๙ ความผิดติดตัว (๔)
เดินไปยังห้องเรือนกระจกที่ท่านชอบมานั่งพักผ่อน เธอเองก็มีโอกาสได้ชมสวนสวยและน้ำตาใสไปด้วย น้ำตกเพิ่งทำความสะอาดเมื่อไม่นานมานี้ น้ำจึงใสสะอาดมองเห็นปลาที่แหวกว่ายอย่างสนุกสนาน เธออมยิ้มเมื่อเห็นเช่นนั้น
เพชรแพรวาชอบธรรมชาติ เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ออกไปไหนกับเขาสักที ไปโรงเรียนก็กลับบ้าน พอทำงานก็มีแค่บริษัทกับบ้านเช่นเดียวกัน โลกของหล่อนค่อนข้างแคบ แต่เธอก็ไม่ได้โหยหาสิ่งอื่นใด นอกจากขอมีชีวิตสงบสุขก็พอ
คบหากับชายสักคนที่เธอรักหมดหัวใจ แต่งงานแล้วมีลูกสักสองสามคน สร้างบ้านหลังน้อยกับสนามหญ้าหน้าบ้านเพื่อให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว...
ฝันนั้นอาจจะไกลความจริงแล้วเธอก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า
แต่ก็ยังหวังจะมีใครสักคนที่รักกัน แล้วเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่เธอขาดหาย
“ปักผ้าให้ฉันหน่อยสิ จะเอาไปเป็นของขวัญให้คุณฤทัย คราวก่อนที่เธอปักให้ฉันคนถามกันใหญ่เลยว่าสั่งซื้อที่ไหน อยากลองทำขายหรือเปล่า” นั่งพับเพียงลงบนพื้นรอฟังคำสั่ง ก่อนคุณวราลีจะชี้ไปยังของที่เตรียมไว้ให้เธอ
ฝีมือการปักผ้าของเพชรแพรวาเป็นที่เลื่องลือ อาจเพราะได้เรียนกับคุณหญิงป้าของหยาดดาราทำให้เพิ่มพูนทักษะมากกว่าเดิม เคยปักให้นภาลดาและคุณวราลีเป็นการตอบแทนที่ท่านส่งเรียนจนจบปริญญาตรี ตอนแรกก็กลัวหญิงชราจะไม่รับน้ำใจ กลับกลายเป็นว่าท่านชอบจนเอาไปอวดเพื่อน จึงมีคนถามถึงที่มาจะได้ซื้อตาม
คุณท่านเห็นว่าเป็นโอกาสหารายได้อีกช่องทางของคนตรงหน้าจึงถาม แต่ผ้าหนึ่งผืนใช้เวลาค่อนข้างนาน อีกอย่างเธอก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น ช่วงนี้กำลังเริ่มเตรียมตัวสอบภาษาอังกฤษ เผื่อในอนาคตจะได้นำไปใช้ประโยชน์
หรือบางทีเธออาจจะหนีออกจากบ้านเกิดเมืองนอนแล้วไปทำงานต่างแดนก็ได้...
“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูไม่มีความสามารถขนาดนั้น” ปฏิเสธอย่างถ่อมตัวก่อนจะเริ่มงานปักผ้า โดยที่คุณท่านก็นั่งอ่านหนังสือไปพลาง ถึงห้องจะเงียบกลับไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด ต่างคนก็มีงานต้องทำ บางครั้งคุณวราลีก็ถามถึงงานปักแล้วอยากให้เธอสอนบ้าง ท่านจะเป็นนักเรียนที่ตั้งใจ
จึงนัดแนะเวลาช่วงเย็นเพื่อจะได้สอนปักผ้าอย่างที่ท่านต้องการ ไม่นานนักก็มีเสียงดังมาจากทางเข้าห้องเรือนกระจก นภาลดาเพิ่งกลับจากงานก็เข้ามาทักทายคุณย่าของตน โอบกอดท่านเอาไว้อย่างที่เคยทำประจำ
“คุณย่าคะ ทำอะไรอยู่เหรอคะ” เอนกายพิงท่านแล้วโอบกอดหญิงชราเอาไว้แน่น เธอเป็นหลานคนโปรด ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลแล้วยังได้ดูแลเองเพราะลูกชายต้องไปประจำการที่ต่างประเทศหลายปี ดวงตายามมองนภาลดาจึงเต็มไปด้วยความรัก
