ตอนที่ 2 เกลียดมากกว่าที่รู้
พสุธาหูตาแดงก่ำออกมาจากห้องผู้ป่วยหนัก ใบหน้าคมเคร่งขรึมครุ่นคิดหาวิธีเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมายกับเพชรน้ำหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ใครรุมทึ้งเธอ ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวหญิงสาวหน้าตาบึ้งตึงสอดมือไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมมาดักหน้าเขาและมองด้วยแววตาที่หลากหลายเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำและดวงตาของเขาคลอไปด้วยน้ำใส
“ฉันจะจดทะเบียนกับนายให้คุณแม่สบายใจ แต่นายต้องเซ็นสัญญาว่าจะหย่าทันทีที่ฉันต้องการ”
“ผมจะหย่าเมื่อผมมั่นใจว่าคุณปลอดภัยแล้วเท่านั้น”
“ปลอดภัยจากอะไร ฉันไม่ได้มีศัตรูที่ไหน”
“อาจจะมีคนเกลียดคุณมากกว่าที่คุณรู้ก็ได้”
“นายก็รวมอยู่ในกลุ่มคนที่เกลียดฉันด้วยสินะ” แววตาสวยสั่นไหวมือที่ซุกในกระเป๋าเสื้อคลุมกำแน่นกลัวว่าคำตอบจะทำร้ายใจ พสุธาสีหน้าเรียบนิ่งเงียบค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามาใกล้โน้มลงมองสบตาสวยเปล่งประกายแม้ในยามเศร้า
“ถ้าผมเกลียดใคร ผมจะไม่มองหน้าคนคนนั้น” สายตาคมจ้องมองนิ่งสร้างความประหม่าให้คนตัวเล็กเขินหน้าแดง นานมากแล้วที่ฝืนห่างเหินทั้งที่ใจอยากทำตรงกันข้าม
“คุณแม่ต้องการให้เราจดทะเบียนกันวันนี้ นายพร้อมมั้ย” ริมฝีปากบางขบเม้มพลางมองไปรอบข้างที่ไม่ใช่การมองใบหน้าของเขา พสุธากระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะผละห่างเดินนำเธอไปยังลิฟต์........
ค่ำคืนวันนั้น
เพชรน้ำหนึ่งอยู่บนที่นอนภายในห้องนอนของตัวเองที่ไม่ได้อยู่เกือบห้าปี หน้าสวยก้มมองทะเบียนสมรสในมืออ่านชื่อเธอและพสุธาวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา บอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกับการถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับเด็กกำพร้าที่แม่อุปการะแต่ที่แน่ ๆ เธอไม่เสียใจเลยที่จรดปากกาเซ็นชื่อในวันนี้.
แต่แล้วข่าวร้ายก็มาไม่ทันข้ามคืนเมื่อทางโรงพยาบาลแจ้งว่าหทัยชนกหายใจอ่อนลงและสิ้นใจในที่สุด เพชรน้ำหนึ่งโศกเศร้าเสียใจไม่ได้บอกลาแม่เป็นครั้งสุดท้าย กายบางไร้เรี่ยวแรงเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายซังกะตายไม่จัดเตรียมงานหรือทำอะไรเลย
ปรางสุดาน้องสาวแท้ ๆ ของหทัยชนกคอยดูแลเพชรน้ำหนึ่งตลอดงานศพด้วยความห่วงใย ส่วนธนัตกับธารทิพย์ลุงกับป้าพร้อมลูก ๆ ญาติฝ่ายพ่อช่วยต้อนรับผู้ร่วมงานอาลัยกันหัวหมุนทุกอย่างเกือบจะดีแต่ ปรางสุดาหันไปมองญาติของสามีของพี่สาวต้อนรับขับสู้เพื่อเก็บซองกันวุ่นกระเป๋าใบใหญ่แทบไม่พอใส่ต้องเอากระเป๋าของลูกมาใส่เพิ่มช่างน่าอดสูรวยแล้วยังขี้งกแม้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ของงานศพก็ไม่ยอมปล่อยผ่านต้องตักตวงมาให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ลูกสาวแท้ ๆ ยังนั่งเศร้าไม่เอาและไม่สนใจทำอะไรเลยนอกจากพสุธาที่จัดเตรียมทุกอย่างเอง
