต้องลาออกแล้วมาทำงานบริษัทตำแหน่งเล็กๆ แบบนี้ ความจริงเธอยังต้องเรียนไม่ใช่อยู่ในวัยทำงานหาเงินแบบนี้ ทำงานหนักเกินหรือเปล่าถึงได้ผอมซูบจนไหปลาร้านูนชัดขนาดนั้น
ดวงหน้าหวานยังคงความน่ารักในแบบฉบับของตัวเอง อัครพลจ้องมองหญิงสาวที่แสนคุ้นเคยอยู่พักใหญ่ อยากถามไถ่เรื่องราวมากมายที่อยากรู้ แต่ก็ต้องอดใจเก็บเอาไว้เพราะไม่ใช่เวลา
อัครพลใช้ความคิดอยู่พักใหญ่และกำลังจะอ้าปากสัมภาษณ์ต่อ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ประธานธาดากรุปเดินมานู่นพร้อมกับแจกรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์มองมาที่เขาจนนึกขนลุก
“สวัสดีค่ะคุณภาคย์ “หญิงสาวยกมือไหว้ประธานใหญ่แห่งธาดากรุป พร้อมกับขยับกายถอยห่างเพื่อหลีกทางให้ผู้ใหญ่คุยกัน
“มานานรึยัง เข้าข้างในก่อนสิ “ภาคภูมิถามไถ่เพื่อนสนิทที่บินไกลลงใต้มาเพื่อหารือธุรกิจ เขายินดีอ้าแขนต้อนรับอัครพลอย่างเต็มใจ ได้ยินชื่อเสียงมานมนาน แถมไม่ได้เจอกันนานหลายปีเพราะหลังจากอัครพลเข้าพิธีวิวาห์ก็ไม่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันอีกเลย
จนมาวันนี้
“สักพักแล้ว “
“แก้ม วันนี้ลูกอินไม่มาด้วยหรือ “
“ลูกอินไปโรงเรียนค่ะคุณภาคย์ “เพราะความเคยชินทำให้ภาคภูมิถามไถ่ถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่มักได้ยินเมื่อเห็นหน้ารินรดา เด็กหญิงวัยสามขวบที่พนักงานของเขาจำต้องหอบมาด้วยทุกครั้งเพราะไม่มีคนดูแล ภาคภูมิเห็นว่าไม่ได้หนักหนาและเป็นการวุ่นวายเลยอนุญาตให้พามาด้วย กลายเป็นว่าเขาติดเสียงเจื้อยแจ้วของลูกอินไปเสียแล้ว
“อ่อ สามขวบแล้วสินะ “อัครพลปรายตามองเพื่อนสนิทอย่างสงสัย เพื่อนคนนี้ใส่ใจลูกของพนักงานขนาดนี้เชียวหรือ ปกติภาคภูมิไม่ค่อยชอบเด็กสักเท่าไหร่ ทำไมครั้งนี้ถึงดูใส่ใจนัก
เมื่อได้ยินอายุของเด็กคนนั้นที่ภาคภูมิพูดถึง ทำให้อัครพลคิดหนักจินตนาการไปถึงคืนวันนั้น จะใช่หรือเปล่า? ลูกอินที่ภาคภูมิบ่นถึงจะใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหรือเปล่า หากใช่ เขาจะทำยังไง? ตรวจดีเอ็นเอ หรือหอบกลับกรุงเทพทั้งแม่และลูกไม่ต้องถามไถ่ให้มากความ
"คุณภาคย์มีอะไรจะให้แก้มทำอีกมั้ยคะ แก้มมีงานค้างอยู่ต้องรีบทำให้เสร็จบ่ายสามต้องไปรับลูกอิน กลัวแกจะร้องหากไปช้า “รินรดาอ้างเหตุผลเพราะอยากออกจากตรงนี้ เธอเริ่มอึดอัดสายตาของอัครพลที่มองมา แม้ไม่ได้สบตาก็พอรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังถูกจ้องและเค้นถามความจริงเรื่องลูกอินอยู่
“บ่ายสามเหรอ ถ้าประชุมเสร็จเร็วติดรถฉันไปก็ได้ ต้องไปส่งไอ้อัครที่สนามบินพอดี “เธอพยักหน้ารับ หากปฏิเสธเกรงว่าจะโดนดุ ทุกคนในบริษัทเอ็นดูลูกอินไม่เว้นท่านประธาน นับเป็นบุญของเธอกับลูก
“กูจะค้าง เตรียมห้องให้ด้วย”
“ไหนบอกรีบกลับ แล้วนึกยังไงถึงอยากค้าง “ภาคภูมิกระตุกยิ้ม ปกติเพื่อนคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนใจง่ายขนาดนี้ อะไรทำให้อัครพลเพื่อนสนิทของเขานึกอยากค้างที่ธาดาฮิลล์ แม้จะสงสัยหากถามตอนนี้คงไม่ได้คำตอบ ช่างเถอะ เพื่อนสนิทอาจอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็ได้ พ่อหม้ายอย่างอัครพลคงอยากหาใครสักคนเข้ามาทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยมากกว่าเดิมก็ได้ ใครจะรู้
