ตอนที่ 6: คลื่นใต้น้ำ
อากาศในห้องเรียน 12D เปลี่ยนไป
ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก สองสามวันหลังเหตุการณ์ที่ลานร้าง กำแพงน้ำแข็งแห่งความเฉยเมยท้าทายได้ละลายลงแล้ว แต่มันไม่ได้กลายเป็นทุ่งดอกไม้แห่งความเป็นมิตร กลับกลายเป็นทะเลสาบที่นิ่งสงบจนน่าประหลาด ผิวน้ำที่ราบเรียบนั้นซ่อนเร้นคลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็นเอาไว้
เมื่อเหมยก้าวเข้าห้องในตอนเช้า เสียงพูดคุยที่เคยดังจอแจจะเงียบลงทันทีเหมือนเช่นเคย แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความเงียบที่เย้ยหยัน แต่เป็นความเงียบแห่งการรอคอยและการสังเกตการณ์ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เธอ พยายามถอดรหัสผู้หญิงคนนี้ที่ดูเหมือนครู แต่กลับไม่เคยทำตัวเหมือนครูเลยสักครั้ง
นัท... เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่เคยเป็นหัวหอกในการต่อต้าน บัดนี้นั่งสงบนิ่งอยู่ที่โต๊ะของเขา เขาไม่ได้ก้มหน้าเล่นมือถือหรือมองออกไปนอกหน้าต่างอีกต่อไป เขากำลังมองมาที่กระดาน ตั้งใจฟัง แม้จะยังไม่ปริปากพูดอะไรมากนักก็ตาม
พลอย... ราชินีประจำห้องที่เคยใช้ความสวยและวาจาเป็นอาวุธ ตอนนี้ยังคงรักษาท่าทีสง่างามไว้เช่นเดิม แต่สายตาหลังม่านขนตางอนงามนั้นไม่ได้จ้องแต่กระจกอีกแล้ว มันคอยชำเลืองมองทุกการเคลื่อนไหวของเหมยอย่างพินิจพิเคราะห์
ส่วนกาย... ที่นั่งอยู่หลังห้อง เขาดูเหมือนเดิมทุกประการ แต่ความนิ่งของเขาในตอนนี้กลับแฝงไปด้วยความเข้มข้นของการวิเคราะห์ที่มากกว่าเดิมหลายเท่า
เหมยรับรู้ถึงแรงกระเพื่อมใต้น้ำเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เธอรู้ว่านี่คือจังหวะที่เหมาะสมที่จะโยนหินก้อนใหม่ลงไปเพื่อดูปฏิกิริยา
“เอาล่ะทุกคน” เธอเริ่มต้นคาบเรียนด้วยน้ำเสียงสดใส “หลังจากที่เราได้คุยกันถึงเรื่อง ‘อำนาจ’ ไปบ้างแล้ว วันนี้ครูมีโครงงานกลุ่มให้ทำในหัวข้อ 'พลวัตของอำนาจและอิทธิพลในสังคมร่วมสมัย' ค่ะ”
นักเรียนหลายคนทำหน้างงกับหัวข้อที่ฟังดูวิชาการเกินไป เหมยยิ้มมุมปาก
“...หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ‘อำนาจที่แท้จริง’ หรือ ‘True Power’ นั่นเอง”
คำประกาศนั้นทำให้ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง หัวข้อนี้มันช่างจงใจเสียเหลือเกิน
“ครูให้อิสระเต็มที่ในการนำเสนอ พวกเธอจะทำเป็นวิดีโอสั้นๆ การแสดงละคร บทความ หรือแม้แต่โปสเตอร์อินโฟกราฟิกก็ได้ ขอแค่มันสามารถสื่อสารความคิดของกลุ่มเธอออกมาได้ดีที่สุด... ครูให้เวลาสองสัปดาห์”
เธอปล่อยให้เด็กๆ ได้จับกลุ่มกันเอง และเป็นไปตามคาด กลุ่มก้อนที่แข็งแกร่งและซับซ้อนที่สุดในห้องก็โคจรมาอยู่ด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้... กาย นัท พลอย ภู และตี๋เล็ก
การระดมสมองครั้งแรกของพวกเขาเกิดขึ้นที่โต๊ะมุมหนึ่งในห้องสมุด บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ
“เอาแบบง่ายๆ เลยนะ” พลอยเปิดประเด็นเป็นคนแรก เธอหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดรูปภาพของดาราฮอลลีวูดคนโปรด “เราก็ทำพรีเซนเทชันสวยๆ เกี่ยวกับอิทธิพลของคนดังไง ว่าพวกเขามีอำนาจในการกำหนดเทรนด์แฟชั่น ทำให้คนซื้อของตามได้มากแค่ไหน ง่ายดี ออกมาดูโปรด้วย”
