19 ทำไมต้องมารับรู้
ปุณณวิชญ์โทรไปบอกสิงหนาทให้เอารถเขาไปใช้ได้เลย ส่วนรถคันนี้เขาจะยืมใช้สักสองสามวัน เขาขับรถไปยังไซต์งานที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของหญิงสาว คนงานกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
“พี่วิชญ์ มาแต่เช้าเลยนะครับ” อาธรหนุ่มรุ่นน้องโบกมือทักทายทันทีที่เห็นเขาเดินลงจากรถ
ชายหนุ่มโบกมือตอบแล้วเดินเข้าไปยังตู้คอนเทนเนอร์ที่ตัดแปลงมาเป็นห้องทำงานชั่วคราวของเขากับและโฟร์แมน รวมถึงใช้เป็นที่เก็บอาหารแห้งและเครื่องดื่ม
ปุณณวิชญ์เดินออกมาอีกครั้งพร้อมแก้วกาแฟกระดาษในมือ เมื่อเช้าเขายังไม่ได้ทานอะไร ก็ต้องรีบขับรถออกมาเสียก่อน ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะไปทานกาแฟกับไข่ลวกที่ร้านกาแฟโบราณข้างๆ ร้านขายของชำหน้าปากซอย
“งานราบรื่นดีไหม” เขายืนมองการสั่งงานของโฟร์แมนหนุ่มอยู่พักใหญ่ก็ถามขึ้น
“เรียบร้อยดีครับพี่ คนงานชุดนี้ขยันกันทุกคนเลย เมื่อวานทำงานล่วงเวลาก็ไม่บ่นกันสักคำ”
“อาร์ทถือว่าโชคดีมากที่ได้คนงานที่ขยัน ไม่เหมือนตอนพี่จบใหม่ คนงานต่อต้านกันน่าดูกว่าจะจูนกันได้ก็เกือบแย่” เขานึกไปถึงครั้งจบใหม่และได้คุมงานเองเป็นครั้งแรก สิงหนาทคือโฟร์แมนที่เคยมีปัญหาด้วย ตอนนั้นเขาเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง จึงค่อนข้างจะมั่นใจในตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเจ๋งเพราะจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามทฤษฎี แต่พอมาเจอหน้างานมีปัญหาก็จะทำตามที่เรียนมาอย่างเดียว จนงัดข้อกับสิงหนาทไปหลายครั้ง อติรุจน์เจ้าของบริษัทในขณะนั้นจึงเรียกเขาเข้าไปสอนอะไรหลายๆ อย่างจนในที่สุดก็เข้าใจระบบการทำงาน และพอมาเปิดบริษัทเองก็ไม่ลืมที่จะดึงสิงหนาทมาทำงานด้วย
เลยเวลาอาหารกลางวันไปเกือบชั่วโมงปุณณวิชญ์เริ่มรู้สึกหิว เขาจึงเดินไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่หน้าที่อยู่เยื้องๆกับไซต์งาน ขณะที่กำลังนั่งรอก๋วยเตี๋ยวเขาก็สำรวจไปยังบริเวณรอบๆ ที่นี่เขาเคยมายืนรอรถตอนที่เรียนมัธยมอยู่ ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ก่อนบริเวณที่เขากำลังสร้างอาคารสำนักงานอยู่นั้นเป็นป่ารกร้าง แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยอาคารสูง เมื่อความเจริญเข้ามาแทนที่ธรรมชาติก็จะค่อยๆ หายไป
“ได้ข่าวว่าวันนี้ตัดส้มโอเหรอคะคุณพล เป็นไงคะรอบนี้ได้เยอะไหม” เสียงแม่ค้าทักทายคนมาใหม่อย่างคุ้นเคย