“อยากดูงานต่อ ภูเก็ตมีบางอย่างน่าสนใจ จะค้างสักระยะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็จะกลับ “รินรดารู้ชะตาและเหตุผลที่อัครพลตัดสินใจค้างที่ธาดาฮิลล์ เธอคิดว่าไม่นานอัครพลคงรู้ว่าลูกอินคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เขาคือหมอและนักธรุกิจผู้ทรงอิทธิพลอันดับต้นๆ ของประเทศไม่ต่างจากภาคภูมิ เรื่องแค่นี้ไม่กี่นาทีคนของเขาคงคาบข่าวมาบอกให้รู้ถึงหู
รินรดาเริ่มกังวลหากเขารู้ลูกอินจะถูกพรากออกจากอกหรือเปล่า กลัวเหลือเกิน กลัวว่าเขาจะพรากลูกสุดที่รักของเธอไป
“จัดการให้ผมด้วยนะแก้ม ห้องSuitเลยเป็นไง “ภาคภูมิหันไปถามความต้องการของเพื่อนสนิท รู้อยู่แล้วว่าระดับอัครพลต้องดีและแพงที่สุด
“ยังไงก็ได้กูจ่ายอยู่เอง
“เฮ้ยได้ยังไง เพื่อนสนิทมาเยือนถึงถิ่น เก็บเงินไว้หิ้วสาวดีกว่าคืนนี้จะพาไปเปิดหูเปิดตา คุณหมอต้องชอบ”
ได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มร้ายก็เริ่มกระตุก อาการของรินรดาทำให้เขานึกสนุก ร่างนุ่มนิ่มที่เฝ้าถวิลหายืนอยู่ตรงหน้า หากไม่มีเรื่องลูกเข้ามาเกี่ยว เขาคงกระโจนใส่และฟัดเธอให้หนำใจไปแล้ว เกือบสี่ปีที่ตรอมใจเพราะมีเหตุผลบางอย่างที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย เร็วไปด้วยซ้ำไม่คิดว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้
“พูดซะขนาดนี้รีบเข้าประชุมดีกว่า”
รินรดากลับมาที่โต๊ะทำงานรีบเคลียร์เอกสารที่คั่งค้างเอาไว้ เฝ้าภาวนาในใจขอให้การประชุมยืดเยื้อออกไป เธอไม่อยากเห็นหน้าเขา เจตนาของอัครพลเธอรู้ดี เขาต้องการจะปั่นประสาทเอาชนะและสืบหาความจริงเรื่องลูกอิน
หากความจริงปรากฏเธอจะไม่ยอมยกลูกให้แก่เขา ในเมื่อเขามีภรรยาแล้วจะมาสนใจไยดีชีวิตของเธอกับลูกทำไม หากต้องการรับผิดชอบเธอยินดีรับเป็นเงินสดเท่านั้น เธอไม่ต้องการความอบอุ่นจากเขา ต่างคนต่างมีชีวิต ไม่ผิดที่เธออยากเลือกทางเดินแบบนี้
เธอสุขสบายดี เงินที่เขาให้ไว้ก็ยังเหลือพอใช้สบายๆ ไปได้อีกหลายปี เงินเดือนที่ได้จากการทำงานก็พอประทังชีวิต ไม่ทุกข์ มีแต่ความสุขเมื่อได้มองหน้าลูกทุกวัน
เมื่องานบนโต๊ะเสร็จเรียบร้อยรินรดาก็รีบคว้ากระเป๋าสะพายเดินลงไปรอรถด้านล่างเพื่อไปรับลูก ไม่รู้ว่าการประชุมเสร็จสิ้นหรือยัง
เธอรีบสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปตามทางเดิน อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงลิฟต์
ตึกตัก ตึกตัก
ใจดวงน้อยเต้นรัวราวกับกำลังรอบสนามกีฬากลางของจังหวัด เธอเหนื่อยและกลัวมากในเวลานี้ ทำไมยิ่งรีบถึงยิ่งช้า
หมับ!
“อ๊ะ “เจ้าของความสูงร้อยหกสิบห้าเซถลาตามแรงเข้าไปกระแทกกับอกกว้าง น้ำหนักเพียงน้อยนิดของเธอทำให้หมดแรงฝืน จะพ้นอยู่แล้วเชียวทำไมถึงได้เร็วนัก แล้วนี่คุณภาคย์ไปไหนทำไมเหลือแค่แขกคนสำคัญมายืนซุ่มเป็นโจรอยู่มุมนี้
“จะไปรับลูกไม่ใช่เหรอ ผมยืมรถไอ้ภาคย์ไว้แล้ว บอกทางมาเดี๋ยวผมขับให้ “รินรดาขัดขืนเมื่อเขาไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ เธอไม่อยากรบกวนและกลายเป็นภาระให้เขา
“ไม่ต้องค่ะ”
“ทำไมล่ะ กลัวผมรู้หรือไงว่าเด็กคนนั้นคือลูกของผม”
“คุณอัคร”
----