“ช่วยกันหวังผลจริง ๆ” ปรางสุดาเอือมระอาญาติสามีของพี่สาวที่เห็นแก่ตัวคงเส้นคงวาไม่เปลี่ยน
“ช่างเขาเถอะค่ะ” เพชรน้ำหนึ่งปรายตามองเหนื่อยหน่ายหมดอาลัยตายอยากไม่ได้แม้แต่ร่ำลาแม่ในวินาทีสุดท้าย
“น้าไม่ค่อยไว้ใจพวกเขาเลย ถ้าพินัยกรรมระบุให้หลานเป็นเจ้าของบ้านก็ให้พวกเขาย้ายออกเถอะ ถึงอยู่คนละบ้านแต่ก็รั้วเดียวกันน้าเป็นห่วง” ปรางสุดาเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใยตัวเธออาศัยอยู่ต่างจังหวัดไม่ค่อยได้ใกล้ชิดดูแลหลานจึงเป็นห่วงที่ตอนนี้หลานต้องอยู่ร่วมกับญาติฝ่ายพ่อเพียงลำพัง
“ส่วนดินนี่น่ากลัวสุด ฉลาดและเจ้าเล่ห์ชอบคิดว่าตัวเองเป็นลูกของพี่หทัยคงหวังว่าตัวเองจะได้มรดกด้วย พี่หทัยก็ไว้ใจดินเกินไปแต่หลานห้ามหลงกลไว้ใจดินเหมือนแม่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหลานจะถูกปอกลอกจนหมดตัว” ปรางสุดาหันมองไปทางพสุธากำลังจัดแจงดูแลความเรียบร้อยของงานเพื่อหวังผล
เพชรน้ำหนึ่งถอนหายใจเหนื่อยหน่ายไม่ตอบโต้ทำเพียงปรายตามองไปทางพสุธาเหน็ดเหนื่อยช่วยงานมาหลายวัน เธอรับรู้ว่าได้เขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำความรักที่เขามีให้คุณแม่คือสิ่งที่เธอสัมผัสได้มาตั้งแต่เด็กและเข้าใจว่าพสุธาอยากทำเพื่อผู้มีพระคุณที่เขารักเทิดทูนเป็นครั้งสุดท้าย
ด้านพสุธาดวงตาแดงก่ำเขาไม่เข้าไปพูดคุยหรือแสดงความห่วงใยเพชรน้ำหนึ่งเหมือนคนอื่นกลับหมางเมินคล้ายไม่รู้จักเสียด้วย แม้จะลอบมองอาการเธอเป็นระยะแต่ก็ทำเคร่งขรึมต่อหน้าคนอื่น ทว่าบ่อยครั้งเขามักแอบร้องไห้หลังงานศพยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต..............
หลังจากงานศพของหทัยชนกผ่านพ้นทุกคนต่างตั้งตารอการเปิดพินัยกรรมอีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้
เพชรน้ำหนึ่งนอนหลับอยู่บนที่นอนนุ่มใต้ผ้านวมสีขาวสะอาดภายในห้องนอนสีขาวสะอาดตกแต่งเรียบหรู โต๊ะข้างหัวนอนมีแจกันดอกลิลลี่สีขาวกลีบดอกเริ่มเหลืองใกล้เหี่ยวเฉา เปลือกตาที่ปิดสนิทขนตางอนยาวกำลังกลิ้งกลอกตามลูกตาด้านในของคนที่คล้ายจะหลับลึกแต่เธอกำลังฝันร้ายและรู้สึกกังวลใต้ภวังค์แห่งความฝัน
“แม่ขอร้อง” , “ใช่สิฉันมันไม่ได้เรื่อง คนที่รอดตายวันนั้นควรเป็นพี่เพชรไม่ใช่ฉัน!” ,” ช่วยด้วย!” , “พี่ดินมานี่” , “ทำไมไม่มาเล่นกับหนูบ้าง”
