บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5: คำถามที่ไร้คำตอบ

ลานจอดรถร้างตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมกลางคืนที่พัดหวีดหวิวราวกับจะเย้ยหยัน มันพัดเอาความกล้าของแก๊งฮันเตอร์สปลิวหายไปจนหมดสิ้น คิมหันต์ อัครเดโชชัย ยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผม เขาจ้องผู้หญิงตรงหน้าราวกับเห็นภูตผีปีศาจ

เหมยก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แค่ก้าวเดียว แต่สำหรับกลุ่มเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน สายตาเย็นชาของเธอกดลึกลงไปในแววตาที่สั่นระริกของคิม

“ฉันไม่สนว่าพวกเธอมีเรื่องอะไรกันมาก่อน... คิมหันต์” น้ำเสียงของเธอเรียบสนิท แต่กลับหนักแน่นเหมือนหินผา การที่เธอเรียกชื่อเต็มของเขาทำให้คิมสะดุ้งเฮือก

เหมยพูดต่อ “...แต่ฉันสงสัยอยู่หน่อย ว่าถ้าฉันจะเริ่มพูดถึงเรื่องของเธอ... ฉันควรจะเริ่มจากเรื่องที่เธอทำไว้ที่โรงเรียนเก่า หรือควรจะเริ่มจากธุรกิจสีเทาของพ่อเธอดีล่ะ... เธออยากให้ฉันเริ่มจากเรื่องไหน?”

คำถามนั้นเหมือนค้อนที่มองไม่เห็นทุบลงมากลางใจของคิมหันต์ ความกลัวฉายชัดขึ้นในดวงตาของเขา นี่ไม่ใช่ข้อมูลที่คนทั่วไปจะรู้ได้ มันคือไพ่ตายที่สามารถทำลายทุกอย่างของเขาได้ในพริบตา

เหมยเอียงคอเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “นับจากนี้ไป... อย่ามายุ่งกับนักเรียนของฉันอีก เข้าใจไหม”

มันไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำประกาศิต

คิมพยักหน้ารับอย่างลนลาน หงึกๆ เหมือนตุ๊กตาที่สายบังคับขาดสะบั้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำลา รีบหันหลังแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งนำลูกน้องที่เหลือเผ่นหนีไปในความมืดอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบพื้นคอนกรีตซึ่งค่อยๆ จางหายไป

ตอนนี้ ในลานกว้างใต้แสงไฟสลัว เหลือเพียง

เหมยกับนัท สองคนที่มาจากคนละโลกโดยสิ้นเชิง

นัทยืนนิ่ง อ้าปากค้าง เขามองตามกลุ่มฮันเตอร์สที่วิ่งหนีป่าราบไป แล้วหันกลับมามองครูประจำชั้นของตัวเอง สมองของเขาขาวโพลน ว่างเปล่า ไม่สามารถประมวลผลเหตุการณ์ตรงหน้าได้ เหมยหันมามองเขา เธอไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าไปที่รถซีดานสีดำของเธอ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าให้ขึ้นรถ

บรรยากาศภายในรถอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก นัทนั่งตัวเกร็งอยู่บนเบาะข้างคนขับ แผ่นหลังไม่กล้าพิงพนักจนสุด เขาวางมือไว้บนเข่า กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด เขาไม่กล้ามองหน้าคนขับ แต่หางตาก็ลอบสังเกตใบหน้าด้านข้างของเธอเป็นระยะ ใบหน้านั้นยังคงนิ่งสงบ เรียบเฉยภายใต้แสงไฟถนนที่วิ่งผ่านไป เธอบังคับพวงมาลัยอย่างมั่นคง มือของเธอผ่อนคลาย ต่างจากเขาลิบลับ

เสียงเดียวที่ดังในรถคือเสียงเครื่องยนต์ที่เดินเรียบ และเสียงหัวใจของนัทที่เต้นรัวเหมือนกลองสงคราม