“อ่านหนังสือน่ะลูก ลดาเพิ่งกลับถึงบ้านเหรอ ช่วงนี้ย่าไม่ค่อยเห็นเราอยู่ติดบ้านเลยงานมันหนักขนาดนั้นหรือไง” ยกหนังสือขึ้นให้ดูแล้วถามหลานบ้าง
ทราบว่าหลานคนโตกำลังมุ่งทำงานธุรกิจอย่างหนักเพื่อสร้างฐานะ แม้บ้านจะไม่ได้ยากจนมีเงินใช้เป็นกอบเป็นกำแต่หล่อนก็ไม่ได้อยู่เฉยกินบุญเก่า เลือกจะหาเงินด้วยตัวเองแล้วดูท่าจะไปได้ดีอีกต่างหาก ทำให้คนในครอบครัวภูมิใจเป็นอย่างมาก
“ช่วงบริษัทกำลังก่อร่างสร้างตัวนี่คะ ลดาก็ต้องทำให้เต็มที่หน่อย...แพรจะปักผ้าเหรอ” คุยกับคุณย่าแล้วก็หันไปหาคนอายุน้อยกว่าซึ่งนั่งก้มหน้าปักผ้าอยู่บนพื้น เป็นเรื่องปกติที่จะถามไถ่แต่คราวนี้คนถูกถามกลับสะดุ้งจนเข็มทิ่มมือ
“โอ๊ย” เผลอส่งเสียงร้องก็ต้องรีบเม้มปาก ค่อยดูดนิ้วมือไม่ให้เลือดไหลแล้วเริ่มทำงานต่อ แต่ดูท่าคนที่นั่งในห้องอีกสองคนจะค่อนข้างเป็นกังวล โดยเฉพาะพี่สาวที่รีบถามไถ่
“ตายจริง เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บมากไหม” นั่งอยู่บนโซฟาแล้วชะเง้อมองอาการของเพชรแพรวา ยังเห็นว่าคนตรงหน้ากลับไปนั่งปักผ้าได้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ค่ะ ชินแล้ว...” ใช่ว่าเป็นครั้งแรกเสียหน่อย เธอโดนบ่อยจนชินเสียแล้ว ยิ่งช่วงไหนเหม่อลอยก็เหมือนจะถูกเข็มแหลมคอยทิ่มเพื่อเตือนสติให้สนใจมันอยู่เสมอ
“ไม่ต้องทำแผลเหรอ”
“ไม่ค่ะ หนูโดนทิ่มบ่อยเป็นประจำไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก” บอกเพื่อให้คลายกังวล
เมื่อทุกอย่างกลับเป็นปกติ คุณย่าที่ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นหลานสาวด้วยงานที่อีกฝ่ายทำค่อนข้างยุ่ง แล้วยังใช้เวลาไปกับว่าที่คู่หมั้นในช่วงเย็น แล้วอย่างนี้จะได้พักผ่อนตอนไหน นึกเป็นห่วงสุขภาพของนภาลดาแต่เหมือนเจ้าตัวจะมีความสุขเป็นอย่างดี
“แล้วเราไม่ไปไหนเหรอวันนี้ ปกติย่าเห็นออกไปกินข้าวกับเพลิงตลอดไม่ใช่หรือไง” อีกแปดเดือนจะถึงงานแต่งของคนทั้งสอง
หมั้นเช้าฉลองงานมงคลช่วงเย็น จัดวันเดียวให้จบจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก แต่ดูเหมือนฝ่ายเจ้าสาวจะมีงานฉลองสำหรับกลุ่มเพื่อนที่ทะเล ฝ่ายชายไม่ได้ขัดแล้วตามใจเธอหมดทุกอย่าง ทั้งสองคนไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง เพลิงรพีเห็นดีเห็นงามกับความคิดของหลานสาวท่าน
แต่นั่นแหละที่น่ากลัว...
ชายหนุ่มเหมือนน้ำนิ่งที่ไม่รู้ว่าจะมีคลื่นลมเมื่อไหร่ ใบหน้ายิ้มแย้มแววตากลับว่างเปล่า ไม่มีความรักใคร่ในดวงตายามมองนภาลดาสักครั้ง
การแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่ความรักแต่คือความเหมาะสม คิดแล้วก็สงสารหลานสาวที่ดูจะรักฝ่ายชายข้างเดียว
“พี่เพลิงไม่ว่างค่ะ ลดาเองก็ไม่ว่างเหมือนกัน เราคบกันแบบผู้ใหญ่นะคะคุณย่า ถึงไม่เจอหน้าก็รับรู้การมีอยู่ของกันและกันเสมอ” ยิ้มหวานมีความสุข คุณวราลีเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะพลอยอารมณ์ดีไปด้วย ยกมือลูบศีรษะมน
“หลานย่าโตแล้วนะเนี่ย...”
ไม่คิดว่าเด็กหญิงที่อ้อนย่าขอให้อ่านนิทานให้ฟังในวันนั้น จะเติบโตเตรียมพร้อมจะมีคู่ชีวิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว
ยิ่งฟังสิ่งที่พี่สาวพูดก็ทำให้เธอมือสั่นใจเต้นรัวด้วยความกลัวว่าสัมพันธ์คืนนั้นจะถูกเปิดเผย ดวงตากลมร้อนผ่าวแต่ต้องหักห้ามใจเอาไว้สั่งตัวเองไม่ให้น้ำตาหยดเป็นอันขาด เธอปักผ้าพร้อมกับอาการพะอืดพะอม กระทั่งงานเสร็จจึงขอตัวกลับเข้าห้องของตัวเอง
เพียงแค่ออกจากห้องเรือนกระจกก็รีบตรงเข้าไปยังห้องน้ำทันที เธออาเจียนอาหารที่กินเข้าไปออกจนหมด “อ้วก อ้วก...” เสียงดังไปทั่วห้องน้ำจนเกรงว่าจะมีคนได้ยิน ก่อนจะล้างปากล้างหน้าแล้วจ้องตัวเองในกระจก
ความทรงจำเหล่านั้นเมื่อไหร่จะหมดไปสักที เธอไม่ได้อยากจำกลับไม่สามารถลืมได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อพี่สาวแสนดี
ถ้าวันนั้นไม่ไปกับนภานรี...เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิด
ออกจากห้องน้ำก็กลับเข้าห้องนอนของตัวเอง เธอล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วหลับตา ปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกล เหนื่อยกับชีวิตตอนนี้เหลือเกินจนอยากหลับใหลไม่ต้องตื่นก็คงดี กระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์จึงหยิบมาดูว่าใครโทรมา
เบอร์แปลก...ควรรับหรือเปล่านะ
“สวัสดีค่ะ...”
ตอนแรกคิดจะตัดสายแต่ก็กังวลอาจเป็นคนรู้จักโทรมาจึงเลือกรับสาย กรอกเสียงทักทายลงไปกลับต้องตระหนกเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่แนะนำตัวเองเสร็จสรรพ โดยไม่ต้องให้เธอลุ้นว่าเขาเป็นใคร
‘ดีใจที่ได้ยินเสียงของเธอนะ...ฉันเพลิงรพี’
ลุกนั่งบนเตียงแล้วรีบลงไปเปิดม่านดูว่ามีใครเดินผ่านไปมาหรือเปล่า ทั้งที่ไม่ค่อยมีใครเดินมาทางนี้แล้วเสียงของหล่อนที่ตอบกลับก็เบาจนแทบไม่ได้ยิน
“โทรมาทำไม” กัดฟันแล้วถามอย่างโกรธเคือง
คิดว่าทุกอย่างมันจบแล้วเสียอีก กลับกลายเป็นว่าได้รับโทรศัพท์จากผู้ชายที่เธอไม่ควรมีความสัมพันธ์ด้วย หัวใจเต้นรัวเต็มไปด้วยความกลัวว่าทุกอย่างจะเปิดเผย กระบอกตาร้อนผ่าวเกลียดตัวเองที่อ่อนไหวกว่าปกติ
‘ฉันแค่จะชวนเธอมากินข้าวด้วยกันที่โรงแรม...ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคุยกับเธอ หวังว่าเธอจะยอมมาเจอฉันนะ เพราะถ้าไม่มาก็มีแค่ทางเลือกเดียวคือฉันจะไปรับเธอถึงบ้าน’
นั่นคือคำขู่ของเขาต่างหาก หญิงสาวสับสนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงต้องการพบตน เรื่องมันควรจบไปแล้วไม่ใช่หรือ เรากลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันนั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“ต้องการอะไรกันแน่!”
ตะโกนถามเสียงดังอย่างอัดอั้น พลันรีบยกมือปิดปากรวดเร็ว ไม่อยากส่งเสียงดังกลัวคนข้างนอกได้ยิน
‘รีบมาล่ะ ฉันหิวแล้วและฉันก็ไม่ชอบรอ’
เหมือนว่าเพชรแพรวาจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมไปหาเขาเพื่อเจรจาเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะหลังจากคืนนั้นเราก็ไม่มีโอกาสคุยกันอีกเลย
ดีล่ะ...เธอจะได้ขอร้องให้เขาลืมเรื่องคืนแสนอัปยศแล้วเลิกราต่อกันเสียที!