น้ำเสียงของผู้คนมากมายภาพตัดสลับซับซ้อนมองไม่ชัดวนเวียนอยู่ในหัวทำให้คิ้วเรียวขมวดเครียดและปวดหัวหนักขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะสะดุ้งตื่นตาเบิกโพลงเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะแล้วค่อยสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ ใบหน้าซีดเซียวชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ร่างบอบบางสวมชุดนอนกระโปรงสายเดี่ยวผ้าซาตินค่อย ๆ เขยิบลุกขึ้นนั่งพิงหัวนอนกวาดสายตามองรอบห้องนอนคุ้นเคยที่เธออยู่มาตั้งแต่เล็ก มือเรียวปาดเหงื่อชุ่มหน้ารวบเรี่ยวแรงลุกจากที่นอนทั้งที่หัวยังมึนงงและรู้สึกอ่อนเพลียคล้ายเจ็บป่วยแต่ไม่มีไข้ เมื่อยืนทรงตัวได้เธอพาร่างกายโอนเอนเดินเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงแขนเปลี้ยแล้วลากสังขารเดินลงไปห้องรับประทานอาหารจะรีบกินอาหารเช้าแล้วกินยานอนพักผ่อนให้หายเพลีย
ภายในห้องอาหาร
เพชรน้ำหนึ่งนั่งนวดขมับรอให้แม่บ้านนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟ ป้าพึงรีบอุ่นผัดพริกแกงและต้มยำที่เตรียมไว้ให้อ้ายรีบนำมาเสิร์ฟให้คุณหนูอย่างเร่งรีบ
“ทำของเผ็ดแต่เช้าเลย ไม่มีเบรกฟาสต์เหรอ”
“นี่เป็นเมนูอาหารกลางวันที่คุณหนูสั่งไว้เมื่อคืนค่ะ” อ้ายเอ่ยขึ้นมองไปทางนาฬิกาบนข้างผนังห้อง เพชรน้ำหนึ่งนิ่วหน้ามองเวลาใกล้บ่ายสองโมงเลยรู้ว่าตัวเองนอนนานเกินไปเลยทำให้ปวดหัว
“คุณแม่กินข้าวเที่ยงไปแล้วเหรอ?” เพชรน้ำหนึ่งเอ่ยถามพลางหยิบช้อนส้อมเตรียมรับประทาน อ้ายนิ่วหน้าแปลกใจที่คุณหนูถามถึงคุณผู้หญิง
“คุณผู้หญิงท่านเสียแล้วค่ะ”
“แช่งคุณแม่ได้ยังไง อยากโดนไล่ออกเหรอ!” หน้าสวยขึงขังตะคอกลั่นห้องอาหารไม่พอใจคนรับใช้ปากพล่อย
“หนูไม่ได้แช่งนะคะ คุณผู้หญิงท่านเสียแล้วจริง ๆ” อ้ายเสียงสั่นกลัวลนลาน
“ยังไม่หยุดอีก!” เพชรน้ำหนึ่งลุกพรวดถลึงตาขุ่นเคือง ด้านป้าพึงรีบวิ่งหน้าตาตื่นตามเสียงวีนของลูกสาวเจ้าของบ้าน
“มีอะไรกันคะคุณหนู?”
“อ้ายปากเสียแช่งให้คุณแม่ตาย!”
“คุณผู้หญิงท่านจากพวกเราไปสองอาทิตย์แล้วนะคะ คุณหนู” คำยืนยันจากปากป้าพึงทำเพชรน้ำหนึ่งชะงักหันมองเชื่องช้าภาพของคนรับใช้สองคนเลือนรางสลับกับภาพเธอกอดแม่ร่างกายทรุดโทรมอยู่บนเตียงคนไข้ รูปแม่หน้าโลงศพผู้คนมากมายสวมชุดดำ เสียงเธอร้องไห้ฟูมฟายและเห็นพสุธาแอบยืนร้องไห้หลังงานศพพร้อมกับเสียงพูดของคนหลายคนแย่งกันพูดจับใจความไม่ได้ถาโถมประดังเข้าพร้อมๆ เพชรน้ำหนึ่งปวดหัวและกระบอกตาหนักขึ้นเรื่อย ๆ สายตาพร่ามัวรู้สึกพะอืดพะอมต้องรีบวิ่งไปอ้วกในถังขยะใกล้ ๆ ป้าพึงกับมะยมรีบตามไปลูบหลังหน้าตาไม่สู้ดี เพชรน้ำหนึ่งทรุดนั่งพับกับพื้นหน้าซีดเซียวเวียนหัว ตาลายก่อนจะภาพดับมืดหมดสติไปในที่สุด..........