“ก็พอสมควรครับ แล้วที่สวนล่ะ ยังไม่ตัดอีกเหรอ” เสียงชายมีอายุคุยโต้ตอบกับแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว
เขาไม่ได้หันไปมองเพราะไม่อยากเสียมารยาท เขาก้มหน้าทานก๋วยเตี๋ยวไปเรื่อยๆ เพราะไม่ได้รีบร้อนไปไหน แค่รอเวลาโรงเรียนเลิกเท่านั้น สักพักเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินมาทักทายแม่ค้าอีกคน
“วันนี้ขายดีล่ะสิ” คนมาใหม่เป็นผู้หญิง เอ่ยทักทายแม่ค้า
“ก็อย่างที่เห็นนี่ก็พึ่งโทรสั่งให้เค้ามาส่งลูกชิ้นเพิ่ม” แม้ค้าตอบอย่างอารมณ์ดี
“แล้ววันนี้ทำไมมาพร้อมกันได้ล่ะ”
“มาพร้อมกันที่ไหนล่ะ พี่พลน่ะกลัวเมียรู้จะตาย นี่ก็ออกมาก่อนฉันตั้งนาน”
“ไม่รู้อย่างนี้แหละดีแล้ว เดี๋ยวรู้ขึ้นมามันจะเป็นเรื่อง” เสียงผู้ชายตอบ
“แล้วกะจะคบกันอย่างนี้อีกนานไหมล่ะปราณี”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่พลก็ไม่ยอมบอกลูกเมียไปสักที”
“บอกนะพี่บอกแน่ แต่รอให้หนูปอสอบผ่านก่อน พี่ไม่อยากให้ลูกมาคิดมากเรื่องนี้แล้วไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ”
เสียงของคนทั้งสามนั่งคุยกันอย่างออกรส ชายหนุ่มนั่งฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราณี พล หนูปอ ทั้งสามชื่อนี้ล้วนเป็นคนที่เขารู้จักแต่บทสนทนานั้นก็ทำให้เขาพอจะเดาออกแล้วว่าสิ่งที่เขาเห็นคืนนั้นเขาไม่ได้คิดไปเอง เขารอจนกระทั่งคนทั้งสองออกไปจากร้านจึงเดินไปจ่ายเงินให้กับแม่ค้า
“ไม่ต้องทอนครับพี่ ผมนั่งนานไปหน่อย เกรงใจ” เขาส่งธนบัตรสีแดงให้กับแม่ค้า
“ขอบใจนะน้อง แล้วมาอุดหนุนพี่อีกนะ”
“ครับพี่ ก๋วยเตี๋ยร้านพี่อร่อยสุดๆ ไปเลยครับ สองคนเมื่อกี้ก็คงลูกประจำของพี่นะครับ” เขาเอ่ยชมทำเอาแม่ค้าหน้าบาน
“เป็นทั้งลูกค้าทั้งเพื่อน ผู้หญิงน่ะพี่เคยทำงานด้วยกันตอนนี้มันไปเป็นเมียน้อยเค้า เป็นมาปีกว่าละ ไม่มีใครรู้เข้าเมืองทีก็ต่างคนต่างมา ผู้ชายน่ะเกรงใจเมียกับลูก” แม่ค้ากระซิบกระซาบอย่างกลัวคนอื่นได้ยิน
“ผมไม่รู้จักสองคนนั้นหรอกครับพี่ ผมมาคุมงานสร้างอาคารตรงนู้นงานเสร็จผมก็กลับ พี่ไม่ต้องกลัวผมไปบอกใครหรอก”
“ได้ยินอย่างนั้นพี่ก็โล่งใจ”
ปุณณวิชญ์เดินออกมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งกับสิ่งที่ได้รับรู้มา เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับอีกนานไหม เพราะที่เขาได้ฟังมาคือน้าปองพลจะรอให้ลูกสาวสอบผ่านแล้วจะบอกความจริง ในขณะที่หญิงสาวก็อ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อให้ตัวเองสอบผ่านให้ได้ และอยากทำให้บิดามารดาภูมิใจ เธอจะรู้หรือเปล่าว่าวันที่เธอสอบได้จะเป็นวันที่เธอเสียครอบครัวไป เขาเป็นห่วงความรู้สึกของเธอและยังไม่รู้ว่าจะว่าจะบอกเรื่องนี้กับเธอยังไง
ปุณณวิชญ์ขับรถมาจอดหน้าโรงเรียนเกือบห้าโมงเย็น เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นคนที่เขามารอรับเดินออกมาสักที เขาโทรไปเธอก็ไม่รับสาย ชายหนุ่มคิดว่าเธอคงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เป็นแน่ เขาเดินลงจากรถจากนั้นก็เดินเข้าไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ โรงเรียนนี้เขาไม่เคยเข้ามาเลยสักครั้ง พอเดินไปถึงสนามฟุตบอลก็มีเด็กๆ กำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ เขาเองก็นึกสนุกอยากไปเล่นด้วย แต่คงต้องพักความคิดไว้ก่อน ชายหนุ่มพยายามมองหาสาวร่างเล็กในชุดกระโปรงดำ เสื้อสีเขียวอ่อนที่เขาเจอเมื่อเช้า แต่พอมองไปทางไหนก็เห็นคนใส่ชุดนี้อยู่หลายคน คงเป็นชุดของทางโรงเรียน ชายหนุ่มคิดในใจ เมื่อเช้ากัลยณัฏฐ์เล่าว่าเธออยู่สีฟ้า เมื่อเจอเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปถามแล้วตรงไปยังทิศทางที่เด็กนักเรียนกลุ่มนั้นบอก พอไปถึงโรงอาหารเขาก็เห็นหญิงสาวกำลังนั่งดูเด็กๆ ที่กำลังเต้นตามจังหวะกลองอย่างสนุกสนาน เขายืนมองอยู่พักใหญ่เด็กๆ ซ้อมเสร็จ ปุณณวิชญ์จึงเดินเข้าไปหา
กัลยณัฏฐ์มีสีหน้าประหลาดใจที่เห็นเขา “น้าวิชญ์ มาทำอะไรที่นี่คะ”
“ผมมารับกลับบ้าน พอดีงานพึ่งเสร็จเลยแวะมาดูว่าคุณกลับไปหรือยัง แต่รอหน้าโรงเรียนแล้วไม่เห็นออกมาสักทีเลยลองเดินเข้ามาดู”
“แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าปออยู่ที่นี่”
เขายักไหล่ แต่ไม่ตอบคำถามนั้น
“ครูปอกลับกันเลยไหม” เสียงชายหนุ่มอีกคนดังมาจากด้านหลัง
“ฉันคงกลับกับครูหนุ่ยไม่ได้ พอดีมีคนมารับแล้วค่ะ” เธอพูดพร้อมกับสอดมือมาคล้องแขนเขาอย่างสนิทสนม ชายหนุ่มพอจะเดาเหตุการณ์ออกจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รับถุงผ้ามาถือแล้วพาเธอเดินออกมา
“ขอบคุณนะคะน้าวิชญ์” เธอคลายมืออกจากวงแขนของเขาเมื่อเดินออกมาจากโรงอาหารได้ไกลพอ
“ขอบคุณที่มารับหรือขอบคุณที่ช่วยถือของ” เขาพูดติดตลก
“ทั้งสองอย่างค่ะ ถ้าน้าวิชญ์ไม่มา...”
“ถ้าผมไม่มาแล้ว......” เขาถามกลับ
“คงต้องให้ครูหนุ่ยไปส่ง” สีหน้าเวลาที่เธอพูดถึงครูคนที่เขาเจอเมื่อครู่ดูไม่ค่อยสบายใจ
“ครูคนเมื่อครู่ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ คนนั้นแหละค่ะ”
“คุณพูดเหมือนไม่ค่อยอยากให้เขาไปส่งเลย”
“ก็ปอไม่ค่อนสนิทกับเค้า พึ่งมารู้จักกันเองค่ะ ครุหนุ่ยได้ยินตอนที่ปอโทร. ไปบอกให้พ่อมารับ แต่พ่อบอกว่าทำธุระยังไม่เสร็จครูเค้าก็เลยจะไปส่งให้ที่บ้าน”