“ไร้สาระ” คำพูดห้วนๆ หลุดออกมาจากปากของนัท เขาที่ปกติจะเห็นดีเห็นงามกับอะไรที่ง่ายๆ ตอนนี้กลับขมวดคิ้วมุ่น “นั่นมันไม่ใช่อำนาจจริงซะหน่อย มันก็แค่การตลาด”
พลอยหันขวับมามองนัทอย่างเอาเรื่อง “แล้วไอ้ที่ว่าจริงของนายมันคืออะไรล่ะ หา! จะให้ไปสัมภาษณ์นักเลงหัวไม้รึไง”
“ก็ยังดีกว่าเรื่องฉาบฉวยของเธอแล้วกัน!” นัทเถียงกลับ
“นี่พวกนาย หยุดก่อน” กายเป็นคนห้ามทัพด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่หนักแน่น “ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้งานหรอก มีใครมีความคิดอื่นอีกไหม”
ทุกคนเงียบไป ตี๋เล็กได้แต่ส่ายหน้าไปมาเพราะคิดอะไรไม่ออก
แล้วภู... เด็กหนุ่มที่นั่งเงียบมาตลอดก็ค่อยๆ หยิบสมุดสเก็ตช์เล่มใหญ่ออกมาจากกระเป๋าอย่างประหม่า เขากางมันออกบนโต๊ะอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในนั้นคือภาพร่างดินสอที่ถูกวาดไว้อย่างสวยงาม
“เอ่อ... คือ...” เขาพูดเสียงเบา “ผมคิดว่า... อำนาจที่แท้จริง... มันอาจจะเหมือน... เมล็ดพันธุ์”
เขาพลิกหน้ากระดาษ เผยให้เห็นภาพสตอรี่บอร์ดที่เขาร่างไว้คร่าวๆ ภาพแรกคือเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่ถูกฝังในดิน ภาพต่อมาคือมันค่อยๆ งอกต้นอ่อนแทรกแผ่นดินที่แข็งกระด้างขึ้นมา และภาพสุดท้ายคือมันเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงากับสรรพสัตว์
“มันอาจจะดูเล็กและไม่มีค่าในตอนแรก” ภูอธิบาย “แต่ข้างในมันมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้... ให้ที่พักพิง ให้อาหาร... โดยที่ไม่ต้องบังคับใครเลย”
ทุกคนในกลุ่มนิ่งอึ้งไปกับความคิดที่ลึกซึ้งและภาพที่สวยงามของภู แม้แต่นัทยังมองภาพนั้นด้วยความทึ่ง ยกเว้นคนเดียว...
“อะไรเนี่ย... การ์ตูนเด็กๆ เหรอภู...” พลอยเบ้ปาก มองภาพวาดของภู “แล้วจะให้ทำออกมายังไง ใครจะไปเข้าใจ? แล้วพวกเราที่เหลือจะทำอะไรได้ล่ะ ก็เธอวาดเป็นอยู่คนเดียว คนอื่นก็กลายเป็นตัวประกอบสิ แบบนี้มันไม่โปรเลยนะ”
คำพูดนั้นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงลงบนหัวใจของภูอย่างจัง รอยยิ้มจางๆ ที่เพิ่งปรากฏบนใบหน้าของเขาเหือดหายไปในทันที เขาหน้าเสีย ห่อไหล่ลง รีบปิดสมุดสเก็ตช์เล่มนั้นแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋าเหมือนกลัวว่าจะมีใครมาทำลายมัน
“ขอโทษ... ผมก็แค่เสนอไอเดีย” เขาพึมพำ
กายมองตามแผ่นหลังที่ห่อเหี่ยวของภู ก่อนจะหันไปมองพลอย สายตาของเขาไม่ดุดัน แต่เต็มไปด้วยความผิดหวังที่ชัดเจนจนพลอยรู้สึกได้ เขาค่อยๆ ส่ายหัวช้าๆ ราวกับจะบอกว่า 'ไม่ใช่แบบนี้' พลอยเชิดหน้าใส่ แต่ก็หลบสายตาไปทางอื่น
บรรยากาศในกลุ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง และดูเหมือนจะหนักกว่าเดิม เหมยที่แอบมองการทำงานกลุ่มของนักเรียนอยู่ห่างๆ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังเลิกเรียนวันนั้น เหมยเห็นภูเก็บของช้ากว่าคนอื่น เธอจึงแสร้งทำเป็นจัดของบนโต๊ะตัวเอง รอจนนักเรียนคนอื่นๆ ออกไปเกือบหมดแล้วจึงเดินเข้าไปหา
“ครูเห็นงานในสมุดของเธอแวบหนึ่งนะ” เหมยเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “เส้นสวยและมีเอกลักษณ์ดี... เรียนวาดรูปมาจากไหนเหรอ”
ภูสะดุ้งเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองครูด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อสายตาตัวเอง “เอ่อ... ไม่ได้เรียนจริงจังหรอกครับ ผม... ผมฝึกวาดเอง”
“เหรอ เก่งมากเลยนะ” เหมยชมจากใจจริง “ดูเหมือนเธอจะชอบการ์ตูนกับแอนิเมชันมากเลยสินะ”
คำพูดของเหมยเหมือนกุญแจที่ไขเข้าไปในโลกของภูได้สำเร็จ ดวงตาหลังแว่นของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที “ครับ! ผมชอบมาก ผมฝันว่าสักวันอยากจะเป็นคนสร้างแอนิเมชันของตัวเอง”
“เป็นความฝันที่ดีมากเลย”
แต่แล้วรอยยิ้มของภูก็จางลง “แต่... ที่บ้านไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ” เขาพูดเสียงแผ่วลง ก้มหน้ามองสมุดสเก็ตช์ในมือ นิ้วโป้งลูบที่ขอบปกเบาๆ อย่างทะนุถนอม “เขาอยากให้ผมเรียนบริหารมากกว่า... บอกว่ามันมั่นคงกว่าการมานั่งวาดรูป”
เหมยพยักหน้ารับช้าๆ เธอเข้าใจแล้ว... นี่คือรากของกำแพงที่ภูสร้างขึ้น
“ความมั่นคงกับการทำตามความฝัน... บางทีมันก็ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไปหรอกนะ” เธอกล่าวทิ้งท้าย “เก็บความฝันของเธอไว้ให้ดีล่ะภู... มันมีค่ากว่าที่เธอคิดเยอะ”
ภูมองตามแผ่นหลังของครูที่เดินจากไป ในใจของเขารู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นครั้งแรก... ที่มีผู้ใหญ่สักคนมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขารัก
บ่ายวันศุกร์ เหมยเข้าร่วมประชุมแผนกตามที่คุณครูอรุณีนัดไว้ มันเป็นการประชุมที่เต็มไปด้วยศัพท์แสงทางการศึกษาและตารางงานที่น่าเบื่อหน่ายเหมือนเช่นเคย
หลังการประชุมจบลง ครูอรุณี เพื่อนร่วมงานสาวสวยจิตใจดีก็เดินเข้ามาหาเหมยด้วยรอยยิ้ม
“ครูเหมยคะ” เธอเริ่มต้น “อรุณีดีใจด้วยนะคะที่
ครูเหมยเริ่มเข้ากับเด็กๆ 12D ได้แล้ว เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะนัท ดูเขาเรียบร้อยขึ้นมาก”
“ขอบคุณค่ะครูอรุณี เหมยก็พยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ”
“อรุณีเชื่อค่ะ” ครูอรุณียิ้มให้กำลังใจ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเจือความกังวลลงเล็กน้อย “แต่ว่า... ก็ระวังตัวหน่อยนะคะ”
เหมยเลิกคิ้วขึ้นเชิงถาม
“ครูเหมยคะ... อรุณีไม่อยากจะนินทาผู้ใหญ่นะคะ แต่ว่า...” เธอขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด ลดเสียงลง “อรุณีได้ยินแว่วๆ มาน่ะค่ะ ว่าในที่ประชุมผู้บริหาร...
ท่านรองฯ มานะท่านพูดถึงวิธีการสอนของครูเหมยอยู่หลายครั้งเลย... ท่านดูจะไม่ค่อย... เข้าใจแนวทางของครูเหมยเท่าไหร่ เหมือนจะกังวลเรื่องภาพลักษณ์ของโรงเรียนน่ะค่ะ... ยังไงก็... อย่าไปทำอะไรให้ท่านเพ่งเล็งมากนะคะ อรุณีเป็นห่วง”
คำเตือนนั้นไม่ได้ทำให้เหมยแปลกใจ แต่ก็เป็นการยืนยันสิ่งที่เธอสงสัย เธอขอบคุณครูอรุณีสำหรับความหวังดี หลังจากที่เพื่อนร่วมงานของเธอเดินจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเหมยก็จางหายไป
เธอยืนนิ่งอยู่กลางทางเดินที่เริ่มว่างเปล่า ในมือของเธอยังคงกำแฟ้มแผนการสอนไว้แน่น เธอตระหนักได้ในวินาทีนั้นว่าศัตรูของเธอไม่ได้มีเพียงแก๊งอันธพาลนอกรั้วโรงเรียน หรือกำแพงที่มองไม่เห็นในใจของนักเรียนเท่านั้น
แต่ยังรวมถึง ‘คลื่นใต้น้ำ’ ที่ทรงพลังของเหล่าผู้บริหารและระบบระเบียบภายในโรงเรียนแห่งนี้... ที่พร้อมจะซัดเธอให้จมได้ทุกเมื่อ หากเธอเลือกที่จะว่ายทวนกระแสของมัน