เธอขับรถไปเรื่อยๆ โดยไม่ถามทาง ไม่ถามว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ราวกับเธอรู้อยู่แล้ว ความคิดนั้นทำให้นัทขนลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้ง เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีในความเงียบนั้น เหมยปล่อยให้ความตึงเครียดของนัทคลายลง ปล่อยให้ความสับสนของเขาได้ทำงานอย่างเต็มที่ ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง

เธอไม่ได้ถามเรื่องการชกต่อย ไม่ได้ตำหนิที่เขาก่อเรื่อง แต่คำถามของเธอกลับตรงเข้าสู่แก่นกลางของปัญหา

“การพิสูจน์ตัวเองด้วยหมัด... มันทำให้เธอรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ หรือนัท”

คำถามนั้นทำให้โลกของนัทหยุดหมุน มันไม่ใช่คำดุด่า ไม่ใช่คำสั่งสอน แต่เป็นคำถามที่อ่อนโยนอย่างน่าประหลาด มันทะลวงผ่านเกราะแห่งความก้าวร้าวที่เขาสร้างขึ้นมาทั้งชีวิตอย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ มองมือตัวเองที่ยังกำแน่น เขาพยายามจะตอบ แต่เสียงมันติดอยู่ในลำคอ เขาเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง สูดหายใจเข้าลึกๆ

“ก็...” เขาเค้นเสียงออกมาในที่สุด มันแหบพร่าและสั่นเครือ “มันเป็นวิธีเดียวที่ผมรู้จัก”

กำแพงของเขาพังทลายลงแล้ว

“เวลาที่คนอื่นมองว่าเรามันห่วย มองว่าเรามันเป็นตัวปัญหา... การใช้กำลังเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกมันหยุด... หยุดมองเราแบบนั้น” เหมยนิ่งฟังทุกถ้อยคำ เธอไม่ได้พูดแทรกหรือแสดงความคิดเห็น เธอปล่อยให้เขาได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา “ผมก็แค่อยากให้คนอื่นยอมรับ... แค่นั้นเอง” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาจนแทบเหมือนเสียงกระซิบ

เหมยเลี้ยวรถจอดเทียบข้างทางในซอยที่ค่อนข้างเปลี่ยว เธอหันมามองเขาตรงๆ แววตาของเธอไม่มีแววตำหนิแม้แต่น้อย มีเพียงความเข้าใจ

“ความแข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ใช่การทำให้คนอื่นกลัว” เธอพูดช้าๆ ชัดๆ ให้น้ำหนักกับทุกคำ “แต่คือการทำให้คนอื่นนับถือ... โดยที่ยังไม่ต้องลงมือทำอะไรเลยต่างหาก” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง “เธอมีสิ่งนั้นอยู่ในตัวนะนัท ความกล้าที่จะปกป้องเพื่อน ความตั้งใจที่จะไม่ยอมแพ้... นั่นคือความแข็งแกร่งของจริง อย่าเอามันไปใช้ผิดทาง”

นัทเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขารู้สึกเหมือนถูกกระชากหน้ากากออก แต่กลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด เขากลับรู้สึก... โล่งอย่างประหลาด

วันรุ่งขึ้นในโรงเรียนนานาชาติเซนต์ออกัสติน มีบางอย่างเปลี่ยนไป

นัทเดินเข้าห้องเรียนมาอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้เดินกระแทกเท้า ไม่ได้ทำหน้าตาหาเรื่องใคร เขาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะของตัวเองแล้วจมอยู่ในความคิด พลอยกับตี๋เล็กมองหน้ากันอย่างแปลกใจ พยายามจะชวนคุย แต่นัทก็แค่พยักหน้ารับเบาๆ ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขาชัดเจนจนทุกคนสังเกตเห็น

หลังคาบเรียนแรกจบลง นัทลุกจากที่นั่งแล้วเดินตรงไปที่มุมห้องด้านหลัง ที่ที่กายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เหมือนทุกครั้ง

กายเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เลิกคิ้วเล็กน้อยเชิงถาม

นัทยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกำลังรวบรวมคำพูด “เมื่อคืน...” เขาเริ่มพูดเสียงเบา “ครูเหมยมาช่วยกู”

กายปิดหนังสือลง วางมันไว้บนโต๊ะ เขาให้ความสนใจกับเรื่องนี้เต็มที่ “เกิดอะไรขึ้น”

นัทส่ายหน้าช้าๆ พยายามหาคำที่เหมาะสม “กูไม่รู้... กูอธิบายไม่ถูก เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เดินเข้าไป... แล้วพูดไม่กี่คำ... กูได้ยินเขาพูด... เกี่ยวกับพ่อไอ้คิม... หรืออะไรสักอย่าง กูไม่แน่ใจว่ะ... แล้วพวกแม่งก็วิ่งหนีกันหางจุกตูด”

นัทเงยหน้าขึ้นสบตากาย ในที่สุดแววตาของเขาก็ฉายความรู้สึกที่แท้จริงออกมา... ความรู้สึกทึ่งระคนหวาดกลัว “กูไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น... แต่ครูเหมย... เขาไม่ใช่แค่ครูว่ะ เขา... น่ากลัวกว่าที่พวกเราคิดไว้เยอะ”

กายรับฟังข้อมูลทั้งหมดด้วยความนิ่งสงบ แต่ภายในหัวของเขาเหมือนมีวงจรไฟฟ้ากำลังทำงานเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน ครูจบใหม่ที่ดูไม่เหมือนครู... วิธีการรับมือกับปัญหาที่ไม่เหมือนใคร... และล่าสุด การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกของนักเรียนโรงเรียนอื่น และการยุติความรุนแรงได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค ข้อมูลเกี่ยวกับพ่อของคิมหันต์... นั่นคือจุดเปลี่ยน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือความสามารถ มันคืออำนาจบางอย่างที่คนธรรมดาไม่มี กายหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋า เขาขีดเขียนบางอย่างลงไปอย่างรวดเร็ว ปริศนาที่ชื่อ ‘ครูนาราภัทร อิทธิพลไพศาล’ กำลังซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็คือคนเดียวที่จะต้องไขมันให้ได้

เย็นวันนั้น ห้องเรียน 12D ว่างเปล่าและเงียบสงัด มีเพียงเหมยที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนคนเดียว แสงแดดยามเย็นที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ส่องให้เห็นฝุ่นละอองในอากาศลอยฟุ้งเป็นประกายระยิบระยับ ภาพของคุณครูที่กำลังทำความสะอาดห้องเรียนหลังเลิกงาน ช่างดูสงบสุขและห่างไกลจากภาพของผู้หญิงที่ยืนคุมสถานการณ์เด็กวัยรุ่นตีกันในลานร้างเมื่อคืนก่อนลิบลับ

โทรศัพท์ของเธอสั่นเบาๆ ในกระเป๋า เธอหยิบมันขึ้นมาดู ข้อความใหม่จากครูอรุณี: ครูเหมยคะ พรุ่งนี้มีประชุมแผนกตอนเที่ยงนะคะ อย่าลืมเตรียมเอกสารแผนการสอนมาด้วยน้าาา :)

รอยยิ้มเล็กๆ พร้อมกับอีโมติคอนปรากฏบนหน้าจอ ช่างเป็นข้อความที่แสนจะ ‘ปกติ’ และธรรมดาจนน่าใจหาย เหมยถอนหายใจออกมาเบาๆ นิ้วโป้งของเธอกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์จนมืดดับไป บนพื้นผิวสีดำนั้นสะท้อนใบหน้าของเธอเอง... ใบหน้าของ ‘ครูนาราภัทร’ ที่ดูอ่อนโยนและใจดี แต่ดวงตาที่จ้องมองกลับมานั้น กลับฉายแววของคนอีกคนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ลึกข้างใน

คำถามที่ว่าเธอจะสามารถรักษาสมดุลของสองโลกที่แตกต่างกันสุดขั้วนี้ไปได้นานแค่ไหน... ยังคงเป็นคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel